วันนี้แมวตากลมไม่ได้มาดูดวงนะคะ แวะมาแจกยาคลายทุกข์ให้ชาวห้องพรหมชาติค่ะ

กระทู้สนทนา
อาจจะไม่ได้มาตั้งกระทู้ดูดวงนะคะ ช่วงนี้น้องแมวสอบ แต่เข้าห้องพรหมชาติทุกวัน รู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงมากๆ เลยอยากให้อะไรปลอบประโลมใจทุกๆคนเล็กน้อย ขอแท็กศาสนาพุทธด้วยนะคะ  อมยิ้ม29

นำมาจาก
วารสารสุขศาลา ฉบับที่ ๑๑
สุขเหนือสุข
พระไพศาล วิสาโล


พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องทุกข์ไว้เยอะมาก ในบทสวดมนต์ตอนเช้าก็มีการสาธยายถึงความทุกข์ค่อนข้างเยอะ อันนี้ไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาชื่นชอบความทุกข์อย่างที่มีคนบอกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ในฝ่ายทุกข์นิยม การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงทุกข์อยู่บ่อยๆ ก็เพื่อให้รู้จักทุกข์ตามที่เป็นจริง จะได้เกี่ยวข้องกับทุกข์อย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้มีชีวิตที่ผาสุก

พระพุทธองค์ตรัสว่าเราควรเกี่ยวข้องกับทุกข์และสุขให้ถูกต้อง ข้อหนึ่งก็คือไม่ไปเอาความทุกข์มาซ้ำเติมหรือทับถมตนเอง เช่น ถ้ามีเงินก็ไม่ควรอยู่อย่างยากลำบาก หรือตระหนี่ถี่เหนียว พระองค์ไม่สรรเสริญด้วยซ้ำคนซึ่งเป็นเศรษฐีแต่กินข้าวปลายหัก ใส่เสื้อผ้าปุปะ อยู่อย่างระกำลำบาก อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเอาความทุกข์มาทับถมตน เมื่อมีเงินก็ควรจะเลี้ยงตนให้เป็นสุข รวมทั้งดูแลครอบครัวและบริษัทบริวารให้มีความสุข รวมทั้งเกื้อกูลผู้อื่นด้วย

ความสุขที่ว่าจะหมายถึงกามสุขด้วยก็ได้ กามสุขคือสุขจากการได้เสพสิ่งที่น่าพอใจ ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อันนี้เรียกว่ากามสุข จะเรียกว่าสุขจากสิ่งเสพสิ่งบริโภค หรือสุขจากวัตถุก็ได้ พุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธกามสุข แต่ว่าจะต้องเป็นสุขที่ได้มาโดยชอบธรรม คือ ไม่ได้ไปโกงหรือเอาเปรียบเขา และเมื่อได้มาแล้วก็ใช้หรือเสพให้เป็น ถ้ามีแต่เก็บไว้ไม่ใช้เลย ก็ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อใช้แล้วก็ต้องระวังอย่าไปยึดติด อย่าไปยึดติดในกามสุขเพราะว่ากามสุขนั้นเจือไปด้วยโทษ มันเหมือนกับคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าแห้ง มันให้แสงสว่างก็จริง แต่ก็มีควันมาก ทำให้ระคายเคืองหรืออาจสำลักได้ ถ้าเกี่ยวข้องกับมันไม่เป็น มันก็ทำร้ายเราได้

พระองค์ตรัสถึงคนที่ติดในกามสุขว่าเปรียบเสมือนกวางที่ติดใจในทุ่งหญ้าที่เขียวขจี กินหญ้าอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งถูกพรานซึ่งแอบซุ่มอยู่ยิงเอา ความเพลิดเพลินในกามสุขก็ทำให้ประมาทมองไม่เห็นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัว แต่ถ้าไม่ยึดติดกามสุข ไม่หลงใหลเพลิดเพลิน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ดังนั้น กามสุขจึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่พุทธศาสนาปฏิเสธ พระพุทธองค์เองก็ได้รับความสุขชนิดนี้พอสมควร เช่น มีคนถวายอาหารหรือจีวรที่ประณีตให้ มีเสนาสนะที่สะดวกสบาย อันนี้ก็จัดเป็นกามสุข แต่ว่าพระองค์ไม่ติด พระองค์เคยตรัสว่า ถ้าเปรียบเทียบกับพระสาวกหลายๆ ท่านแล้ว พระองค์อยู่สุขสบายกว่ามาก มีสาวกบางท่านอยู่ด้วยจีวรที่ได้มาจากผ้าบังสุกุล คือผ้าห่อศพ บางท่านก็ฉันแต่อาหารที่ได้จากบิณฑบาตอย่างเดียว เรียกว่าเคร่งในธุดงควัตรมาก แต่พระองค์ไม่ได้มีวัตรอย่างนั้น บางครั้งทรงฉันอาหารที่ประณีต ครองจีวรที่ทำด้วยผ้าเนื้อดี ถ้าหากดูกันที่ความเคร่งแล้ว มีพระสาวกหลายท่าน เช่น พระมหากัสสปะ ที่เคร่งกว่าพระองค์มาก แต่สาเหตุที่พระพุทธองค์ทรงได้รับความเคารพจากพระสาวกทั้งหลายก็เพราะพระองค์ทรงบรรลุคุณวิเศษ มีปัญญารู้แจ้งในอริยสัจสี่จนเป็นอิสระจากความทุกข์สิ้นเชิง อีกทั้งยังสามารถสอนผู้คนให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้

