สวัสดีค่ะ เพิ่งหัดเขียนทู้นี้เป็นกระทู้แรก ผิดพลาดอย่างไร ขออภัยด้วยนะคะ
หลังจากที่พักร่างกายหลังจากวิ่งมาราธอนจบแล้ว เลยอยากมาเขียนประสบการณ์บอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ
เรื่องราวดี ๆ ที่ได้สัมผัส อยากเป็นอีกหนึ่งกำลังใจและชวนเพื่อน ๆ ออกมาวิ่ง และหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
และนี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจเล็ก ๆ ของฉัน เมื่อฉันได้วิ่งมาราธอน (42.195km)
จะขอเล่าความเป็นมาตอนเริ่มวิ่งนิดนึงนะคะ
จากเด็กตัวอ้วน ไม่เคยออกกำลังกาย แค่เดินขึ้นสะพานเลยก็เหนื่อยแฮ่ก ๆ เวลาจะทำอะไรก็รู้สึกอึดอัดไปหมด มันแน่นไปทั้งตัว
เลยเริ่มคิดจะลดน้ำหนัก คิดว่า”วิ่ง” นี่แหละดูเป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมาก แค่มีรองเท้าคู่เดียว ก็ออกไปวิ่งได้แล้ว
เริ่มวิ่งครั้งแรกได้ 900 เมตร เหนื่อยมากไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน
จนเราวิ่งบ่อย ๆ กล้ามเนื้อเกิดความเคยชินและค่อย ๆเพิ่มระยะ จาก3โลเป็น 5โล และตัดสินใจลงสมัครงานวิ่ง
ซอลเริ่มจากวิ่ง 10 กิโล ครั้งแรกไปวิ่งงานเขาชะโงก เมื่อ 1 พฤศจิกายน 57 ใช้เวลา 1.30 นาที
ตอนนั้นวิ่งเสร็จดีใจมาก ไม่เคยวิ่งได้ไกลขนาดนี้มาก่อน พร้อมกับต้องแบกหนักน้ำตัวที่เยอะมากไปวิ่งด้วย
รูปตอนวิ่ง10โลครั้งแรกที่เขาชะโงกเมื่อปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าเขามีช่างภาพด้วย เราก็งง ๆ เก๊กท่าไม่ถูก
เริ่มวิ่งเพิ่มระยะมาเรื่อย ๆ ก่อนหน้างาน กรุงเทพมาราธอน 2015 ประมาณ 4 เดือน จึงตัดสินใจจะลงมาราธอนครั้งแรก เพื่อสร้างเป้าหมายให้แก่ตัวเอง
เลยนั่งหาตารางซ้อม 12 สัปดาห์ ในGoogle เพื่อพิชิตมาราธอน บวกกับเป็นเวลาช่วงปิดเทอมพอดีทำให้เรามีเวลาซ้อมเยอะขึ้น
ทำตามตารางบ้าง อู้บ้าง ซ้อมเวลาไหนแล้วแต่เราสะดวก
ซอลอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งที่บ้านไกลจากสวนสาธารณะประมาณ 99.5 โล เลยใช้พื้นที่บริเวณบ้าน
ที่บ้านจะมีลานมันสำปะหลัง เลยใช้บริเวณนั้นเป็นสนามซ้อม เป็นพื้นปูนระยะทางวิ่งไปกลับแค่ 300 เมตร ฉันต้องวิ่งวนอยู่แบบนั้นจนครบระยะ
ช่วงแรก ๆ ปวดหัวเข่ามาก มันแข็ง มันเหนื่อย มันเบื่อ ข้ออ้างเยอะไปหมด
ก่อนถึงวันแข่งซอลซ้อมยาว30 โล 1 ครั้ง และได้ไปลงงานวิ่งที่เขาชะโงก เพื่อจะให้เป็นการซ้อมยาวครั้งสุดท้ายก่อนไปมาราธอน 2 สัปดาห์
ที่เขาชะโงกเป็นงานแรกที่ซอลลงวิ่ง และขออธิษฐานจิตจะไปให้ได้ทุกปี
ตอนนี้วิ่งครบ 1 ปีแล้วค่ะ
