บทความโดย : คุณชายมะนาว..กับหุ้นสายสีลม
ในบทความครั้งที่แล้วผมได้กล่าวถึง กลยุทธ์ในการกำหนดเป้าหมายและแผนการลงทุน เพื่อให้เราสามารถวางกลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนของเราได้อย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปบ้างบางส่วนแล้ว
ท่านสามารถติดตามอ่านบทความก่อนหน้าได้จาก facebook หรือ blog ของผมได้ครับ
สำหรับในบทความนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมหลังจากที่เราได้แผนภาพดังกล่าวแล้ว เราควรจะทำการวางแผนจัดพอร์ตการลงทุนของเราอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เมื่อท่านได้แผนภาพและกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าน่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวแล้ว ก็ให้ท่านทำการคัดเลือกหุ้นในกลุ่มที่ท่านสนใจ ดังนี้
1. ให้ทำการคัดเลือกหุ้นของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจออกมากลุ่มละ 3-5 ตัว
2. ในจำนวนหุ้นที่คัดเลือกออกมานั้นให้ประเมินว่าหุ้นตัวใดบ้างที่จัดอยู่ในประเภท “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) หุ้นตัวใดบ้างที่จัดอยู่ในประเภท “หุ้นฟื้นตัว” (Turnaround Stock) แบ่งแยกกลุ่มกันออกมาให้ชัดเจน
3. คัดกรองหุ้นที่ได้ทั้งหมดอีกครั้ง โดยให้เหลือหุ้นที่จะทำการลงทุนจริงๆเพียง 3-5 ตัวเท่านั้น โดยวางสัดส่วนของ “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) : “หุ้นฟื้นตัว” (Turnaround Stock) ในสัดส่วน 2:1 (ในกรณีที่เลือกลงทุนในหุ้น 3 ตัว) หรือ 3:2 (ในกรณีที่เลือกลงทุนในหุ้น 5 ตัว)
4. กำหนดเป้าหมายราคาและระยะเวลาการลงทุนให้ชัดเจน ว่าจะเริ่มต้นลงทุนในหุ้นเหล่านั้นในช่วงระยะเวลาใด ด้วยเป้าหมายราคาที่ต้องการซื้อไม่เกินราคาเท่าไหร่
บางท่านอาจจะยังสงสัยอยู่ว่าทำไมจึงให้น้ำหนักการลงทุนใน “หุ้นเติบโต” ในสัดส่วนที่มากกว่า “หุ้นฟื้นตัว” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า “หุ้นเติบโต” จะมีอัตราความเสี่ยงที่น้อยกว่า “หุ้นฟื้นตัว” ดังนั้นจึงควรให้น้ำหนักการลงทุนใน “หุ้นเติบโต” ในสัดส่วนที่มากกว่า และเหตุผลที่จะต้องมี “หุ้นฟื้นตัว” ไว้บ้างก็เพราะว่าหุ้นประเภทนี้จะให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า “หุ้นเติบโต”
ด้วยการวางแผนการลงทุนในลักษณะนี้จะทำให้ท่าน มีเป้าหมายมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะมันจะทำให้ท่านไม่ไขว้เขว่ ไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาดหุ้น
การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงนั้น คือการลงทุนที่ผู้ลงทุน “รู้ตัว” ว่ากำลังทำอะไรอยู่ และรู้ว่า “เป้าหมาย” ที่มีอยู่นั้นคืออะไร พร้อมทั้ง “ทุ่มเท” ให้กับเป้าหมายแผนการลงทุนดังกล่าวนั้นด้วยความ “อดทน” เพื่อ “ความสำเร็จที่ยั่งยืน”
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นนักลงทุนบางคนไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลงก็ยังสามารถยิ้มได้อย่างสบายใจ หุ้นขึ้นก็ดีใจที่เห็นพอร์ตการลงทุนเจริญเติบโต หุ้นลงก็ดีใจที่จะได้เก็บของราคาถูก ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เมื่อหุ้นขึ้นก็ดีใจอย่างสุดโต่ง หุ้นลงก็กระวนกระวายเครียดจนกลายเป็นนอนไม่หลับเพราะการ “ไม่รู้ตัว” ว่ากำลังทำอะไรอยู่ และ “ไม่มีเป้าหมาย” ของการลงทุนที่ชัดเจนนั่นเอง
ในครั้งหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของบทความชุด “กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุน” ซึ่งจะเป็นการสรุปประเด็นสำคัญต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้ว และข้อคิดต่างๆซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านควรจะสนใจ
ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาติดตาม หากไม่รังเกียจกรุณาช่วยกด Like facebook หรือช่วยแชร์ ส่งต่อสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับสังคมด้วยนะครับ และขอเชิญมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ..สังคมเล็กๆที่อบอุ่น เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆคืนให้กับสังคมต่อไป.
