(บทความ) นโยบายลดความเหลื่อมล้ ของไทยในอดีต คือ ปล่อยตามยถากรรมบนรัฐธรรมนูญ

หากเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลในยุคประชาธิปไตยเต็มใบที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 กับรัฐบาลในยุคก่อนนั้นไม่ว่าจะเป็นช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบ 2519-2539 หรือช่วงยุคเผด็จการ 2491-2519 จะเห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ คือนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการ  “ลดความเหลื่อมล้ำ” ให้กับประชาชน และเป็นปัจจัยหลักในการขยายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเมื่อประชาชนในทุกภาคส่วนของสังคมได้รับโอกาสที่เท่าเทียมหรือใกล้เคียงกัน นั้นก็หมายถึงโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับประชาชน เมื่อประชาชนมีรายได้มากขึ้น เศรษฐกิจเจริญเติบโต รัฐก็สามารถจัดเก็บรายได้มากขึ้นด้วย

     สิ่งเดียวที่ทำให้ทุกรัฐบาลก่อนหน้า พ.ศ. 2540 เหมือนจะไม่เอาใจใส่กับการแก้ไขปัญหาเหลือบล้ำทางสังคม ก็คือ รัฐธรรมนูญที่ทุกฉบับให้สิทธิการเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงกับประชาชน แต่เพียงในนาม หนำซ้ำในบางช่วง ก็เกิดปรากฏการณ์ทางการเมือง ที่เอื้อประโยชน์ต่อคนกลุ่มเดียวอีก เช่น

      ในช่วงเผด็จการ จอมพล ป พิบูลสงคราม รอบ2 ซึ่งกลับมาก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยกำลังทหารและการสนับสนุนของ พลโท ผิณ ชุนหะวัณ ก็ยังหมกมุ่นกับการไล่ล่าทำลายล้าง คู่แข่งทางการเมืองเก่า  คือกลุ่มของนาย ปรีดี พนมยงค์ แนวนโยบายที่ใช้ก็ยังคงเหมือนในช่วงสงครามโลก ในยุคที่ตน ครองอำนาจครั้งแรก คือ “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” มุ่งเน้นการบังคับ ปฏิวัติวัฒนธรรมมากกว่า ที่จะใส่ใจเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำ

     ในที่สุดก็ถูกกลุ่มเผด็จการอีกพวกโค่นล้ม โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กระทำการรับประหาร เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 สืบทอดอำนาจกันในช่วงนี้ผ่านรัฐบาลต่างๆต่อเนื่องยาวนานถึง 4 รัฐบาล เป็นเวลากว่า 20 ปี นโยบายที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ “ความเฉียบขาด รุนแรง กับผู้ต่อต้าน” ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจหรือการลดความเหลือบล้ำนั้น เรียกได้ว่า ปล่อยไปตามยถากรรม แค่อย่ามาทำความวุ่นวายให้กับผู้ถือครองอำนาจก็พอแล้

     จนมาถึงช่วงสูญญากาศทางการบริหาร เพราะเกิดเหตุการณ์  14 ตุลา 2516 คณะเผด็จการเก่าของจอมพล สฤษดิ์ และจอมพลถนอม สิ้นอำนาจไป โดยมีนายกรัฐมนตรีพระราชทานคนแรก คือนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ซึ่งก็ดีขึ้นในแง่ที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพโดยไม่มีพวกเผด็จการเข้ามาบังคับในรัฐบาลยุคนี้ที่เข้ามาสานต่อ จากการล้มระบบเผด็จการทหาร แต่นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ ของภาคประชาชนนั้นก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเช่นเดิม

     จนมาถึงช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่นำโดย รัฐบุรุษของประเทศไทย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ที่พยายามลักดันนโยบาย รัฐข้าราชการ มาปกครองครองประเทศ  แม้บ้านเมืองจะดูเป็นปกติสุขดีในช่วงนี้ แต่นโยบาย ลดความเหลือมล้ำ ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม คือ ตามยาถากรรม มีความหวังเล็กๆ คอยให้ภาครัฐลงมาโปรดเป็นครั้งคราว ตามแต่คอนเน็คชั่นของผู้นำชุมขน