ภาพก่อนเข้าเส้นชัยที่เขาชะโงกระยะ 32 โล เมื่อเจอกล้องห้ามทำหน้าเหนื่อย เด็ดขาด !! ฮ่า ๆๆ
ก่อนแข่งวิ่ง วันเสาร์ซอลเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม กลิ้งไปกลิ้งมา แป๊ปเดียวหลับ
ตื่นมาอีกที 5ทุ่ม 45 เพื่อเตรียม ล้างหน้า แปรงฟัน ทำภาระกิจให้เรียบร้อย ยัดขนมปังกับนมไป 1 ขวด เพื่อเพิ่มพลัง
ประมาณ ตี 1 กว่า ๆ ถึงสนามวิ่ง เดินรอไปที่จุดสตาร์ท ปีนี้นักวิ่งเยอะมาก ระยะมาราธอน ประมาณ 4 พันกว่าคน
เราก็อยู่ท้าย ๆ เพราะเป็นนักวิ่งแนวหลัง กว่าจะออกจากจุดสตาร์ทก็ร่วม 3 นาที
ภาพถ่ายหน้าจุดสตาร์ท ก่อนออกวิ่งค่ะ
เวลา ตี 2เมื่อเสียงแตรดังขึ้น ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับจังหวะวิ่งของตัวเอง
ซอลวิ่ง 7 โลแรก ไม่ได้พักดื่มน้ำ มาดื่มโล 8 คนเยอะมาก เจ้าหน้าที่ให้น้ำไม่ทัน และเป็นแบบนี้แทบทุกจุด
ซอลวิ่งประคอมร่างกายมาเรื่อย ๆ วิ่งช้า ๆ เพื่อให้ร่างกายช้ำน้อยที่สุด เมื่อผ่านจุดกลับตัวกิโลที่ 15 ร่างกายของฉันยังบอกว่าไปได้ต่อ
วิ่งมาเรื่อย ๆ ผ่านมาครึ่งทางแล้ว ก็จะไปเจอกับนักวิ่งระยะ ซูเปอร์ฮาล์ฟมาราธอน ทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วได้ เพราะคนเยอะมากจริง ๆ
ภาพตอนวิ่งอยู่บนสะพานพระราม 8 กิโลที่ 29 ค่ะ
ร่างกายของซอลโชคดีที่ไม่เจ็บมาก มีปวดหัวเข่าเล็กน้อย อาศัยน้ำมันมวยตามจุดต่าง ๆ และขอสเปรย์จากพี่ ๆ นักวิ่ง
สิ่งที่กลัวที่สุดคือ ปีศาจกิโลที่ 35 ไม่รู้ว่ามีจริงไหม แต่วันนี้มันไม่มาหาเลย 55555 ดีใจจัง เริ่มมีหยุดเดินบ้าง อู้บ้าง
นักวิ่งข้าง ๆ จะคอยบอกให้สู้ ๆ เป็นระยะ กำลังใจเยอะมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะวิ่งคนเดียวเลย
วิ่งมาถึงโลที่ 40 อีก2 โลเว้ยเฮ้ยยยยยยย !!! เป็น2 โลที่ยาวนานมาก คอยดูนาฬิกาตลอด
ตอนนี้ใกล้ถึงแล้วค่ะ หน้าตาเครียดมาก
พึมพัมอยู่คนเดียว แต่ขาก็ยังก้าวไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงเส้นชัย เย้ > <
นี่เป็นความทรมาณที่แสนมีความสุข ความเหนื่อยมันไปไหน เหลือแต่ความดีใจไว้ ในที่สุดเราก็ทำได้
รูปนี้ก่อนเข้าเส้นชัย มองหาเส้นชัยไม่เจอ 5555
ขอเซลฟี่นิดนึงระหว่างรอรับเสื้อ finisher ค่ะ
เค้าทำได้แล้วน้าาาา (เสื้อFinisherปีนี้ค่ะ)
เป็นมาราธอนแรก ที่ซอลเพิ่งวิ่งจบไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ( 15 พ.ย. 2558 ) ในงานStandard Chartered Bangkok Marathon'15
เวลา 05.53.58วินาที
ขอยืมคำพูดนิดนึงนะคะ* จำเครดิตไม่ได้
การวิ่งมาราธอนไม่ใช่ใครจะวิ่งก็ได้ แต่ต้องผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนัก
ฝึกอย่างมีวินัย เพราะในตลอดเส้นทาง 42.195 กิโลเมตร มันได้พิสูจน์แล้ว
ว่าเราสามารถวิ่งได้ตลอดจนจบ ด้วยขาของตัวเอง
ภาพวิ่งส่วนหนึ่งที่วิ่งมาตลอด 1 ปีค่ะ
ถ้าคุณอยากวิ่งคุณวิ่งแค่โลเดียวก็พอ ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่ คุณต้องวิ่ง "มาราธอน"
ชีวิตเราไม่ได้เปลี่ยนหลังจากที่วิ่งเสร็จหรอกค่ะ มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เราเริ่มฝึกซ้อมต่างหาก
จากเด็กขี้เกียจคนนึง กิน นอน เที่ยว เรียน หันมาตั้งเป้าหมายกับชีวิต
เวลานอน เวลาตื่นที่เปลี่ยนไป เราจะไม่สามารถรู้ได้ ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง
ลองเอาชนะใจตัวเองสักครั้ง แล้วจะรู้ว่าร่างกายเราทำได้มากแค่ไหน
อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ยังไงก็คนละคนกัน แต่ละคนก็ต่างมีข้อจำกัดของตัวเอง
มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน เวลามองดูคนอื่น แค่หยิบเอามาเป็นกำลังใจก็พอ
อย่านำมาเปรียบเทียบ มันมีแต่จะแย่ลง ใช้ความสามารถที่มีอยู่ของตัวเองให้เต็มที่ค่ะ
ต้องขออภัยถ้าเขียนไม่ถูกใจใครนะคะ เพียงแต่อยากแชร์ประสบการณ์
ถ้าพบกันที่งานไหน มาแตะมือส่งพลังได้นะคะ
http://www.facebook.com/jittra.denyingyoch
วิ่งมาราธอนครั้งแรก (42.195 km) ของสาวน้อยวัย 20
หลังจากที่พักร่างกายหลังจากวิ่งมาราธอนจบแล้ว เลยอยากมาเขียนประสบการณ์บอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ
เรื่องราวดี ๆ ที่ได้สัมผัส อยากเป็นอีกหนึ่งกำลังใจและชวนเพื่อน ๆ ออกมาวิ่ง และหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
และนี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจเล็ก ๆ ของฉัน เมื่อฉันได้วิ่งมาราธอน (42.195km)
จะขอเล่าความเป็นมาตอนเริ่มวิ่งนิดนึงนะคะ
จากเด็กตัวอ้วน ไม่เคยออกกำลังกาย แค่เดินขึ้นสะพานเลยก็เหนื่อยแฮ่ก ๆ เวลาจะทำอะไรก็รู้สึกอึดอัดไปหมด มันแน่นไปทั้งตัว
เลยเริ่มคิดจะลดน้ำหนัก คิดว่า”วิ่ง” นี่แหละดูเป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมาก แค่มีรองเท้าคู่เดียว ก็ออกไปวิ่งได้แล้ว
เริ่มวิ่งครั้งแรกได้ 900 เมตร เหนื่อยมากไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน
จนเราวิ่งบ่อย ๆ กล้ามเนื้อเกิดความเคยชินและค่อย ๆเพิ่มระยะ จาก3โลเป็น 5โล และตัดสินใจลงสมัครงานวิ่ง
ซอลเริ่มจากวิ่ง 10 กิโล ครั้งแรกไปวิ่งงานเขาชะโงก เมื่อ 1 พฤศจิกายน 57 ใช้เวลา 1.30 นาที