บทความโดย : คุณชายมะนาว..กับหุ้นสายสีลม
กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุน ตอนที่ 7 : โดย คุณชายมะนาว..กับหุ้นสายสีลม
ในบทความครั้งที่แล้วผมได้กล่าวถึง กลยุทธ์ในการกำหนดเป้าหมายและแผนการลงทุน เพื่อให้เราสามารถวางกลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนของเราได้อย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปบ้างบางส่วนแล้ว
ท่านสามารถติดตามอ่านบทความก่อนหน้าได้จาก facebook หรือ blog ของผมได้ครับ
สำหรับในบทความนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมหลังจากที่เราได้แผนภาพดังกล่าวแล้ว เราควรจะทำการวางแผนจัดพอร์ตการลงทุนของเราอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เมื่อท่านได้แผนภาพและกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าน่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวแล้ว ก็ให้ท่านทำการคัดเลือกหุ้นในกลุ่มที่ท่านสนใจ ดังนี้
1. ให้ทำการคัดเลือกหุ้นของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจออกมากลุ่มละ 3-5 ตัว
2. ในจำนวนหุ้นที่คัดเลือกออกมานั้นให้ประเมินว่าหุ้นตัวใดบ้างที่จัดอยู่ในประเภท “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) หุ้นตัวใดบ้างที่จัดอยู่ในประเภท “หุ้นฟื้นตัว” (Turnaround Stock) แบ่งแยกกลุ่มกันออกมาให้ชัดเจน
3. คัดกรองหุ้นที่ได้ทั้งหมดอีกครั้ง โดยให้เหลือหุ้นที่จะทำการลงทุนจริงๆเพียง 3-5 ตัวเท่านั้น โดยวางสัดส่วนของ “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) : “หุ้นฟื้นตัว” (Turnaround Stock) ในสัดส่วน 2:1 (ในกรณีที่เลือกลงทุนในหุ้น 3 ตัว) หรือ 3:2 (ในกรณีที่เลือกลงทุนในหุ้น 5 ตัว)
4. กำหนดเป้าหมายราคาและระยะเวลาการลงทุนให้ชัดเจน ว่าจะเริ่มต้นลงทุนในหุ้นเหล่านั้นในช่วงระยะเวลาใด ด้วยเป้าหมายราคาที่ต้องการซื้อไม่เกินราคาเท่าไหร่
บางท่านอาจจะยังสงสัยอยู่ว่าทำไมจึงให้น้ำหนักการลงทุนใน “หุ้นเติบโต” ในสัดส่วนที่มากกว่า “หุ้นฟื้นตัว” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า “หุ้นเติบโต” จะมีอัตราความเสี่ยงที่น้อยกว่า “หุ้นฟื้นตัว” ดังนั้นจึงควรให้น้ำหนักการลงทุนใน “หุ้นเติบโต” ในสัดส่วนที่มากกว่า และเหตุผลที่จะต้องมี “หุ้นฟื้นตัว” ไว้บ้างก็เพราะว่าหุ้นประเภทนี้จะให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า “หุ้นเติบโต”
ด้วยการวางแผนการลงทุนในลักษณะนี้จะทำให้ท่าน มีเป้าหมายมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะมันจะทำให้ท่านไม่ไขว้เขว่ ไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาดหุ้น
การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงนั้น คือการลงทุนที่ผู้ลงทุน “รู้ตัว” ว่ากำลังทำอะไรอยู่ และรู้ว่า “เป้าหมาย” ที่มีอยู่นั้นคืออะไร พร้อมทั้ง “ทุ่มเท” ให้กับเป้าหมายแผนการลงทุนดังกล่าวนั้นด้วยความ “อดทน” เพื่อ “ความสำเร็จที่ยั่งยืน”
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นนักลงทุนบางคนไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลงก็ยังสามารถยิ้มได้อย่างสบายใจ หุ้นขึ้นก็ดีใจที่เห็นพอร์ตการลงทุนเจริญเติบโต หุ้นลงก็ดีใจที่จะได้เก็บของราคาถูก ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เมื่อหุ้นขึ้นก็ดีใจอย่างสุดโต่ง หุ้นลงก็กระวนกระวายเครียดจนกลายเป็นนอนไม่หลับเพราะการ “ไม่รู้ตัว” ว่ากำลังทำอะไรอยู่ และ “ไม่มีเป้าหมาย” ของการลงทุนที่ชัดเจนนั่นเอง
ในครั้งหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของบทความชุด “กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุน” ซึ่งจะเป็นการสรุปประเด็นสำคัญต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้ว และข้อคิดต่างๆซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านควรจะสนใจ
ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาติดตาม หากไม่รังเกียจกรุณาช่วยกด Like facebook หรือช่วยแชร์ ส่งต่อสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับสังคมด้วยนะครับ และขอเชิญมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ..สังคมเล็กๆที่อบอุ่น เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆคืนให้กับสังคมต่อไป.
บทความโดย : คุณชายมะนาว..กับหุ้นสายสีลม