อาการของสมาธิทึ่ทำให้ดับสนิททั้งใจและกายซึ่งดับวูปลงไปชั่วขณะไม่มีแม้กระทั้งความรู้สึกและภาพนิมิต เรียกว่าฌานอะไร

กราบเรียนท่านผู้รู้

ความจริงแล้วเราไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบและระดับขั้นเท่าไร ที่ถามไปก็เพราะอยากเกิดองค์ความรู้เท่านั้นเอง

          อาการที่เกิดขึ้นครั้งที่ 1 ในการทำสมาธิ
ตอนแรกนับลมหายใจตนเองไปเรื่อย ๆ พร้อมกับระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกสั้นยาวยุบพองโดยไม่ให้หลุดลอย จนนับได้ถึง (1000) หนึงพันครั้ง แล้วหยุดนับต่อ แต่ก็ยังเพ่งลมหายใจต่อด้วยความอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น อาการที่เกิดขึ้นคือ ความรู้สึกปวดเมื่อยเหน็บชาหายไปเหมือนกับร่างกายเบามาก เหมือนกับร่างกายไม่ได้แตะอยู่กับพื้น ลมหายใจเหมือนลอยอยู่กลางกายไม่รู้สึกว่ากระทบปลายจมูกหรือกระทบปอด แล้วเห็นสีของลมหายใจตนเอง แล้วเห็นการหมุนสับเปลี่ยนลมหายใจใหม่เข้ามาและลมหายใจเก่าออกไป เมื่อเพ่งไปที่เสียง เสียงที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ยินหมดและได้ยินเสียงจากแต่ไกลโดยที่ไม่เคยสังเกตได้ยินมาก่อน ได้ยินเสียงหัวใจตนเองติ้นอย่างชัดเจน เมื่อเพ่งไปที่กลิ่น ได้กลิ่นลมหายใจตนเองมีกลิ่นคาวลักษณะคล้าย ๆ กับกลิ่นเนื้อสดซึ่งเข้าใจว่าเป็นกลิ่นของปอด กลิ่นที่ว่านี้ต่างจากกลิ่นที่ออกจากปากซึ่งมีความเหม็นเน่าของขี้ฟัน พอเพ่งไปในกระเพาะ ได้กลิ่นอุจจาระตนเอง พอเพ่งกลิ่นจากที่ไกลได้กลิ่นกับข้าวแต่ไกล ถ้าไม่เพ่งการได้ยิน ก็ไม่ได้ยินเสียง ถ้าไม่เพ่งกลิ่น ก็ไม่ได้กลิ่น นั่งนิ่งโดยไม่รู้สึกว่าเมื่อยเป็นเวลาร่วม 2 ชั่วโมง ครั้นออกจากสมาธิ รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างเหน็บชาจนขยับไม่ได้ ต้องใช้มือช่วยในการกางออก
          คำถามก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการคิดไปเองหรือเปล่า? จัดสมาธิไว้ในระดับไหน? เข้าถึงระดับฌานหรือยัง? ถ้าเข้าถึงเรียกว่าฌานอะไร?

