นักรบจันทรา ตอนที่ 15

กระทู้สนทนา
“ข้าก็ไม่รู้เรื่องนางเหมือนกัน เราคงต้องยกเรื่องทั้งหมดไปถามนางผู้หยั่งรู้”

    นั่นคือคำตอบที่ดาริอุสได้รับจากผู้กล้าแสงตะวันเมื่อเขาถามถึงหญิงสาวนามลาควีล่า เชื่อว่าหากไปถามอลิเซียก็คงได้คำตอบแบบเดียวกัน

    มาถึงตอนนี้ก็ได้แค่เดินผ่านสถานที่สุดหลอนเพื่อไปยังปราสาทแก้วผลึกเท่านั้น!

    “ไปทางขวาค่ะ” คนนำทางชี้กระบอกส่องแสงไปทางแยกขวามือ มีเส้นสีขาวคล้ายไข่มุกขีดคาดอยู่บนพื้นขวางทางไว้ด้วย “นั่นคือหนึ่งในเส้นวัดใจค่ะ” อลิเซียหัวเราะน้อยๆ ไบรอันซึ่งกลัวผีที่สุดในโลกหวาดวิตกเกินพอดี

    ก่อนถึงเส้นสีขาวหญิงสาวผู้ข้ามกาลเวลาก็บอกให้ทุกคนหยุดก่อน เพื่ออธิบายให้เข้าใจ

    “เมื่อผ่านเส้นนี้ไป เงาของเราทุกคนจะมีชีวิตขึ้นมาเดินข้างๆ มันก็แค่เดินไปสักพักจนพ้นระยะ ไม่ทำอันตรายเราหากเราไม่ไปยุ่งกับมัน”

    “แล้วถ้าไปยุ่งล่ะ” ไบรอันถามด้วยท่าทางหวาดๆ

    “ผลสะท้อนของการโจมตี ไม่ว่าจะทางกายภาพหรือเวทมนตร์ มันจะส่งผลกับเจ้าของเงา สมมุติข้าชกท้องเงาของตัวเอง ท้องของข้าก็จะรู้สึกเจ็บไปด้วย ถ้าใช้อาวุธก็อาจเลือดตกยางออกถึงตาย”

    “เหมือนจะไม่มีอะไรนะ มันเป็นการป้องกันจริงหรือ” ดาริอุสถาม

    “มันใช้ไม่ได้ผลกับคนที่มีสติเข้มแข็งค่ะ แต่สำหรับคนที่หวาดกลัวหรือประสาทอ่อนแล้ว ย่อมระแวงเงาที่เดินเคียงคู่มาด้วยความที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู และยามขวัญเสียก็จะไร้การไตร่ตรองจนทำร้ายเงาตัวเองหรือคนอื่นด้วยความหวาดกลัวค่ะ”

    “แล้วเงาตะคุ่มๆรายทางนั่นล่ะ ข้าเห็นมาสักพักแล้ว” ดาริอุสถามโดยไม่เกรงใจไบรอันที่กลัวผี

    “นั่นคือวิญญาณผู้พิทักษ์ค่ะ จะกัดกินร่างของผู้หลงทางหรือไม่มีการระวังตัว เมื่อร่างสิ้นลม วิญญาณของร่างจะกลายเป็นผู้พิทักษ์อีกตน ตราบใดที่เรารวมหมู่กันอยู่ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ”

    ดาริอุสพยักหน้ารับทราบแล้วเดินต่อไป เมื่อข้ามเส้นขีดสีขาวเงาของเขาก็พลันมีชีวิต เป็นกลุ่มก้อนความมืดที่เหมือนเขาทุกประการเดินร่วมทางไปด้วยราวเงาจริงๆ ไบรอันอุทานเบาๆด้วยความกลัว ส่วนลาควีล่าลองสัมผัสเงาตัวเองด้วยความอยากรู้ เมื่ออลิเซียเห็นว่าทุกคนปกติจึงเดินนำต่อไปโดยมีเงาของนางเคียงคู่ไปด้วย

    “เงานี้จะหายไปเองหากเราไม่สนใจมัน ต้องไม่ใส่ใจมันค่ะท่านผู้กล้าแสงตะวัน!” อลิเซียหันมาเอ็ดไบรอันที่จ้องมองหุ่นเงาตัวเองตาไม่กระพริบ

    ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ร่างเงาของเกือบทุกคนก็หายไป เว้นเพียงเงาของไบรอันที่เจ้าตัวกลัวจับใจ

    “ช่วงระยะนี้หนักหน่อยนะคะ มันจะขุดความกลัวของทุกคนขึ้นมา แต่ละคนจะเห็นภาพไม่เหมือนกัน วิธีรับมือคือเดินไปข้างหน้า หากเงายังอยู่มันจะเกลี้ยกล่อมให้กลับหลังหรือออกนอกทางไปเลย หากกัดฟันทนไปได้จนพ้นระยะภาพลวงตาก็จะหายไป ข้าไม่ใคร่แน่ใจนักว่าจะผ่านไปได้โดยไม่ต้องช่วยไหม” อลิเซียเกาหัวแกรกก้าวนำอย่างอาจหาญ

    “เล่นกดดันกันแบบนี้ ข้าว่ารอกลางวันดีกว่า” ดาริอุสเปรย คิดถึงภาพน่ากลัวที่เขาจะต้องเห็น

    “ยามกะกลางคืนจะเล่นงานที่จิตใจ ถ้าเราใจแข็งเสียอย่างก็สบายค่ะ ข้าเชื่อว่าทุกคนผ่านไปได้ และคงต้องทำเวลากันหน่อย คนๆหนึ่งกำลังเดินอยู่หน้าพวกเรา ข้าไม่รู้ว่าเขารู้เส้นทางที่ถูกต้องได้อย่างไรแต่กำลังนำเราอยู่ไม่ไกลนัก”

    “ใครกัน” ดาริอุสถามตรงๆ

    “ท่านเวเบอร์ค่ะ” อลิเซียตอบหนักๆ “ระวังอย่าก้าวออกจากถนนนะคะ สิ่งที่รายล้อมจะดึงไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง”

    ไม่ทันขาดคำดีหมอกสีขาวอมเหลืองก็ลอยขึ้นมาราวม่านหมอก มองเห็นคนข้างหน้าได้ลางๆ อลิเซียหันมาบอกว่าหมอกนี้จะหายไปเมื่อพ้นระยะก่อนจะบอกให้ทุกคนก้าวไปต่อ

    “สิ่งสำคัญคือ ต้องเดินหน้าไปด้วยใจแน่วแน่ อย่าหลงติดกับความเศร้าหมองเป็นอันขาด ช่วงนี้เป็นทางตรงอย่างเดียว...”

    แล้วเสียงอธิบายของอลิเซียก็เงียบลงจนเหมือนเขาเดินอยู่คนเดียวบนถนนสายนี้

    “ดาริอุส...” ดาริอุสทำใจแข็งหันไปตามเสียงเรียก รูปเงาของพ่อบุญธรรมยืนอยู่ข้างทาง ท่าทางอิดโรยด้วยโรคร้ายที่คร่าชีวิต “เจ้าปล่อยให้ข้าตาย แล้วก็ทิ้งโรงฝึก”

    ดาริอุสพยายามตั้งสติทำใจเป็นกลาง ขาทั้งสองหนักอึ้งด้วยความรู้สึกผิดจนยากที่จะก้าวเดิน

    “มาเวอร์ริค เจ้ารอดแต่ปล่อยให้ข้าตาย จนพ่อของเจ้าต้องกลายเป็นจอมอสูร” เสียงจากเงาไร้หน้าดึงรั้งดาริอุสเอาไว้แต่เขาก็พยายามเดินหน้าสุดกำลังเช่นกัน น้ำตาเริ่มไหลด้วยความรู้สึกผิดบาประคนคิดถึง ไม่ได้แค่ช่วยโรงฝึกของพ่อบุญธรรมไม่ได้ ยังปล่อยให้พ่อแท้ๆของตัวเองตายอีกด้วย

    “เจ้าหรือนักรบจันทรา” อีกเสียงดังขึ้นจากทางด้านหน้า เงาร่างไร้รูปทรงก่อตัวขึ้นขวางทางดั่งกำแพงกั้นเขาจากทางข้างหน้า “ข้าคือจอมปิศาจ ศัตรูอย่างเป็นทางการของเจ้า”

