http://www.thairath.co.th/content/801897
Share on Google+ LINE it!
หน้าหลัก>
ข่าว
คิดถึงที่สุดคือ "ทูลกระหม่อมพ่อ-ภูมิพลอดุลยเดช”
5 ธ.ค. 2559 05:01
ภาพพระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนัก และใกล้ชิดพสกนิกรชาวไทย ยังคงเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของประชาชนทุกคนอย่างมิรู้ลืมเลือน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ “พ่อแห่งแผ่นดินของปวงประชาราษฎร์” ผู้ทรงอุทิศพระองค์อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชนของพระองค์
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่ประทับใจยากจะลืมเลือน คือ บทบาทของความเป็น “ทูลกระหม่อมพ่อ” ผู้ทรงเป็นแบบอย่างอันดีงามทุกด้านของพระราชโอรสและพระราชธิดา
แม้จะแทบไม่มีเวลาส่วนพระองค์เลย เพราะต้องอุทิศกำลังพระวรกายเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรในทุกพื้นที่ทั่วทุกหนทุกแห่งของประเทศ แต่ในฐานะ “ทูลกระหม่อมพ่อ” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการเลี้ยงดูพระราชโอรส พระราชธิดาอย่างมาก โดยโปรดให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิด
โดยการอบรมพระราชโอรสและพระราชธิดา ทั้ง “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” ทรงมีมาตรการหลายอย่างที่ได้ผล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าว่า ในบรรดาพี่น้องข้าพเจ้าสี่คนก็รักสามัคคีกันดี การที่ให้พี่น้องรักกันนั้นเป็นเรื่องที่พ่อแม่พยายามที่สุด ถึงจะมีพี่เลี้ยงช่วยเลี้ยง ท่านให้มีพี่เลี้ยงหรือผู้คนรวมๆกัน ไม่ใช่ว่าเป็นคนของคนโน้นคนนี้ กับข้าพเจ้าท่านก็จะรับสั่งถึงพี่หญิง พี่ชาย และน้องเล็ก เช่น เห็นข้าพเจ้ามีอะไร ท่านจะรับสั่งทันทีว่าของนี้พี่หญิงคงชอบให้ซื้อส่งไปให้พี่หญิง วีดิโอนี้พี่หญิงต้องชอบแน่ๆ ให้อัดส่งให้พี่หญิงด้วย ความจริงท่านจะส่งพระราชทานเองก็ได้ แต่นี่เป็นการเตือนให้พี่น้องรู้จักคิดถึงกัน พี่ชายกับน้องเล็กไม่ค่อยจะเป็นปัญหานัก เพราะว่าอยู่เมืองไทยก็รวมกันอยู่แล้ว และมีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่ทรงเน้นย้ำมากคือ การเห็นถึงคุณค่าของการทำงาน ไม่ให้เห็นว่าสิ่งต่างๆได้มาโดยง่าย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบอกเล่าว่า “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” โปรดให้ลูกๆทำอะไรที่เป็นประโยชน์มีสาระ โดยโปรดให้ลูกๆอ่านหนังสือมากกว่าดูโทรทัศน์ มีเหตุผลว่าดูโทรทัศน์เหมือนกับการถูกสะกดจิตให้ต้องดูและฟังรายการที่ผู้จัดรายการเพียงคนสองคนจัดขึ้น ในขณะที่หนังสือมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ห้ามการดูโทรทัศน์ไปเสียทีเดียว