          อาการที่เกิดขึ้นครั้งที่ 2 ในการทำสมาธิ
ต่อจากครั้งที่ 1 ในคืนเดียวกัน เปลี่ยนอิริยาบทจากท่านั่งเป็นท่านอน นอนตัวตรงไม่ขยับ ตอนแรกก็กำหนดรู้ลมหายใจเหมือนเดิมแต่ไม่นับ รู้สึกว่าเกิดอาการปวดตรงท้ายทอย จึงไปเพ่งที่อาการปวดนั้น พอปวดได้สักพักหนึ่งอาการปวดนั้นก็ทุเลาลง มีอาการเคลื่อนไหลไปมาซ้ายขวาตรงหัวส่วนหลังแทน รู้สึกเหมือร่างกำลังแยกออกจากัน และไม่รู้สึกว่าร่างแตะอยู่กับที่นอน เป็นลักษณะเหมือนอนอยู่ลอย ๆ  ที่นี้พอเพ่งไปที่สมองซีกซ้ายก็รู้สึกเหมือนมีกระแสซ่า ๆ อ่อน ๆ ตรงสมองซีกซ้าย พอเพ่งไปที่สมองซีกขวาก็รู้สึกเหมือนมีกระแสซ่า ๆ ที่สมองซีกขวา แล้วเพ่งส่วนไหนก็รู้สึกมีกระแสซ่า ๆ ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นหัวเข่า ข้อศอก แขน ขา ปลายนิ้วมือ ปลายนิ้วเท้า อันฑะ องคชาด กระดูกสันหลัง ก้านสมอง รู้สึกชักสนุกกับมันเหมือนเล่นเกมส์ พอสักพักไม่ใช่แค่รู้สึกมีกระแสซ่า ๆ อย่างเดียว มีภาพที่เป็นแสงใส ๆ เหมือนลำแสงที่ต้นไม้สายใยที่รักษาพระเอกในหนังอวตารให้เห็นด้วย พอเพ่งไปที่ก้านสมอง ภาพของก้านสมองที่มีลักษณะเป็นลำแสงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เพ่งไปในส่วนไหนก็มีภาพให้เห็นในส่วนนั้น หยุดการปรุงแต่ง แล้วสังเกตดูความเป็นไปของความคิด พิจารณาไปหลายอย่าง เช่น ความไม่แน่นอน ความแปรปรวน ความเสื่อมสลายทั้งรูปธรรมและนามาธรรม เป็นต้น แล้วก็กลับไปที่ลมหายใจเหมือนตั้งแต่ต้น แล้วถอดสมาธิออก ดูนาฬิกาก็เป็นเวลาตีสี่พอดี นอนสมาธินิ่งแข็งทื่ออยู่ไม่ขยับเป็นเวลา 7 ชั่วโมงเต็ม ๆ ไม่มีอาการง่วนนอนเลย แล้วก็ไม่เพลียด้วย มีอาการปวดข้อศอกนิด ๆ แต่ก็ไม่กี่นาที่อาการปวดก็หายไปเป็นปกติ กลัวจะเกิดอันตรายแก่สุขภาพตนเอง ก็เลยปล่อยให้หลับไปตามธรรมชาติจนถึง 6 โมงเช้า
          คำถามก็คือ การทำสมาธิเช่นนี้เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า? เข้าถึงขั้นที่ว่าเป็นฌานหรือยัง? ถ้าเป็นฌานเป็นฌานขั้นอะไร?

          อาการที่เกิดขึ้นครั้งที่ 3 ในการทำสมาธิ
ต่อจากครั้งที่ 2 ในวันเดียวกัน หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วในวันเดียวกัน รู้สึกว่าเหมือนอนไม่อิ่ม กลัวจะไปสอนหนังสือที่วัดไม่ไหว พอถึง 8 โมงเช้าก่อนออกจากบ้าน ตัดสินใจจะงีบหลับในท่านั่งพิงเก้าอี้สักประเดี่ยว คราวนี้อาการตึ่งของสมองส่วนหลังบนเกิดขึ้นเอง จึงถือโอกาสนี้ใช้จิตเพ่งไปที่สมองส่วนหลังบนโดยไม่สนใจว่าจะเกิดอันตราย คิดซิว่าเป็นการทดลอง ไม่กลัวตายเพราะภาวนาอยู่เสมอว่า รูปนามนี้ไม่เที่ยง ปรากฏว่าเป็นเรื่องบังเอิญ สมองส่วนนี้ไปควบคุมสมองส่วนอื่น ๆ ที่ควบคุมประสาทรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วงแรกสมองซีกต่าง ๆ ตึ่ง ประสาทตาระงับก่อน ทำให้มืดสนิด ต่อมาตามด้วยประสาทจมูกระงับ แล้วประสาทลิ้นระงับตาม แล้วประสาทหูได้ยินเบาลงอย่างมาก การสัมผัสทางกายไม่รู้สึก แล้วอาการเคลิ้ม ๆ ค่อย ๆ เกิดขึ้น แล้วดับวูปลงไปโดยไม่มีความคิดไม่มีความฝัน ไม่มีการเพ่งไม่มีการจดจ่อไม่ว่าด้วยอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีนิมิตปรากฏ ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เลย แล้วมีการสะดุ้งตื่นขึ้นมาแว้บหนึ่ง ขณะนั้นมีแสงประทีบปรากฏขึ้น แต่ตัดสินใจไม่เพ่งลงในแสงประทีบนั้น เพ่งไปที่สมองส่วนหลังบนเหมือนเดิม แล้วก็ดับวูบลงไปอีกเหมือนเดิม แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้น ขณะนั้นมีแสงประทีบปรากฏขึ้นเหมือนเดิม คราวนี้ค่อย ๆ คลายออกจากอาการที่ประสาทส่วนต่าง ๆ ระงับอยู่ รู้สึกว่าประสาทตาคลายก่อนประสาทอื่น ๆ หลังจากออกจากสมาธิแล้ว ดูนาฬิกา วูป ๆ ตื่น ๆ อยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง รู้สึกสดชื่นกะปรี้กะเปรามากเหมือนสูดอากาศบนยอดเขาในยามเช้าเสมือนกับตื่นจากการนอนหลับ 8 ชั่วโมง แล้วมีอาการไม่ง่วง มีความรู้สึกเบิกบาน เหมือนเข้าใจอะไรง่ายขึ้นกว่าเก่า ขับรถได้อย่างคล่องแคล่ว ยืนสอนหนังสือได้ทั้งวัน รู้จักการสอนให้นักเรียนเข้าใจง่ายขึ้นกว่าเก่า
          คำถามก็คือ การทำสมาธิเช่นนี้เป็นอันตรายไหม? เข้าถึงขั้นที่ว่าเป็นฌานหรือยัง? ถ้าเป็นฌานเป็นฌานขั้นอะไร?