ตอนนั้นวิ่งเสร็จดีใจมาก ไม่เคยวิ่งได้ไกลขนาดนี้มาก่อน พร้อมกับต้องแบกหนักน้ำตัวที่เยอะมากไปวิ่งด้วย
รูปตอนวิ่ง10โลครั้งแรกที่เขาชะโงกเมื่อปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าเขามีช่างภาพด้วย เราก็งง ๆ เก๊กท่าไม่ถูก
เริ่มวิ่งเพิ่มระยะมาเรื่อย ๆ ก่อนหน้างาน กรุงเทพมาราธอน 2015 ประมาณ 4 เดือน จึงตัดสินใจจะลงมาราธอนครั้งแรก เพื่อสร้างเป้าหมายให้แก่ตัวเอง
เลยนั่งหาตารางซ้อม 12 สัปดาห์ ในGoogle เพื่อพิชิตมาราธอน บวกกับเป็นเวลาช่วงปิดเทอมพอดีทำให้เรามีเวลาซ้อมเยอะขึ้น
ทำตามตารางบ้าง อู้บ้าง ซ้อมเวลาไหนแล้วแต่เราสะดวก
ซอลอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งที่บ้านไกลจากสวนสาธารณะประมาณ 99.5 โล เลยใช้พื้นที่บริเวณบ้าน
ที่บ้านจะมีลานมันสำปะหลัง เลยใช้บริเวณนั้นเป็นสนามซ้อม เป็นพื้นปูนระยะทางวิ่งไปกลับแค่ 300 เมตร ฉันต้องวิ่งวนอยู่แบบนั้นจนครบระยะ
ช่วงแรก ๆ ปวดหัวเข่ามาก มันแข็ง มันเหนื่อย มันเบื่อ ข้ออ้างเยอะไปหมด
ก่อนถึงวันแข่งซอลซ้อมยาว30 โล 1 ครั้ง และได้ไปลงงานวิ่งที่เขาชะโงก เพื่อจะให้เป็นการซ้อมยาวครั้งสุดท้ายก่อนไปมาราธอน 2 สัปดาห์
ที่เขาชะโงกเป็นงานแรกที่ซอลลงวิ่ง และขออธิษฐานจิตจะไปให้ได้ทุกปี
ตอนนี้วิ่งครบ 1 ปีแล้วค่ะ
ภาพก่อนเข้าเส้นชัยที่เขาชะโงกระยะ 32 โล เมื่อเจอกล้องห้ามทำหน้าเหนื่อย เด็ดขาด !! ฮ่า ๆๆ
ก่อนแข่งวิ่ง วันเสาร์ซอลเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม กลิ้งไปกลิ้งมา แป๊ปเดียวหลับ
ตื่นมาอีกที 5ทุ่ม 45 เพื่อเตรียม ล้างหน้า แปรงฟัน ทำภาระกิจให้เรียบร้อย ยัดขนมปังกับนมไป 1 ขวด เพื่อเพิ่มพลัง
ประมาณ ตี 1 กว่า ๆ ถึงสนามวิ่ง เดินรอไปที่จุดสตาร์ท ปีนี้นักวิ่งเยอะมาก ระยะมาราธอน ประมาณ 4 พันกว่าคน
เราก็อยู่ท้าย ๆ เพราะเป็นนักวิ่งแนวหลัง กว่าจะออกจากจุดสตาร์ทก็ร่วม 3 นาที
ภาพถ่ายหน้าจุดสตาร์ท ก่อนออกวิ่งค่ะ
เวลา ตี 2เมื่อเสียงแตรดังขึ้น ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับจังหวะวิ่งของตัวเอง
ซอลวิ่ง 7 โลแรก ไม่ได้พักดื่มน้ำ มาดื่มโล 8 คนเยอะมาก เจ้าหน้าที่ให้น้ำไม่ทัน และเป็นแบบนี้แทบทุกจุด
ซอลวิ่งประคอมร่างกายมาเรื่อย ๆ วิ่งช้า ๆ เพื่อให้ร่างกายช้ำน้อยที่สุด เมื่อผ่านจุดกลับตัวกิโลที่ 15 ร่างกายของฉันยังบอกว่าไปได้ต่อ
วิ่งมาเรื่อย ๆ ผ่านมาครึ่งทางแล้ว ก็จะไปเจอกับนักวิ่งระยะ ซูเปอร์ฮาล์ฟมาราธอน ทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วได้ เพราะคนเยอะมากจริง ๆ
ภาพตอนวิ่งอยู่บนสะพานพระราม 8 กิโลที่ 29 ค่ะ
