บทความโดย : YUM comment
วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆย้อนประวัติศาสตร์ ไปกับเรื่องราวของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์หนึ่ง ที่ทรงมีพระสิริโฉมที่งดงามยิ่งนัก
นั่นก็คือ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร
เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 19 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2420
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ เล่าลือกันว่าทรงมีพระสิริโฉมที่งดงามเป็นที่สุด
เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่ประสูติในเศวตฉัตร ซึ่งถ้าหากประสูติเป็นพระองค์ชาย ก็คงจะได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท
ที่สำคัญคือพระองค์มีพระพักตร์และพระรูปโฉมคล้ายคลึงกับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพราะทรงเคยตรัสว่า
"หน้าลูกหญิงเหมือนย่า พ่ออยากจุดธูปเทียนบูชาเหลือเกิน" และพระราชทานพระธำมรงค์ให้
ความงดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องและโสภาคย์ของทูลกระหม่อมหญิงยังความปีติโสมนัส ให้สมเด็จพระบรมชนกนาถและพระชนนีเป็นอย่างยิ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ทรงวิตกกังวลอย่างยิ่ง เพราะความงามบริสุทธิ์ พระฉวีผุดผ่องไม่มีไฝฝ้าราคี ในสมัยโบราณถือความเชื่อกันว่า ผู้ที่เกิดมางดงามมากยากจะเลี้ยงให้รอดชีวิตต่อมา ดังนั้น จึงมีพระกระแสรับสั่งพระชนนี พระพี่เลี้ยง พระนม และแพทย์หลวงให้ระวังใกล้ชิด หากทรงพระประชวรแม้เพียงนิดจะต้องรีบกราบบังคมทูลในทันที
เวลาผ่านมาจนพระชนมายุขวบเศษ วันหนึ่งขณะพระพี่เลี้ยงเชิญเสด็จขึ้นเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับพระองค์ส่งพระราชทานต่อ พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี ปลายพระขนง (คิ้ว) ของพระองค์ได้กระแทกกับขอบพานถึงกับเป็นแผลพระโลหิตตกกันแสงลั่นพระตำหนัก พระบรมวงศ์ฝ่ายในจึงปลอบว่า
“ความวิตกกังวลว่าจะมีพระชนมายุสั้นนั้น เป็นอันผ่านไปแล้วเพราะทรงมีบาดแผลแล้ว”
เมื่อเป็นดังนั้น ทั้ง 2 พระองค์จึงคลายพระปริวิตกทำให้ชาววังต่างพากันโล่งใจว่าทรงมีแผลเป็นแล้ว และก็คงจะมีพระชนมายุยืนยาว
เมื่อพระชันษาได้ 11 ปี พระองค์ได้ทรงเข้าพระราชพิธีโสกันต์ เมื่อทรงเครื่องสวมชฏาแล้ว สมเด็จพระราชบิดาถึงกับตรัสว่า
"ลูกพ่องามปานเทวดา"
ในขบวนแห่โสกันต์นี้มีเกร็ดเชิงซุบซิบเล่าต่อกันมาว่า บรรดาชาวบ้านที่ได้มาเฝ้าชมขบวนแห่ครั้งนั้นต่างก็ออกปากว่า
"ลูกท่านงามนัก เลยต้องแห่กันถึงเย็น" แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรพระโรคปัจจุบันและได้บรรทมหนุนที่
พระเพลาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ ทำให้พระองค์เสด็จไปในพระราชพิธีไม่ได้ จึงทำให้พิธีแห่โสกันต์นั้นต้องเลื่อนไปถึงค่ำ
หลังพระราชพิธีโสกันต์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร พระองค์ต้องงดเสด็จออกจากพระราชฐานฝ่ายในและทรงสะพักอย่างขัตติยราชนารี แต่พระองค์ทรงกันแสง และทูลขอพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้รับสั่งให้พระองค์เป็นเด็กต่อ
เพื่อที่จะถวายงานราชเลขานุการิณีรับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระชนกนาถที่ฝ่ายหน้าได้ต่อไป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้เป็นตามนั้น แต่ทรงตรัสไว้ว่า
"เมื่ออายุครบ 18 เมื่อใดพ่อจะไม่ยอมลูกหญิงอีก"
พระทูลกระหม่อมแก้วของ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ผู้ที่เป็นพระราชมารดาของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ถึงสองพระองค์
นั่นก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ผู้เป็นพระราชธิดา และ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้เป็นพระราชโอรส
คงจะไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีกว่า พระจริยวัตรของทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์นี้ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร เป็นพระราชธิดา
ที่สนิทสิเน่หาของพระบรมราชบิดามาก โดยเป็นพระเจ้าลูกเธอเพียงพระองค์เดียวที่ได้รับพระราชทานกรมสูงถึงกรมหลวง โดยมีพระนามกรมคือ ศรีรัตนโกสินทร
ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็เป็นพระราชโอรสที่ทรงโปรดปรานเช่นกัน ตรัสเรียกว่า "เจ้าฟ้านัมเบอร์ทู" พร้อมกับทรงมอบหมายพระราชกิจสำคัญให้หลายอย่าง เช่น ผู้บัญชาการกองทัพเรือ เป็นต้น ถึงขั้นหากว่าทรงขาดเฝ้าฯ ไปสักสองวัน จะมีพระบรมราชโองการว่า เจ้าชายหายไปไหนไม่เห็นมา และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญาจะต้องรีบเสด็จออกมาตามพระองค์ไปเข้าเฝ้าฯทันที
สิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจมากนั่นก็คือ ลายพระหัตถ์ฉบับหนึ่งที่ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ทรงเขียนถึง พระราชโอรส สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เนื้อความดังนี้