     แต่พอพลเอกเปรมลงจากอำนาจ และพลเอกชาติชายเข้ามาสานต่อ พยายามจะดันนโยบาย “นิกซ์” มาขับเคลื่อนประเทศไทย เปิดตัวค่อนข้างร้อนแรงด้วยการพลิกสนามการรบให้เป็นสนามการค้า จับมือร่วมกับประเทศคู่พิพาทในสงคราม พยายามเปลี่ยนภูมิภาคนี้ให้เป็นที่สนใจจกนักลงทุนต่างชาติ แต่ก็ยังไม่ทันลุล่วง ก็ถูกอำนาจรัฐข้าราชการเก่าขัดขวาง และถูกโค่นอำนาจ แค่ระยะเวลา 2 ปีกว่าๆ  

แต่อำนาจของ คณะ รสช ก็ถูกต่อต้านโดยประชาชน และต้องยุติไปในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

     จากตัวอย่างเหตุการณ์ที่ยกมา ก็คงจะพอมองออกกันได้ แม้จะไม่ได้เขียนลงลึกถึงรายละเอียดในแต่ล่ะช่วงเหตุการณ์

     และต้องรอคอยมาอีกหลายรัฐบาล ถึงจะมีคนที่ผลักดันนโยบาย ลดความเหลื่อมล้ำ ในประเทศไทยให้เกิดขึ้นจริง นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 ซึ่งคนๆนั้นชื่อ บรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรี ผู้ผลักดันให้เกิด รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงมากที่สุด

     และการเริ่มต้นไว้ของนายบรรหาร จุดประกายให้นักการเมืองในสมัยต่อๆมา ยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หรืออิงแอบกับระบบรัฐข้าราชการแค่กลุ่มเดียว การลดความเหลือบล้ำเริ่มมีให้เห็นขึ้นมาบ้าง มิได้ปล่อยให้ประชาชนเป็นไปตามยถากรรมดังช่วงอดีตที่ผ่านมา

     จนประสบผลสำเร็จที่สุดในยุคของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำเอา นโยบายประชานิยม มาแบ่งปันความเท่าเทียมให้กับทุกชนชั้นในสังคมอย่างเท่าทียมและเป็นรูปธรรมมากที่สุด เมื่อประชาชนได้รับโอกาสอย่างทั่วถึง ก็เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจกิจให้เจริญรุดหน้าราวติดปีก กลายเป็นชาติหัวแถวภายในภูมิภาค ประชานิยมของทักษิณ คือการเข้ามาสนับสนุนประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ มิได้ปล่อยให้ประชาชนตกอยู่ในยถากรรมอีกต่อไปแล้ว

    แต่ทันทีที่รัฐธรรมนูญ 2540 ถูกฉีก ความเหลือมล้ำต่ำสูงก็กลับมา แม้นโยบายประชานิยมจะยังอยู่  แต่ก็ถูกอุปสรรค ในรัฐธรรมนูญ 2550 ที่วางองค์กรอิสระไว้ ให้ขัดขวางการทำงานของฝ่ายบริหาร

เรียกได้ว่า ประชานิยม ยังมี แต่ ยถากรรมก็กลับมาแล้ว

     เพราะหัวใจที่แท้จริงการของลดความเหลือมล้ำนั้น อยู่ที่รัฐธรรมนูญ เพราะไม่ว่าจะรัฐบาลในประชาธิปไตยแบบเต็มใบ หรือครึ่งใบก็ตามผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าคงมีการคิดแก้ไขปัญหานี้กันอยู่ในทุกรัฐบาล แต่ไม่สามารถผลักดันออกมาเป็นรูปธรรมได้เพราะติดขัดที่อำนาจในรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้ไว้มีรัฐธรรมนูญฉบับเดียวเท่านั้น ที่ให้อำนาจการตัดสินใจมาจากประชาชนและประชาชนเป็นศูนย์กลบางของอำนาจคือรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ส่วน ฉบับ 2550 นั้นแม้จะให้อำนาจการตัดสินใจมาจากประชาชนก็ตาม แต่ก็ถูกคุมควบโดยองค์กรอิสระอีกที ซึ่งประชาชนก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นเจ้าของอำนาจแค่เพียงในนาม และเหมือนกับในรัฐธรรมนูญหลายสิบฉบับที่ผ่านมา ที่ไม่ได้ลดความเหลือบล้ำต่ำสูงของประชาชนเลย