          อาการที่เกิดขึ้นครั้งที่ 4 ในการทำสมาธิ
หลังจากนั้น 2 วันมีอาการเหมือนมีของเหลวไหลอยู่ในสมองทั้งวัน จึงเกิดความคิดเข้าข้างตัวเองว่า อาจเป็นเพราะว่าฝึกใช้มันครั้งแรกจึงทำให้เกิดปฏิกิริยาเหมือนเราออกกำลังกายอย่างหนักครั้งแรกแลัวทำให้ระบมไปทั้งตัวเป็นเวลา 2-3 วันก็เป็นได้ มีความคิดอีกแบบหนึ่งว่า ในเมื่อไม่กลัวที่ต้องเจอกับความล้มเลว ความเจ็บป่วย ความอวดอยาก ความตาย แล้วจะกลัวมันทำไม ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราละก็ ชั่งประไลมัน คงไม่แย่ไปกว่าเมื่อตอนที่ตนยังเป็นเด็กหนุ่มเดินเข้าป่าเทือกเขาตะนาวศรีเพื่อค้นหาว่านบางชนิด แล้วเกิดหลงอยู่ในป่าเป็นเวลา 7 วันโดยไม่มีอาหารนอกจากถอนต้นกล้วยป่าอ่อน ๆ และผลไม้ป่าที่เห็นลิงกินกันประทังชีวิตไป พอคิดเช่นนั้นแล้ว ดำเนินทดลองเปลี่ยนรูปแบบในการทำสมาธิไปเรื่อย ๆ คราวนี้ ลองทำสมาธิท่ายืนในช่วงตีหนึ่งด้วยการเพ่งอยู่กับลมโดยที่ไม่เปิดพัดลมและแอร์ ยืนตัวตรงนิ่ง พอได้สักพักหนึ่ง รู้สึกว่าตัวยืนอยู่ลอย ๆ เหมือนไม่แตะพื้น อาการที่พบคือ เหมือนมีคลื่นแรงดันรอบ ๆ กาย คล้าย ๆ กับแรงดันคลื่นแม่เหล็กที่มีขั้วเหมือนกันมาเข้าใกล้กัน แล้วลองแกว่งแขนดู รู้สึกว่าเหมือนแขนมันเบามากเหมือนมีคลื่นรับรองไว้อยู่ ใช้ฝามือลูบดู รู้สึกเหมือนมีพลังงานที่จับต้องเกือบจะได้แต่จับไม่ได้ ยืนอยู่เป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ทันใดที่ออกจากสมาธินั้นเหมือนจะทรุดตัวลงเพราะว่าข้อเท้าและปลายเท้าทั้งสองข้างชาสนิดไม่มีความรู้สึก เดินไม่ได้ ต้องนั่งลงทันที่จนกว่าอาการเหน็บชาคลายตัวลง
          ขอถามผู้มีประสบการว่า คลื่นพลังงานที่ว่านั้นมีจริงหรือเปล่า?