แต่ต้องมีเวลากำหนดว่าดูได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ตอนบ่าย ถึงเวลาบ่ายสี่โมงบ่ายห้าโมง พอแดดอ่อนลงบ้าง ก็ต้องออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้งเพื่อออกกำลังกายให้แข็งแรงและได้อากาศบริสุทธิ์พักสายตาจากการจ้องอะไรอยู่นานๆ เวลาดูโทรทัศน์จะนั่งจ้องตาเป๋งเฉยๆ ก็ไม่ได้ จะต้องทำงานที่เป็นประโยชน์ไปพลางๆด้วย เช่น เขียนรูป ถักไหมพรม ปักผ้า...นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว สื่อการศึกษาที่ทรงสนับสนุนคือ การไปที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปพิพิธภัณฑ์ ถ้าไม่ทรงมีเวลาพาไปเอง ก็จะทรงขอให้คนที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเป็นคนช่วยพาไป
เรื่องของสุขภาพอนามัย พวกข้าพเจ้าตอนเด็กๆ ถูกวางระบบชีวิตเสียยิ่งกว่าอยู่โรงเรียนประจำไปเสียอีก ตื่นแต่เช้าต้องเดินไปโรงเรียนเพื่อ ออกกำลัง วันไหนเป็นวันหยุด “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” ต้องให้ออกไปอยู่ข้างนอกเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ จะอุดอู้อยู่แต่ในบ้านไม่ได้ ต้องอยู่กลางแจ้งให้มากที่สุด อาหารการกินก็ต้องให้ถูกหลักโภชนาการ มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรตครบทุกประการ ถ้ายังรับประทานไม่ครบตามที่กำหนดไว้ ก็ต้องรับประทานอยู่อย่างนั้นเอง เวลารับประทานอาหาร โดย เฉพาะอย่างยิ่งมื้อกลางวันและมื้อเย็นจะมาประทับด้วย ดูว่ารับประทานดีหรือยัง มารยาทโต๊ะเป็นอย่างไร สอนและคุยเรื่องต่างๆ คลุกก๋วยเตี๋ยวพระราชทาน โดยเมนูเด็ดประจำครอบครัวคือ “ไข่พระอาทิตย์” เป็นสูตรลับของทูลหม่อมพ่อ ที่พระราชโอรสพระราชธิดาทำเป็นกันทุกพระองค์ หน้าตาเหมือนไข่เจียวแต่ใส่ข้าวสุก เหตุที่เรียกไข่พระอาทิตย์ เพราะเมื่อส่องกล้อง พื้นผิวดวงอาทิตย์มีลายเหมือนเมล็ดข้าว
นอกจากการรับประทานให้ถูกหลักโภชนาการ รับประทานให้เรียบร้อยแล้ว ยังไม่ให้เลือกอาหาร ไม่ให้เรื่องมาก มีอะไรก็ต้องรับประทานให้ได้ ทรงทราบว่าไม่ชอบอะไรก็ต้องซ้อมรับประทานของนั้น ทรงให้เหตุผลว่าถ้าอีกหน่อยเราไปไหน ทั้งในประเทศและนอกประเทศ เราจะเลือกอาหารไม่ได้ เจ้าภาพเขาจะเสียใจ
สำหรับการนอนนั้นต้องนอนตั้งแต่ยังไม่มืดดี จะเที่ยววิ่งไปรอบๆ เหมือนเด็กอื่นเขาก็ไม่ได้ ถึงเวลาออกกำลังกายก็ต้องออกจริงๆ “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” ทรงแข็งแรงและโปรดการกีฬาทั้งคู่ พวกเราก็เลยโดนกันหนักหน่อย เมื่อตอนเล็กๆโดนให้หัดกายบริหาร ซึ่งข้าพเจ้าไม่ชอบ ลองแล้วทั้งครูไทย และครูฝรั่ง ก็ไม่สำเร็จ พระองค์ท่านก็ต้องทรงสอนเอง ปรากฏว่าต้องทรงสอนไปตะเบ็งไป งานนี้ทรงเลิกไปเพราะทรงเหนื่อย จึงให้ข้าพเจ้าไปหัดตีแบดมินตัน และ “นับร้อย” กับทูลหม่อมพ่อ แบบที่พี่ชายโดน (นับร้อยคือต้องตีแบดมินตันโต้ทูลหม่อมพ่อ ให้ได้ครบร้อยลูก ถ้าตีไม่ได้ก็ลดคะแนน)