    ดาริอุสหยุดกึก เงาไร้รูปทรงแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง เดี๋ยวเป็นอสูรร่างยักษ์ เดี๋ยวเป็นสัตว์ร้าย เดี๋ยวเป็นหญิงสาว หากยังคงขวางทางไม่ยอมให้ผ่านไป เขาขนลุกด้วยความกลัวจับใจ

    “คิดว่าจะปราบข้าได้หรือ ด้วยกระบี่กระจอกเล่มนั้นน่ะหรือ” เงาตั้งคำถาม “ความจริงเราไม่ต้องสู้กันเลย แค่เจ้ามาอยู่เคียงข้างพ่อของเจ้า ครอบครองดินแดนนี้ด้วยพลังของข้า เราก็จะไม่ต้องปะทะกัน ไม่ดีหรอกหรือ”

    “ข้าจะช่วยพ่อข้า!” ดาริอุสตอบอย่างหนักแน่น หากความจริงขาทั้งคู่ชาด้วยความกลัวไม่อาจขยับได้แม้แต่นิด

    “แต่เราไม่จำเป็นต้องสู้กัน” เงาที่ยังแปรรูปร่างอยู่ยื่นสิ่งที่น่าจะเป็นหัวมาใกล้ “ข้าช่วยปลดปล่อยพ่อเจ้าให้ก็ได้ แล้วเราก็หายกัน ไม่อย่างนั้นก็ใช้กระบี่ที่เจ้าภูมิใจฟาดฟันข้าเปิดทางเสีย ข้าว่าเจ้าไม่กล้าหรอก มันคือดาบวิเศษแห่งเปลวเพลิง ปัดเป่าความมืดได้แน่นอน”

    “ได้...” ตาของดาริอุสย้ายที่ไปยังกระบี่ดาบแสงตะวัน แค่ใช้สิ่งนี้ หมอกและภาพลวงตาก็จะสลาย เขาจะเห็นพรรคพวกที่อยู่ข้างหน้า การขู่ขวัญจะได้จบเสียที

    “ถ้าเราจุดไฟกลุ่มหนึ่งจะกลัว แต่อีกกลุ่มที่รับมือยากกว่าจะมาทางเราค่ะ พวกเราใช้เวทมนตร์กันได้แค่สองคน ไม่ทันมันหรอก”

    คำเตือนของอลิเซียดังก้องในหัว ดาริอุสกำลังถูกหลอกให้จุดไฟ เพื่อเรียกตัวที่พวกเขาสู้ไม่ได้มาที่นี่!

    “ข้ามองเห็นความกลัวของเจ้า การแยกจาก การหยุดนิ่ง การสูญเสีย” เสียงไร้ตัวตนดังขึ้นอีก “เพราะเจ้าไม่อยากแยกจากบ้านถึงเดินทางไปทั่วให้ทุกแห่งเป็นบ้าน เพราะเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งจำเป็นต้องเคลื่อนไหวไม่อย่างนั้นก็ตายจึงกลัวการหยุดนิ่ง เพราะเจ้าผูกพันกับสิ่งต่างๆมากเกินไปจึงกลัวการสูญเสีย ข้าพูดถูกหรือไม่ เจ้าจึงเดินทางไปที่ต่างๆไม่ยอมหยุดนิ่ง”

    “แล้วทำไม” ดาริอุสกัดฟันพูด ดึงความกล้าทั้งหมดออกมา “ความกลัวคือสิ่งสามัญสำหรับมนุษย์ ข้าไม่ผิดที่กลัวเรื่องพวกนั้น!” เขาคำราม ปล่อยความโกรธออกมาแทนที่ความกลัว

    “อย่างนั้นก็ผ่านข้าไปสิ แต่บอกไม่ได้หรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเดินทะลุภาพมายานี่ หญิงที่ช่วยเจ้าได้ก็ล่วงหน้าไปไกลแล้วเสียด้วย”

    “มายาก็คือมายาวันยันค่ำ” ดาริอุสขบฟันด้วยโทสะที่ไร้เหตุผล “ข้าจะเดินผ่านไปให้ดูเอง!”