ร่างกายของซอลโชคดีที่ไม่เจ็บมาก มีปวดหัวเข่าเล็กน้อย อาศัยน้ำมันมวยตามจุดต่าง ๆ และขอสเปรย์จากพี่ ๆ นักวิ่ง
สิ่งที่กลัวที่สุดคือ ปีศาจกิโลที่ 35 ไม่รู้ว่ามีจริงไหม แต่วันนี้มันไม่มาหาเลย 55555 ดีใจจัง เริ่มมีหยุดเดินบ้าง อู้บ้าง
นักวิ่งข้าง ๆ จะคอยบอกให้สู้ ๆ เป็นระยะ กำลังใจเยอะมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะวิ่งคนเดียวเลย
วิ่งมาถึงโลที่ 40 อีก2 โลเว้ยเฮ้ยยยยยยย !!! เป็น2 โลที่ยาวนานมาก คอยดูนาฬิกาตลอด
ตอนนี้ใกล้ถึงแล้วค่ะ หน้าตาเครียดมาก
พึมพัมอยู่คนเดียว แต่ขาก็ยังก้าวไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงเส้นชัย เย้ > <
นี่เป็นความทรมาณที่แสนมีความสุข ความเหนื่อยมันไปไหน เหลือแต่ความดีใจไว้ ในที่สุดเราก็ทำได้
รูปนี้ก่อนเข้าเส้นชัย มองหาเส้นชัยไม่เจอ 5555
ขอเซลฟี่นิดนึงระหว่างรอรับเสื้อ finisher ค่ะ
เค้าทำได้แล้วน้าาาา (เสื้อFinisherปีนี้ค่ะ)
เป็นมาราธอนแรก ที่ซอลเพิ่งวิ่งจบไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ( 15 พ.ย. 2558 ) ในงานStandard Chartered Bangkok Marathon'15
เวลา 05.53.58วินาที
ขอยืมคำพูดนิดนึงนะคะ* จำเครดิตไม่ได้
การวิ่งมาราธอนไม่ใช่ใครจะวิ่งก็ได้ แต่ต้องผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนัก
ฝึกอย่างมีวินัย เพราะในตลอดเส้นทาง 42.195 กิโลเมตร มันได้พิสูจน์แล้ว
ว่าเราสามารถวิ่งได้ตลอดจนจบ ด้วยขาของตัวเอง
ภาพวิ่งส่วนหนึ่งที่วิ่งมาตลอด 1 ปีค่ะ
ถ้าคุณอยากวิ่งคุณวิ่งแค่โลเดียวก็พอ ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่ คุณต้องวิ่ง "มาราธอน"
ชีวิตเราไม่ได้เปลี่ยนหลังจากที่วิ่งเสร็จหรอกค่ะ มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เราเริ่มฝึกซ้อมต่างหาก
จากเด็กขี้เกียจคนนึง กิน นอน เที่ยว เรียน หันมาตั้งเป้าหมายกับชีวิต
เวลานอน เวลาตื่นที่เปลี่ยนไป เราจะไม่สามารถรู้ได้ ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง
ลองเอาชนะใจตัวเองสักครั้ง แล้วจะรู้ว่าร่างกายเราทำได้มากแค่ไหน
อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ยังไงก็คนละคนกัน แต่ละคนก็ต่างมีข้อจำกัดของตัวเอง
มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน เวลามองดูคนอื่น แค่หยิบเอามาเป็นกำลังใจก็พอ
อย่านำมาเปรียบเทียบ มันมีแต่จะแย่ลง ใช้ความสามารถที่มีอยู่ของตัวเองให้เต็มที่ค่ะ
ต้องขออภัยถ้าเขียนไม่ถูกใจใครนะคะ เพียงแต่อยากแชร์ประสบการณ์
ถ้าพบกันที่งานไหน มาแตะมือส่งพลังได้นะคะ http://www.facebook.com/jittra.denyingyoch