เวลาไปเชียงใหม่ พระองค์ท่านก็ให้หัดปีนเขา ก็ไม่ใช่เขาสูงมากอะไรเลย แต่มันไกลเลยเหนื่อย ทั้งสองพระองค์ทรงพระดำเนินเร็วมาก พวกเราตามไม่ทันหอบแฮกๆ “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” รับสั่งว่า จะเป็นนักพัฒนา จะช่วยเหลือชาวบ้านชาวเขาได้อย่างไร จะเดินไปที่แปลงพืชของเขาได้อย่างไร หรือถ้ามีข้าศึกมาคนไทยไม่เข้มแข็งจะสู้เขาได้อย่างไร สุดท้ายข้าพเจ้าใช้วิธีเกาะท่านไว้แน่น แล้วร้องเพลงลูกทุ่ง “ตายแน่คราวนี้ต้องตายแน่ๆ” ปรากฏว่าได้ผล ทรงพระสรวลแล้วทรงหยุดให้
เรื่องการรับผิดชอบตนเอง และความรับผิดชอบในหน้าที่เป็นเรื่องที่ “ทูลหม่อมพ่อ” ทรงเน้นมาก เมื่อมีหน้าที่อะไรก็ต้องทำอย่างเต็มใจ เช่น เมื่อตอนเด็กๆก็โปรดเกล้าฯให้ตามเสด็จงานบางงาน เมื่อโตขึ้นก็มีมากขึ้นตามลำดับ ทรงสอนให้รู้จักอดทน และภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติที่ด้อยโอกาส และมีความละอายใจถ้าไม่สามารถปฏิบัติตามหน้าที่ได้...สิ่งที่ “ทูลหม่อมพ่อ” ไม่โปรดคือ การกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อประชาชนชาวไทย.
ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ
สมเด็จพระเทพฯ ทรงเล่าถึงทูลกระหม่อมพ่อ
Share on Google+ LINE it!
หน้าหลัก>
ข่าว
คิดถึงที่สุดคือ "ทูลกระหม่อมพ่อ-ภูมิพลอดุลยเดช”
5 ธ.ค. 2559 05:01
ภาพพระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนัก และใกล้ชิดพสกนิกรชาวไทย ยังคงเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของประชาชนทุกคนอย่างมิรู้ลืมเลือน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ “พ่อแห่งแผ่นดินของปวงประชาราษฎร์” ผู้ทรงอุทิศพระองค์อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชนของพระองค์
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่ประทับใจยากจะลืมเลือน คือ บทบาทของความเป็น “ทูลกระหม่อมพ่อ” ผู้ทรงเป็นแบบอย่างอันดีงามทุกด้านของพระราชโอรสและพระราชธิดา
แม้จะแทบไม่มีเวลาส่วนพระองค์เลย เพราะต้องอุทิศกำลังพระวรกายเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรในทุกพื้นที่ทั่วทุกหนทุกแห่งของประเทศ แต่ในฐานะ “ทูลกระหม่อมพ่อ” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการเลี้ยงดูพระราชโอรส พระราชธิดาอย่างมาก โดยโปรดให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิด
โดยการอบรมพระราชโอรสและพระราชธิดา ทั้ง “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” ทรงมีมาตรการหลายอย่างที่ได้ผล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าว่า ในบรรดาพี่น้องข้าพเจ้าสี่คนก็รักสามัคคีกันดี การที่ให้พี่น้องรักกันนั้นเป็นเรื่องที่พ่อแม่พยายามที่สุด ถึงจะมีพี่เลี้ยงช่วยเลี้ยง ท่านให้มีพี่เลี้ยงหรือผู้คนรวมๆกัน ไม่ใช่ว่าเป็นคนของคนโน้นคนนี้ กับข้าพเจ้าท่านก็จะรับสั่งถึงพี่หญิง พี่ชาย และน้องเล็ก เช่น เห็นข้าพเจ้ามีอะไร ท่านจะรับสั่งทันทีว่าของนี้พี่หญิงคงชอบให้ซื้อส่งไปให้พี่หญิง วีดิโอนี้พี่หญิงต้องชอบแน่ๆ ให้อัดส่งให้พี่หญิงด้วย ความจริงท่านจะส่งพระราชทานเองก็ได้ แต่นี่เป็นการเตือนให้พี่น้องรู้จักคิดถึงกัน พี่ชายกับน้องเล็กไม่ค่อยจะเป็นปัญหานัก เพราะว่าอยู่เมืองไทยก็รวมกันอยู่แล้ว และมีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่ทรงเน้นย้ำมากคือ การเห็นถึงคุณค่าของการทำงาน ไม่ให้เห็นว่าสิ่งต่างๆได้มาโดยง่าย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบอกเล่าว่า “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” โปรดให้ลูกๆทำอะไรที่เป็นประโยชน์มีสาระ โดยโปรดให้ลูกๆอ่านหนังสือมากกว่าดูโทรทัศน์ มีเหตุผลว่าดูโทรทัศน์เหมือนกับการถูกสะกดจิตให้ต้องดูและฟังรายการที่ผู้จัดรายการเพียงคนสองคนจัดขึ้น ในขณะที่หนังสือมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ห้ามการดูโทรทัศน์ไปเสียทีเดียว แต่ต้องมีเวลากำหนดว่าดูได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ตอนบ่าย ถึงเวลาบ่ายสี่โมงบ่ายห้าโมง พอแดดอ่อนลงบ้าง ก็ต้องออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้งเพื่อออกกำลังกายให้แข็งแรงและได้อากาศบริสุทธิ์พักสายตาจากการจ้องอะไรอยู่นานๆ เวลาดูโทรทัศน์จะนั่งจ้องตาเป๋งเฉยๆ ก็ไม่ได้ จะต้องทำงานที่เป็นประโยชน์ไปพลางๆด้วย เช่น เขียนรูป ถักไหมพรม ปักผ้า...นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว สื่อการศึกษาที่ทรงสนับสนุนคือ การไปที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปพิพิธภัณฑ์ ถ้าไม่ทรงมีเวลาพาไปเอง ก็จะทรงขอให้คนที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเป็นคนช่วยพาไป
เรื่องของสุขภาพอนามัย พวกข้าพเจ้าตอนเด็กๆ ถูกวางระบบชีวิตเสียยิ่งกว่าอยู่โรงเรียนประจำไปเสียอีก ตื่นแต่เช้าต้องเดินไปโรงเรียนเพื่อ ออกกำลัง วันไหนเป็นวันหยุด “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” ต้องให้ออกไปอยู่ข้างนอกเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ จะอุดอู้อยู่แต่ในบ้านไม่ได้ ต้องอยู่กลางแจ้งให้มากที่สุด อาหารการกินก็ต้องให้ถูกหลักโภชนาการ มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรตครบทุกประการ ถ้ายังรับประทานไม่ครบตามที่กำหนดไว้ ก็ต้องรับประทานอยู่อย่างนั้นเอง เวลารับประทานอาหาร โดย เฉพาะอย่างยิ่งมื้อกลางวันและมื้อเย็นจะมาประทับด้วย ดูว่ารับประทานดีหรือยัง มารยาทโต๊ะเป็นอย่างไร สอนและคุยเรื่องต่างๆ คลุกก๋วยเตี๋ยวพระราชทาน โดยเมนูเด็ดประจำครอบครัวคือ “ไข่พระอาทิตย์” เป็นสูตรลับของทูลหม่อมพ่อ ที่พระราชโอรสพระราชธิดาทำเป็นกันทุกพระองค์ หน้าตาเหมือนไข่เจียวแต่ใส่ข้าวสุก เหตุที่เรียกไข่พระอาทิตย์ เพราะเมื่อส่องกล้อง พื้นผิวดวงอาทิตย์มีลายเหมือนเมล็ดข้าว
นอกจากการรับประทานให้ถูกหลักโภชนาการ รับประทานให้เรียบร้อยแล้ว ยังไม่ให้เลือกอาหาร ไม่ให้เรื่องมาก มีอะไรก็ต้องรับประทานให้ได้ ทรงทราบว่าไม่ชอบอะไรก็ต้องซ้อมรับประทานของนั้น ทรงให้เหตุผลว่าถ้าอีกหน่อยเราไปไหน ทั้งในประเทศและนอกประเทศ เราจะเลือกอาหารไม่ได้ เจ้าภาพเขาจะเสียใจ
สำหรับการนอนนั้นต้องนอนตั้งแต่ยังไม่มืดดี จะเที่ยววิ่งไปรอบๆ เหมือนเด็กอื่นเขาก็ไม่ได้ ถึงเวลาออกกำลังกายก็ต้องออกจริงๆ “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” ทรงแข็งแรงและโปรดการกีฬาทั้งคู่ พวกเราก็เลยโดนกันหนักหน่อย เมื่อตอนเล็กๆโดนให้หัดกายบริหาร ซึ่งข้าพเจ้าไม่ชอบ ลองแล้วทั้งครูไทย และครูฝรั่ง ก็ไม่สำเร็จ พระองค์ท่านก็ต้องทรงสอนเอง ปรากฏว่าต้องทรงสอนไปตะเบ็งไป งานนี้ทรงเลิกไปเพราะทรงเหนื่อย จึงให้ข้าพเจ้าไปหัดตีแบดมินตัน และ “นับร้อย” กับทูลหม่อมพ่อ แบบที่พี่ชายโดน (นับร้อยคือต้องตีแบดมินตันโต้ทูลหม่อมพ่อ ให้ได้ครบร้อยลูก ถ้าตีไม่ได้ก็ลดคะแนน)
เวลาไปเชียงใหม่ พระองค์ท่านก็ให้หัดปีนเขา ก็ไม่ใช่เขาสูงมากอะไรเลย แต่มันไกลเลยเหนื่อย ทั้งสองพระองค์ทรงพระดำเนินเร็วมาก พวกเราตามไม่ทันหอบแฮกๆ “ทูลหม่อมพ่อ” และ “สมเด็จแม่” รับสั่งว่า จะเป็นนักพัฒนา จะช่วยเหลือชาวบ้านชาวเขาได้อย่างไร จะเดินไปที่แปลงพืชของเขาได้อย่างไร หรือถ้ามีข้าศึกมาคนไทยไม่เข้มแข็งจะสู้เขาได้อย่างไร สุดท้ายข้าพเจ้าใช้วิธีเกาะท่านไว้แน่น แล้วร้องเพลงลูกทุ่ง “ตายแน่คราวนี้ต้องตายแน่ๆ” ปรากฏว่าได้ผล ทรงพระสรวลแล้วทรงหยุดให้
เรื่องการรับผิดชอบตนเอง และความรับผิดชอบในหน้าที่เป็นเรื่องที่ “ทูลหม่อมพ่อ” ทรงเน้นมาก เมื่อมีหน้าที่อะไรก็ต้องทำอย่างเต็มใจ เช่น เมื่อตอนเด็กๆก็โปรดเกล้าฯให้ตามเสด็จงานบางงาน เมื่อโตขึ้นก็มีมากขึ้นตามลำดับ ทรงสอนให้รู้จักอดทน และภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติที่ด้อยโอกาส และมีความละอายใจถ้าไม่สามารถปฏิบัติตามหน้าที่ได้...สิ่งที่ “ทูลหม่อมพ่อ” ไม่โปรดคือ การกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อประชาชนชาวไทย.
ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