เคยไหมครับ ที่รู้สึกว่าเมื่อมองไปรอบตัว ทุกอย่างเหมือนเป็นภาพลวงตาไปหมด

สวัสดีครับ ขอบ่นนะครับ

ผมเป็น นศ. ป. เอกทางพฤติกรรมศาสตร์แขนงหนึ่งครับ กำลังจะอายุ 28 แล้ว กำลังสอบทดสอบความรู้ ดูจากสีหน้า อ. แล้ว ผมก็รู้ว่าไม่มีปัญหา
ผมทำงานพิเศษให้มหาวิทยาลัยด้วย รายได้ไม่ดีมากนัก แต่ก็พอให้ผมเรียนฟรี มีสวัสดิการ และเช่าหออยู่มีพื้นที่กว้างขวางและซื้อของใช้สอยได้อย่างสะดวกสบาย
ผมมีเพื่อนสนิทที่คุยกันได้ทุกเรื่องสองสามคน มีเพื่อนออกกำลังกายด้วยกัน เล่นเกมด้วยกัน เพื่อนบ้านก็มีน้ำใจ เพื่อนร่วมงานก็ไม่มีปัญหา มีพ่อแม่ที่รักกันดีและก็รักผมมาก ผมไปเยี่ยมท่านนานๆ ที
ผมรักงานที่ตัวเองทำ และงานที่ผมทำก็แสดงตัวออกมาอย่างดี ผมได้รับรางวัลระดับประเทศมากมายพอตัวอยู่ครับ
เพื่อนๆ ต่างก็บอกว่าผมช่างสุภาพ ใจดี เข้ากับใครๆ ก็ได้ เขาอยากเป็นอย่างผมกันบ้าง

แต่ผมรู้สึกว่างเปล่า

ผมรู้สึกว่าตัวตนของผมเป็นแค่ภาพลวงตา เป็นภาพสะท้อนของคนอื่น ผมเป็นไอ้คนลวงโลกที่แสดงเป็นผู้ชายเฉลียวฉลาดนิสัยดีคนนั้น
พอผมอยู่คนเดียว ปิดประตูห้องเช่า เห็นแต่เงาตัวเองในกระจก ยิ่งวันที่กลับมาจากงานเลี้ยง แต่งตัวเท่ ผมเห็นใครก็ไม่รู้ ดูดี แต่เป็นคนแปลกหน้า
มันเริ่มตอนไหนก็ไม่รู้ ผมศึกษาจิตวิทยาจนเข้าใจคนอื่น รู้ว่าสถานการณ์ไหนต้องพูดยังไง ต้องแสดงท่าทางสีหน้าแววตายังไง ทุกๆ ปี มันแนบเนียนมากขึ้น
ผมสามารถแกล้งทำเป็นโกรธแต่ข่มไว้ แกล้งแสดงความเศร้าออกมาแค่ทางแววตา ทำเป็นเขินอาย ทำเป็นมีความสุขแบบพยายามปิดไว้แต่ไม่มิด ทำเป็นกวนตีน ผมทำได้ทุกๆ อย่างที่คนอยากจะเห็น
ผมสร้างภาพของ "ผม" ขึ้นมาในสายตาของทุกๆ คน ยิ่งทุกคนใกล้กับผม สนิทกับผมมากขึ้นเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกห่างออกไปจากทุกคนมากไปทุกที
บางที ผมอาจจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของผมอีกต่อไปแล้วก็ได้

เวลาอยู่คนเดียว ผมอยากอยู่ใกล้ใครสักคนที่รู้จักตัวจริงของผม รู้ว่าผมมันเป็นไอ้จอมบงการ ปลิ้นปล้อน เป็นนักแสดงพันหน้า เป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว
ผมเอาแต่ใจ ขี้งอแง งี่เง่า ขี้บ่น ช่างท้อ ช่างเปรียบเทียบ ผมอารมณ์เสียเวลาอะไรไม่เป็นไปตามแผน ผมชอบหนีปัญหา แต่สามารถแต่งความจริงจนตัวเองรอดได้
ผมอยากให้คนคนนั้นรู้ทุกเรื่องของผม รู้ถึงความบ้าของผม ความเลวของผม ความไร้สาระของผม
แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากผม ยังกอดผมไว้ ยังฟังผมร้องไห้ ยังกล้าดุผมเวลาที่ผมทำผิด
แม้แต่เวลานี้ ที่ผมนั่งอยู่บนโซฟาในห้องเช่า ผมก็อยากให้มีแขนของใครสักคนมาโอบบ่าผมไว้ ขยี้หัวผมแรงๆ สักที ผมอยากวางหัวของผมไว้กับบ่าของคนคนนั้น ผมอยากร้องไห้กับเสียงหัวเราะของคนคนนั้น
ผมอยากได้ยินว่าตัวตนธรรมดาๆ ชั่วๆ ดีๆ ของผมมีคุณค่า
มันโง่มากเลย ผมรู้ว่าคนเราควรจะรู้คุณค่าของตัวเอง ผมก็รู้คุณค่าของหน้ากากของผม แต่เนื้อในของผมมันดูไม่มีอะไรเลย

ตอนนี้ผมก็ยังอยู่กับความว่างเปล่า กับภาพลวงตาของผมที่ชัดเหมือนภาพจริง แต่ก็หายไปได้ในชั่วพริบตา
ในห้องที่มีแต่เสียงตู้เย็นกับเสียงรถที่ขับผ่านไปจากหน้าต่าง ข้างๆ ตัวผมบนโซฟา มีหมอนอิงหนึ่งใบ บนหน้ามีน้ำตาหนึ่งหยด