สรุปก็คือกามสุขมิใช่สิ่งที่ต้องปฏิเสธ ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ได้มาชอบธรรมก็ควรจะใช้ประโยชน์ แต่ก็อย่าไปยึดติด เพราะว่ามันมีโทษ เช่น ไม่เที่ยง และเจือไปด้วยทุกข์ อย่างไรก็ตามการจะเห็นโทษของกามสุขอย่างเดียวเท่านั้นย่อมไม่พอ เพราะว่ายังไม่ช่วยให้เราปล่อยวางกามสุขได้ คือทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นโทษ แต่ก็ยังเข้าหามันอยู่ พระพุทธองค์ทรงอุปมาอุปมัยว่าเหมือนกับคนที่เดินกลางแดดมาทั้งวัน กระหายน้ำ คอแห้ง ถ้าเจอเหยือกน้ำอยู่ข้างหน้า ข้างในเป็นน้ำสีสวย รสอร่อย แม้มีคนเตือนว่าน้ำมีพิษ กินแล้วตายได้ แต่คนที่หิวมากๆ เขาไม่ฟังหรอก ขอดื่มดับกระหายก่อน เพราะความกระหายมันเป็นความทุกข์เฉพาะหน้าที่ต้องการดับให้ได้ พอดับกระหายแล้วอะไรจะเกิดขึ้นตามมาก็เป็นเรื่องอนาคต คนเรามักจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่สนใจผลที่ตามมา

ในทำนองเดียวกันแม้จะรู้ว่ากามสุขเป็นโทษ แต่ความรู้อย่างเดียวไม่ทำให้เราห่างไกลจากมันได้ ตราบใดที่ใจยังโหยหาความสุขอยู่ จะเหินห่างจากมันได้ก็ต่อเมื่อมีความสุขอย่างอื่นที่ประณีตกว่าเข้ามาแทนที่ ความสุขอันนี้ได้แก่อะไร ได้แก่ เนกขัมสุข คือ สุขจากการปลอดโปร่งจากกาม สุขชนิดนี้จะเกิดขึ้นได้ ทีแรกเราก็ต้องว่างเว้นจากกามก่อน หรือเสพให้น้อยลง ใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตขาดรสชาติ แต่ต่อไปก็จะรู้สึกปลอดโปร่งเบาสบาย เพราะมีเรื่องยุ่งยากน้อยลง

กามนั้นให้ความสุขก็จริง แต่มันเต็มไปด้วยภาระมาก มันก่อให้เกิดความทุกข์หลายอย่าง ทุกข์ตั้งแต่อยากแล้ว พออยากได้ก็ต้องไปดิ้นรนแย่งชิงเอามา ต้องแข่งกันหาเงินหาทองจนเหนื่อย ในระหว่างนั้นก็ต้องมีความโกรธ มีความไม่พอใจ เพราะต้องกระทบกระทั่งกับคนอื่น เมื่อได้มาแล้วก็ใช่ว่าจะมีความสุข บางครั้งก็อิจฉาคนที่ได้มากกว่า รู้สึกเป็นทุกข์ที่ตัวเองได้น้อยกว่า หรือเกิดเบื่อของเดิม อยากได้ของใหม่ เพราะเดี๋ยวนี้มันมีสิ่งกระตุ้นให้เราอยากได้อยู่เรื่อยๆ ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่มี ในสิ่งที่ได้มา ยุคนี้เป็นยุคบริโภคนิยม จะมีการกระตุ้นให้เราอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลา ไม่ว่ามีเงินมากเท่าไรก็ไม่เคยพอ ไม่สามารถซื้อของที่ต้องการได้ครบถ้วน ไม่เหมือนสมัยก่อน เงินไม่ค่อยมีความหมายเท่าไร เพราะว่ามีเงินก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร

หวังว่าทุกท่านจะไม่ทุกข์เพิ่ม และสบายใจขึ้นไม่มากก็น้อยนะคะ
นานามาลัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่