หรือการลกความเหลือบล้ำ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในเมืองไทย ที่เคยเกิดขึ้นเพราะรัฐธรรมนูญ 2540  เป็นเพียงแค่เรื่องฟลุ๊คแค่นั้นหรือ

     ต่อไปในภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะทุกวันนี้ ประชานิยมก็ยังคงอยู่ แต่ความเหลือบล้ำต่ำสูงก็ยังคงมีเหมือนเก่า อนาคตจะเป็นอย่างไรก็คงต้องขึ้นอยู่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังร่างกันอยู่นี้ ว่า ประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง จะมีอำนาจจริงๆสักเท่าไรกันในยามที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้



ปล.ผมเขียนถึงในเหตุการณ์ในครั้งอดีต และตั้งกะทู้นี้ถูกตั้งขึ้นเพราะ เป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสุจริตใจ ไม่ได้มีเนื้อหาส่วนหนึ่งส่วนใดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ และไม่ขัดต่อประกาศ คสช ฉบับที่ 97.
(1) ข้อความอันเป็นเท็จ หรือที่ส่งไปในทางหมิ่นประมาท หรือสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
(2) ข่าวสารที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ รวมทั้งหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
(3) การวิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง
(4) ข้อมูลเสียง ภาพ วีดิทัศน์ ความลับของการปฏิบัติงานของหน่วยราชการต่างๆ
(5) ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร
(6) การชักชวน ซ่องสุม ให้มีการรวมกลุ่มก่อการอันเกิดการต่อต้านเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(7) การขู่จะประทุษร้ายหรือทำร้ายบุคคล อันนำไปสู่ความตื่นตระหนก หวาดกลัวแก่ประชาชน

และผมยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเว็บบอร์ดแห่งนี้ทุกประการ ซึ่งถ้าที่สุดแล้ว wm หรือฝ่ายกฎหมายเห็นว่ากะทู้นี้เข้าข่ายผิดกฎหมาย แล้วลบกะทู้ แต่กรุณาชี้แจ้งให้กระผมทราบด้วย ว่าผิดกฎหมายมาตราใด หรือขัดกับประกาศ คสช.ฉบับไหน เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้ศึกษากฎหมายอย่างลึกซึ้งจนเข้าใจในทุกมาตรา แต่ก็ศึกษาหาความรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองตลอดมา และถ้าหากท่านชี้แจงว่า ลบกะทู้นี้เพราะผิดกฎหมายในมาตราใด ผมจะได้เข้าใจมากขึ้น และปฏิบัติตัวให้อยู่ในของเขตของกฎหมาย และกฎระเบียบของเว็บไซต์

ขอบคุณครับ

*แก้ไขคำผิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ครั้งเมื่อคราว รสช ยึดอำนาจ
ประเทศชาติ ขยาดหนัก ยักษ์รุกไล่
ครองอำนาจ ไม่เสียชีพ เสียสัตย์ไป
ประชาชน ทนไม่ได้ ไล่พ้นทาง

ปชต. กลับเบ่งบาน ในอีกครั้ง
ลงเลือกตั้ง แข่งขัน กันหลากหลาย
ผู้ชนะ ในครานั้น ชวนหลีกภัย
เสียงส่วนใหญ่ ที่ได้นั่ง ในสภา

ทำงานไป ได้ไม่นาน ก็เกิดเรื่อง
สปก. โครงการเขื่อง เรื่องอื้อฉาว
บุกรุกป่า ให้พี่น้อง กันระนาว
แล้วสูเจ้า อยู่ไม่ได้ ต้องลาไป