          อาการที่เกิดขึ้นครั้งที่ 5 ในการทำสมาธิ
อาการสมองไหลนั้นหายไปเป็นปกติแล้ว โดยปกติเป็นคนตกใจง่าย หัวใจอ่อนแรงบ่อยตั้งแต่เด็ก ไม่รู้จะแก้อย่างไง  ก่อนซื้อบ้านหลังนี้เป็นบ้านปล่อยให้เช่ามาก่อน มีความรู้สึกว่า เหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่ทิ่งลงไว้ในส้วม ตอนต่อเติมบ้าน ถมบ่อส้วมนั้นไปแล้ว แต่บางครั้งเห็นมีเงาตะพุ่ม ๆ เคลื่อนไหวไปมาในช่วงกลางดึกมืด ๆ เห็นแล้วขนลุกเหมือนกัน เพื่อจะท้ากับความตกใจนี้ ก็เลยคิดวิธีลองยืนทำสมาธิหน้ากระจกใหญ่หน้าห้องน้ำในบ้านที่ตั้งอยู่บนบ่อส้วมเก่า ปิดไฟสนิด เห็นเงาตนเองลาง ๆ มืด ๆ ไม่มีสีในกระจก ที่นี้ทำจิดเพ่งไปที่เงาตัวเองในกระจก สักพักหนึ่งเห็นลูกตาใหญ่ ๆ ลักษณะเงา ๆ มืด ๆ ลอดออกมาจากใบหน้าเงาตัวเองในกระจก รู้สึกว่าเงาในกระจกนั้นสูงขึ้นบ้างเตี้ยลงบ้าง เห็นเช่นนั้นแล้ว ตัวร้อนขึ้นวูบวาบแล้วขนลุกทั้งตัว พอได้สติบอกกับตนเองว่า มันไม่จริง มันแค่เงาตัวเราเองในกระจก เราคิดไปเอง เงาในกระจกก็กลับสภาพเป็นปกติ พออีกสักพักหนึ่งอาการคล้าย ๆ แบบนั้นเกิดขึ้นอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนความคิดว่า จะไปกลัวมันทำไม ตัวเรานี้แหละน่ากลัวกว่า ดูซิ ตัวก็ผอม ขอก็ยาว ผิวก็คล้ำ ร่างก็เล็ก เบ้าตาก็ลึก ขี้ก็เหม็น ปากก็เหม็น น้ำลายก็เหม็น ในท้องก็มีแต่ลำไส้ยั้วเยี้ยวไปหมด ไม่เห็นน่าดูตรงไหนเลย น่ากลัวเยอะกว่าอีก พอคิดได้เช่นนี้เงาในกระจกก็เข้าสู่ปกติ ในขณะนั้นมีแสงเล็กมาก เห็นจากหางตาลอยขึ้นมาจากห้องน้ำหนึ่งดวง แล้วดับไป ต่อด้วยดวงใหม่อีกดวง แล้วดับไป ไม่รู้คืออะไร ขณะนั้นขนลุกอีกแต่ตัวไม่ร้อนไม่รู้สึกกลัว แผ่เมตตาให้สิ่งนั้นไปแล้วเปลี่ยท่าเดินจงกรมต่อ ยืนอยู่น่ากระจกไม่ขยับเป็นเวลาร่วม 2 ชั่วโมง
          ขอถามเพียงแค่ว่า ทำอย่างไรถึงจะพ้นจากการตกใจ?

       อาการที่เกิดขึ้นครั้งที่ 6 ในการทำสมาธิ
คราวนี้นั่งปลายเตียงในท่าห้อยขาทั้งสองข้างลงกับพื้น นั่งได้นานไม่เกิดอาการเหน็บชาแต่อย่างใด เพ่งอยู่กับแสงประทีบสีขาวนวลที่ปรากฏให้เห็น บังคับแสงให้นิ่งก็ได้ ให้ไกลออกไปก็ได้ ให้ใกล้เข้ามาก็ได้ บางครั้งมันปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ เปลี่ยเป็นแสงรัศมีหลาย ๆ สีพุ่งออกรอบ ๆ ขณะที่เพ่งอยู่นั้นไม่รู้สึกร่างแตะอยู่กับพื้น เหมือนไม่หายใจ เหมือนว่างเปล่า สักพักหนึ่ง มีนิมิตไฟเกิดขึ้นใต้แสงประทีปที่เพ่งอยู่ แต่ก็อย่างไม่ละจากการเพ่งในแสงประทีป แค่สักแต่ว่าเห็นเพลิงไฟ แป๊บเดี่ยวเท่านั้นจากเพลิงไฟเปลี่ยนเป็นปราสาททอง แป๊บเดี่ยวเท่านั้น นิมิตใต้แสงประทีปก็หายไป จากแสงประทีปเลี่ยนเป็นคนนั่งสมาธิมีลักษณะเป็นแก้วผลึกมีแสงเจิดจ้าพุ่งออกจากที่นั่ง จากนั้นเกิดอาการเบื่อที่จะเพ่ง แล้วนิมิตนั้นก็ลอยหายไป ทันทีนั้น รู้สึกเหมือนลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่มีร่าง แต่ก็เห็นดวงดาว พอเกิดอาการเบื่อที่จะเพ่ง และแล้วดวงดาวก็หายไป รู้สึกว่างเปล่า ไม่อยากจะเห็นอะไรอีกแล้ว จากนั้นเกิดอาการเบื่อที่จะคิด ภาวะคิดนั้นค่อย ๆ จ่างลงวูปลงไปจนไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ความฝัน พอสะดุ้งรู้ตัวขึ้นมากลับไปที่ว่างเปล่า แต่ยังระลึกรู้ว่าจะทำอะไรต่อ ออกจากสมาธิ นั่งอยู่ 2 ชั่วโมงกว่า