    คราวนี้ดาริอุสไม่รอให้เงาเปลี่ยนรูปพูดต่อ เขากลั้นใจเดินเฉิบๆทะลุไปราวกับมองไม่เห็น กลุ่มก้อนภาพมายาหายวับไปทันที เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เหลือแค่เดินต่อไปให้ทันคนข้างหน้า

    การข่มขวัญหลังจากนั้นคือเสียงครวญครางของเหล่าเพื่อนผู้วายชนม์ของเขา เหล่าคนที่สิ้นลมระหว่างทำหน้าที่อารักขาคาราวานพ่อค้าร้องเรียกเขาระงม บ้างขอให้เขาช่วย บ้างบอกให้เขาหนี ดาริอุสหลับหูหลับตาเดินให้เร็วที่สุด!

    “เราเดินพ้นแล้ว หยุดได้แล้วค่ะ!”

    ดาริอุสรู้ตัวอีกทีเมื่อถูกอลิเซียฉุดตัวไว้ หมอกอาคมหายไปแล้ว เขามองเห็นไบรอันนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ลาควีล่าหน้าซีดเผือด แต่ละคนต้องพบกับสิ่งที่กลัวที่สุดเหมือนกันแน่ๆ คนที่ยังเป็นปกติคืออลิเซียก็ยังตาบวมแดง

    “เช็ดน้ำตาก่อนค่ะ ท่านนักรบจันทรา” อลิเซียร้องทักว่าเขากำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน

    “มันเหมือนความฝันเลยอลิเซีย” ลาควีล่าจับแขนอลิเซียเพื่อดูว่าไม่ใช่ความฝัน “น่ากลัวจริงๆ”

    “ก็แค่ภาพมายาทั่วไปเหมือนความฝันค่ะ มันบั่นทอนจิตใจเราแต่ทำร้ายเราไม่ได้ พูดอย่างนั้นข้าก็เกือบไปเหมือนกัน” อลิเซียหัวเราะเบาๆ “ร้องไห้พอหรือยังคะท่านผู้กล้าแสงตะวัน”

    ผู้กล้าแสงตะวันยังนั่งก้มหน้านิ่ง ไม่มีการตอบสนอง

    “มันเป็นแค่ความฝันไบรอัน เหมือนที่ท่านปลอบข้าเมื่อเช้า มันไม่ใช่ภาพจริงๆ” ลาควีล่านั่งลงจับมือไบรอันไว้อย่างอ่อนโยน “เราลืมสิ่งที่เห็นแล้วก้าวต่อไปดีกว่า ท่านชอบพูดแบบนี้นี่”

    “แบบนี้ผ่านด่านต่อไปไม่ได้แน่ ข้าประเมินความแกร่งภายในของท่านผู้กล้าผิดไป” อลิเซียเกาคางครุ่นคิด “ถ้าใช้ตอนนี้จะถือเป็นสปอย์หรือเปล่านะ คงต้องทำ ไม่อย่างนั้นเราไปไม่ถึงไหนแน่”

    ว่าแล้วหญิงสาวนักท่องเวลาก็ประสานมือไว้ระดับทรวงอกแล้วท่องบทสวด มันไม่เหมือนภาษาใดที่ดาริอุสเคยฟัง ทุกพยางค์ล้วนเปล่งรัศมีแห่งความเมตตาออกมา แขนขาที่เกร็งสั่นด้วยความกลัวผ่อนคลายขึ้น รอบด้านที่เคยน่าสะพรึงกลัวกลับเป็นป่ายามราตรีตามปกติ ยิ่งนางสวดยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่เหมือนเวทมนตร์ มันเอ่อล้นด้วยความอบอุ่นและชีวิตชีวาราวกับมีครอบแก้วคอยปกป้องอยู่

    ผู้กล้าแสงตะวันเงยหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เข้ามาแทรกแซงความกลัว

    “พลังอะไรกัน ไม่เหมือนเวทมนตร์เลย” ไบรอันแทรกขึ้น หญิงสาวไม่สนใจยังคงท่องบทสวดต่อไปจนจบ

    “มันคือพลังสีขาวค่ะ เสริมกำลังใจ ขับไล่สิ่งชั่วร้าย” อลิเซียอธิบายสั้นๆ ก่อนหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ผู้กล้าแสงตะวัน “คราวนี้ลุกได้แล้วค่ะท่านผู้กล้า สิ่งไร้ตัวตนไม่มีทางรบกวนเราได้แล้ว จะได้ไปต่อให้สุดทาง”

    ไบรอันลุกขึ้นอย่างจำยอมแล้วเดินต่ออย่างหมดเรี่ยวแรงโดยมีลาควีล่าเดินเคียงข้าง...

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่