ปชต. กลับคืนสู่ ชาติอีกครั้ง
ลงเลือกตั้ง สู้กันใหม่ บรรหารได้
แต่ทำงาน ได้ไม่นาน ก็ต้องไป
แมลงสาปไล่ ก็เพราะเตี่ย เป็นคนจีน

ลงเลือกตั้ง สู้กันใหม่ กันอีกครั้ง
คนก็เลือก ความหวังใหม่ พ่อใหญ่จิ๋ว
อยู่ไม่นาน เศรษฐกิจทรุด ตำแหน่งปลิว
เงินบาทลอย ปลิวละลิ่ว สู่ทะเล

เป็นโอกาศ สุดทอง ของเบอร์สอง
ชวนรีบจ้อง มองงูเห่า แถวปากน้ำ
บุกถึงถ้า คว้าคล้องคอ เปลี่ยนขั้วตาม
แม้งามใส้ ก็ไม่สน กรูจะเอา

ชวนรอบสอง อยู่จนครบ จบอำนาจ
ค่าเงินบาท แก้ปัญหา ด้วยการกู้
จอร์จโซรอส นั่งขรรม อยู่บนภู
คอยนั่งดู ลูกหนี้มัน คอยหาเงิน

คนเริ่มเบื่อ นักการเมือง มืออาชีพ
กระแสบีบ ให้หาคน หาเงินได้
ทักษิณโผล่ เป็นตัวเลือก ให้คนไทย
สุดท้ายได้ ที่นั่งใหญ่ ในสภา

ทำงานดี หาเงินเก่ง ชาวบ้านชอบ
พวกหลบหมอบ แอบอิจฉา หาช่องไล่
แต่เนื่องจาก ผลงานมาก คนเชื่อใจ
แค้นเก็บไว้ รอเพียงวัน คิดบัญชี

เลือกตั้งใหม่ อีกครั้ง แม้วก็ได้
กวาดที่นั่ง มากหลาย จนล้นหลาม
พวกหมั่นใส้ จุกยันอก พกแค้นความ
จะหาทาง ตามราวี มันยังไง

ลิ้มเพื่อนรัก โดนหักอก จากเพื่อนแม้ว
จากเพื่อนแก้ว กลายเป็นโจทย์ ตามล้างผลาญ
ก่อม็อบไล่ อ้างเบื้องสูง คนคล้อยตาม
แมลงสาป ก็ได้ที เกาะลิ้มเลย

อยู่ไม่ได้ จนต้องยุบ สภาหนี
เพื่อให้มี เลือกตั้งใหม่ ไปต่อได้
มันไม่ง่าย อย่างที่คิด สิยอดชาย
แมลงสาปหาย จากสนาม บอยคอตเลย

เป็นจังหวะ ที่เหมาะสม ของพวกจ้อง
แค่เหลือบมอง ก็เห็นทาง ล้มแม้วได้
คมช. ขับรถถัง ลุยแม้วไป
กลับประเทศ ก็ไม่ได้ มาหลายปี

รัฐบาล คมช. ใส่เกียร์ว่าง
เคลียร์ทุกอย่าง เลือกตั้งใหม่ ให้เร็วรี่
จังหวะนั้น มาร์คโคตรฮอต กำลังดี
กติกา ได้เปรียบสิ ทุกประตู

โลกไม่สวย อย่างที่มาร์ค ได้เคยคิด
สมัครบิด คันเร่งแซง ครึ่งสนาม
โอ๊วมายก๊อต แม่ยกบอก อกแตกตาม
ทั้งที่วาง หมากทุกอย่าง มาร์คแห้วเอง

ท่านสมัคร ทำงานไป ได้ไม่นาน
พันธมาร โผล่อีกแล้ว ไอ้พวกนี่
องค์กรบ้า อิสระ ตามราวี
ทำกับข้าว ออกทีวี ไม่ดีงาม

ยุคสมชาย รับอำนาจ จากสมัคร
แต่พวกยักษ์ พวกมาร หาเลิกไม่
ยึดสนามบิน จนชาติ แทบบรรลัย
พวกงามใส้ ตามตัดสิทธิ์ เลวเหมือนเคย