          อยู่ ๆ เกิดการเบื่อหน่ายการเห็นนิมิตต่าง จากประสบการณ์ เสพเฮโรอินยังเห็นนิมิตดีกว่านี้อีก เห็นชัดกว่านี้อีก ไม่เห็นจะต้องเพ่งอย่างนี้เลย กลัวว่าตนเสพติดความสุขในนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดจากจินตนาการ ก็เลยฝึกการระลึกรู้จิตตัวเองมากกว่าแบบเพ่ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
อาการที่ 1  เป็นอาการของจิตที่สงบลงเป็นอัปปนาสมาธิแล้วถอยออกมาเป็นอุปจารสมาธิ รู้นั่นรู้นี่ ....  ตอนที่สงบนิ่วแน่ว ไม่รู้สึกปวดเมื่อยอะไร นั่นคือ อัปปนาฯ .. ตอนที่มารับรู้กลิ่นมั่ง อะไรต่างๆมั่ง นั่นคือ มันถอยออกมาอยู่ในระดับอุปจาระ ...

อาการที่ 2 และ 3 เป็นอุปจาระ ผสมกับความฟุ้งซ่าน   จึงรู้สึกเหมือนนอนหลับไม่อิ่ม


  ข้อเตือนใจที่สำคัญมากๆ  คือ อย่าไปสนใจจะจัดขั้นตนเองว่า ได้ถึงขั้นไหนแล้ว  ความอยากรู้แบบนี้ จะเป็นตัวขัดขวางอย่างยิ่ง จะทำให้สมาธิ้เสื่อมอย่างไว และถ้าไปจัดขั้นขึ้นมาเมื่อใด ก็จะเสื่อมทันทีตอนนั้น  เอาคืนไม่ได้อีก หรือคืนยากมากๆ  เพราะความหลงตนและมานะ จะจับทันที ... ...หลักการคือ ฝึกไปเรื่อยๆ ให้สงบแน่วนิ่งลงไปเรื่อยๆๆ  อย่าสนใจว่า นั่นคือฌานขั้นไหน?  เป็นอะไร?  เป็นสมถะหรือวิปัสสนา ?  ฝึกไปนานๆจนชำนาญแล้ว จึงค่อยมาศึกษาเทียบเคียงทีหลัง


  ข้อเตือนใจสำคัญอีกอย่าง  คือ  อาการตามที่เจอ ใน 2 และ 3  ..แบบที่คุณ จขกท. เล่ามานั้น  ..ต่อไปอย่าไปยุ่งไปเล่นกับมันอีกเด็ดขาด  อาการพวกนั้นคืออาการที่จิตส่งออกนอก ฟุ้งซ่านออกนอก  ซึ่งเป็นอันตรายมากๆ  ถ้ายังไปเล่นกับมันไม่เลิก  ต่อไปจะไม่อาจจะเจอความสงบนิ่งได้อีก และจะเป็นบ้า หรือ วิปลาส หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ ในที่สุด   และแก้ยากๆๆสุดๆ หรือพูดอาจจะพูดว่า  แก้ไม่ได้

     จุดมุ่งหมาย ... ให้มุ่งไปที่จุดเดียว  คือ สงบ นิ่ง เป็นกลาง วางเฉย แน่วแน่  แบบเดียวกับตอนที่คุณรู้สึกนิ่งๆ ไม่รู้สึกว่าร่างกายเจ็บปวด นั่นแหละ  พยายามทำให้ได้แบบนั้นให้นานที่สุด และทำจนชำนาญ เข้าออกเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่