มีแต่เรื่องงานที่ผมรัก พ่อแม่ และเพื่อนสนิทหนึ่งคน ที่ทำให้ผมตื่นมาในตอนเช้าของแต่ละวัน แต่มันยากขึ้นทุกๆ เช้า
ผมจะออกไปจากวังวนนี้ยังไงดีครับ

ขอบคุณที่รับฟังนะครับ เพียงแค่รู้ว่ามีคนสักคนบนโลกได้อ่านข้อความนี้ ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้วครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
แปลกดีค่ะ เคยเป็นคล้ายๆ คุณ
แต่กลับกันคือ....ตอนที่เป็นแบบนั้นไม่รู้สึกตัว
มาได้สติตอนที่ต้องตัดสินใจเลิกกับแฟน ยิ้ม

นั่งทบทวนอดีตแล้วถึงเห็นว่า เราได้เสียความเป็นเราไปแล้ว 80%

ถึงขั้นตอบตัวเองไม่ได้ว่าเมนูโปรดจริงๆ คืออะไร
(เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย แฟนชอบอะไรก็กินตามได้หมด)

กิจกรรมยามว่างที่ชอบก็แทบนึกไม่ออก
(แฟนคลั่งการดูหนังมาก เพราะฉะนั้นทุกเวลาว่างของเราคือการไปนั่งอยู่ในโรงหนัง ดูหนังที่แฟนอยากดู)

ต้องแสร้งเป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก ว่าง่าย ใช้คล่อง ต่อหน้าพ่อแม่ฝ่ายชาย ทั้งที่ขัดใจตัวเองในหลายๆ สถานการณ์

เพราะอยากมีโอกาสใช้เวลาที่เหลือทำความรู้จักตัวเอง...
อยู่ๆ ก็นึกหวงความรู้สึกตัวเองขึ้นมา...
อยู่ๆ ก็ไม่อยากให้คนอื่นมามีอิทธิพลเหวี่ยงเราขึ้นลงทางอารมณ์ 5555...
เชื่อว่าถ้าจะมีความสุข เราก็น่าจะผลิตมันออกมาเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาใช้สารเร่ง
ถ้าจะเศร้าก็หาเรื่องเองได้
ไม่ควรปล่อยให้ผู้ชายคนนึงมีโอกาสมาเหวี่ยงเราขึ้นๆ ลงๆ ทำให้เราสุขทุกข์ ตามแต่ใจ
คิดได้ดังนี้ เลยเสี่ยงทิ้งโอกาสที่จะกลับไปคืนดีกับเขาคนนั้น อย่าง... เอ่อ... ไม่ใคร่มั่นใจเท่าไหร่

จวบจนวันนี้ เป็นโสดมาเกือบ 10 ปี แล้วค่ะ ยิ้ม
เรียนรู้ตัวเอง อย่างสนุก และมีความสุขทีเดียว
ยอมรับว่าบางทีก็เหงา (อย่างตอนนี้ เลยต้องเข้ามาหาอะไรทำให้มันยุ่งๆ  555...)
แต่จะให้เอาชีวิตตอนนี้ไปแลกกับการที่จะเอาตัวเองไปปั่นรวมกับใครคนนึง (มีแฟน)
แค่นึกก็... มือ... เท้าเย็นแล้ว ยิ้ม

เว้นแต่ว่า...วันนึงคนบนฟ้าเหวี่ยงให้ไปเจอใครจริงๆ ค่อยมาเรียนรู้ตัวเองในแง่มุมนั้นอีกที

......เท่าที่อ่านเรื่องของคุณ.... รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอน้องคนนึงมีอาการใกล้เคียงกับคุณค่ะ
แต่เค้าออกอาการนี้ตอนเรียนอยู่ ม.5 - ม.6
เป็นเด็กเรียนดี ถึง ดีมาก ชอบเล่นกีฬา
กิจกรรมเลิศ เป็นที่รักของเพื่อนๆ
และน่าจะเป็นคนสุดท้ายในลิสเด็กมีปัญหาของโรงเรียน
วันดีคืนดี หลังจากที่น้องหยุดเรียนไปเกือบอาทิตย์
แม่ของน้องโทรมาแจ้งว่า น้องอยากลาออก ไม่อยากเรียนต่อแล้ว ไม่อยากทำอะไรเลย
เค้าพูดอยู่ประโยคเดียวว่า เค้า "burn out" แล้วก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน พูดน้อย ถามคำตอบคำ
ช็อคทั้งโรงเรียนค่ะ 555...

สุดท้ายแม่ของน้องลองให้น้องไปใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ต่างจังหวัดพักนึงค่ะ
จากนั้นเค้าก็ขอกลับมาเรียนเอง มาเป็นที่รักของเพื่อนเหมือนเดิม
แต่คราวนี้เค้ารู้จักตัวเองดีขึ้นเล็กน้อย
เค้ารู้จักที่จะบอกปฏิเสธเมื่อมีคนขอให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าไม่อยากทำ.... ยิ้ม
ก็ดูมีออร่าความสุขมากกว่าเดิม

ลองทำความรู้จักตัวเองดูนะคะ ขอให้คุณปลุกตัวคุณที่มีความสุขให้ตื่นขึ้นมาในเร็ววันค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่