เทือกประสาน สิบทิศ ทำเพื่อมาร์ค
เกมประหลาด แย่งคน อายที่ไหน
ยี้ห้อยบอก เรื่องแบบนี้ กรูไม่อาย
จบแล้วนาย มอบตำแหน่ง ให้มาร์คไป

คนอะไร จะด้านหน้า ถึงเพียงนี้
แค่ทำดี ให้คนเลือก ยากตรงไหน
แต่กับเลือก ทำบ้านเมือง ผิดเพี้ยนไป
เพียงเพื่อได้ นั่งนายกฯ สมใจตน

พอเสื้อแดง ทนไม่ได้ ออกมาไล่
ยัดข้อหา ก่อการร้าย ให้สาสม
ขับรถถัง สไนเปอร์ ยิงระดม
ซากคนจม กองเลือด เชือดโชว์พาว

คนขยาด กับความโหด ของมาร์คเทือก
ยอมทนรอ เพื่อรอเลือก ใหม่คราวหน้า
ขืนออกไป อีกครั้ง โดนอีกครา
แถมตราหน้า ว่าขายชาติ ขายแผ่นดิน

เลือกตั้งใหม่ อีกครั้ง มาบรรจบ
มากต้องพบ กับคู่แข่ง หน้าใหม่นี่
มาร์คนั่งขรรม ชนะแน่ กรูคนดี
อีกทั้งชี พึ่งรู้ตัว ได้ไม่นาน

โลกไม่สวย อีกแล้ว พี่มาร์คขาาาา
เจอปูจ๋า เสยหงายเงิบ คาเก้าอี้
แม่ยกบอก โธ่ไอ่มาร์ค ไอ่กรูปรี
แพ้ทั้งที่ มาร์คได้เปรียบ ทุกประตู

นายกฯหญิง ทำงานได้ ยังไม่นาน
พันธมาร มาอีกแล้ว พวกงามใส้
ม็อบคนดี ปิดประเทศ จนบรรลัย
จะซิปหาย วอดวาย ช่างหัวมัน

ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ มันไม่เอา
มันบอกเรา ยังไม่เหมาะ ระบอบนี้
ประเทศเรา ต้องระบอบ ของคนดี
ใครขวางสิ เราจะฆ่า ถ่วงน้ำมัน

ม็อบประหลาด เริ่มแพ้ภัย ในสิ่งชั่ว
เรื่องที่ตัว ก่อกรรม ชาติฉิกหาย
คนเริ่มหนี ทุนก็หมด จะทำไง
หาทางลง ก็ไม่ได้ ออกตัวแรง

ผลสุดท้าย ก็ต้องมี บทสรุป
ม็อบบุกทุบ ประเทศชาติ จนเสียหาย
ทำร้ายคน ประเทศชาติ ประชาธิปไตย
ลงไม่ได้ ต้องให้คน มาพาลง

หลังจากนี้ จะแต่งต่อ ยังไงได้
เวปไม่ห้าม แต่พูดไป ล็อคอินหาย
เขาห้ามแตะ กลัวถูกยึด เวปนี้ไป
ก็เข้าใจ เวปมาสเตอร์ เธอก็เพลีย

ลองเปิดอก คุยกัน สักครั้งไหม
ขยายขอบ เขตความคิด ที่พูดได้
เพราะมันคือ ความจริง ประเทศไทย
อะไรใช่ อะไรเท็จ พินิจดู

อยากให้เวป ได้เข้าใจ สมาชิกด้วย
สังคมป่วย แยกดีชั่ว มั่วมากหลาย
ตรรกะป่วย มันไม่ช่วย ให้สบาย
แต่ความจริง มันไม่ตาย จากใจคน....


ความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยจะให้มันหายไปหมดเลยมันเป็นไปไม่ได้ แต่จะดีไม่น้อยหากเรามีความจริงใจในการแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ว่าจะมาจากรัฐบาลไหนเพื่อลดช่องว่างตรงนั้นลง แต่ช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อสิบปีให้หลังมานี้ช่องว่างตรงนั้นกับมีมากขึ้นเพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองมันลามปามไปถึงการแบ่งแยก ดุถูกเหยียดหยามกันของคนต่างชนชั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่