"ในที่สุด โอวาทของแม่ฉบับนี้แม่ขอบอกแก่พ่อ ผู้เป็นลูกที่รัก และที่หวังความสุขของแม่ ให้ทราบว่า ตัวแม่นี้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ มักจะได้รับความทุกข์อยู่เป็นเนืองนิจ แม่มิได้มีอันใดซึ่งเป็นเครื่องเจริญตาเจริญใดอันจะดับทุกข์ได้ นอกจากลูก เมื่อเวลาที่พ่อยังอยู่กับแม่แต่เล็ก ๆ มา ถึงหากว่าแม่จะมีความทุกข์มาสักเท่าใด ๆ เมื่อแม่ได้เห็นหน้าลูกแล้ว ก็อาจจะระงับดับเสียได้ด้วยความรักและความยินดีของแม่ในตัวลูก
ก็ในเวลาซึ่งพ่อไปเล่าเรียนในประเทศยุโรปนี้พ่อจงรู้เถิดว่า ข่าวความงามความดีของพ่อนั้น แลจะเป็นเครื่องดับความทุกข์ของแม่
และอย่าประพฤติชั่วนอกคำสั่งสอนของแม่ จงตั้งหน้าเล่าเรียนให้ได้รับความรู้โดยเร็วจะได้กลับมาหาแม่โดยไม่นานปี"
พระสิริโฉมอันงดงามของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร และความรู้สึกอันงดงามของความเป็นแม่ ที่ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ทรงแสดงออกมาคืออีกหนึ่งความงดงามบนหน้าประวัติศาสตร์ไทยที่ชาติใดก็มิอาจจะทัดเทียม
บทความโดย : YUM comment
ความงดงาม..บนหน้า "ประวัติศาสตร์ไทย" ที่ชาติใดก็มิอาจจะทัดเทียม
วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆย้อนประวัติศาสตร์ ไปกับเรื่องราวของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์หนึ่ง ที่ทรงมีพระสิริโฉมที่งดงามยิ่งนัก
นั่นก็คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร
เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 19 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2420
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ เล่าลือกันว่าทรงมีพระสิริโฉมที่งดงามเป็นที่สุด
เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่ประสูติในเศวตฉัตร ซึ่งถ้าหากประสูติเป็นพระองค์ชาย ก็คงจะได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท
ที่สำคัญคือพระองค์มีพระพักตร์และพระรูปโฉมคล้ายคลึงกับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพราะทรงเคยตรัสว่า "หน้าลูกหญิงเหมือนย่า พ่ออยากจุดธูปเทียนบูชาเหลือเกิน" และพระราชทานพระธำมรงค์ให้
ความงดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องและโสภาคย์ของทูลกระหม่อมหญิงยังความปีติโสมนัส ให้สมเด็จพระบรมชนกนาถและพระชนนีเป็นอย่างยิ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ทรงวิตกกังวลอย่างยิ่ง เพราะความงามบริสุทธิ์ พระฉวีผุดผ่องไม่มีไฝฝ้าราคี ในสมัยโบราณถือความเชื่อกันว่า ผู้ที่เกิดมางดงามมากยากจะเลี้ยงให้รอดชีวิตต่อมา ดังนั้น จึงมีพระกระแสรับสั่งพระชนนี พระพี่เลี้ยง พระนม และแพทย์หลวงให้ระวังใกล้ชิด หากทรงพระประชวรแม้เพียงนิดจะต้องรีบกราบบังคมทูลในทันที
พระเพลาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ ทำให้พระองค์เสด็จไปในพระราชพิธีไม่ได้ จึงทำให้พิธีแห่โสกันต์นั้นต้องเลื่อนไปถึงค่ำ
หลังพระราชพิธีโสกันต์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร พระองค์ต้องงดเสด็จออกจากพระราชฐานฝ่ายในและทรงสะพักอย่างขัตติยราชนารี แต่พระองค์ทรงกันแสง และทูลขอพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้รับสั่งให้พระองค์เป็นเด็กต่อ
เพื่อที่จะถวายงานราชเลขานุการิณีรับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระชนกนาถที่ฝ่ายหน้าได้ต่อไป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้เป็นตามนั้น แต่ทรงตรัสไว้ว่า "เมื่ออายุครบ 18 เมื่อใดพ่อจะไม่ยอมลูกหญิงอีก"
นั่นก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ผู้เป็นพระราชธิดา และ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้เป็นพระราชโอรส
คงจะไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีกว่า พระจริยวัตรของทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์นี้ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร เป็นพระราชธิดา
ที่สนิทสิเน่หาของพระบรมราชบิดามาก โดยเป็นพระเจ้าลูกเธอเพียงพระองค์เดียวที่ได้รับพระราชทานกรมสูงถึงกรมหลวง โดยมีพระนามกรมคือ ศรีรัตนโกสินทร
ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็เป็นพระราชโอรสที่ทรงโปรดปรานเช่นกัน ตรัสเรียกว่า "เจ้าฟ้านัมเบอร์ทู" พร้อมกับทรงมอบหมายพระราชกิจสำคัญให้หลายอย่าง เช่น ผู้บัญชาการกองทัพเรือ เป็นต้น ถึงขั้นหากว่าทรงขาดเฝ้าฯ ไปสักสองวัน จะมีพระบรมราชโองการว่า เจ้าชายหายไปไหนไม่เห็นมา และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญาจะต้องรีบเสด็จออกมาตามพระองค์ไปเข้าเฝ้าฯทันที
สิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจมากนั่นก็คือ ลายพระหัตถ์ฉบับหนึ่งที่ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ทรงเขียนถึง พระราชโอรส สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เนื้อความดังนี้