นักรบจันทรา ตอนที่ 8

กระทู้สนทนา
แล้วแสงไฟจากร่างของผู้กล้าแสงตะวันก็ริงระบำ!

    ดาริอุสตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น ราวกับนกเพลิงสองตัวกำลังเต้นรำกันเหนือร่างของผู้กล้า ความร้อนทวีขึ้นถึงขีดสุดแทบทำให้ร่างกายของเขาลุกไหม้ไปด้วย การเลื่อนไหลของกลุ่มแสงเริ่มเร็วขึ้นเป็นจังหวะซับซ้อนชวนให้นึกถึงนกไฟของจริง เขาอยากวิ่งหนีแต่สัญชาตญาณบอกให้หยุดดู ดูความสวยงามของแสงไฟเหมือนแมลงที่หลงใหลกลิ่นไฟ

    กลุ่มแสงที่เริงรำเหนือร่างผู้กล้าวนเคลื่อนล้อกันเร็วขึ้นๆแล้วก็ดับวูบลง ความร้อนที่ทวีขึ้นจนเหงื่อกาฬไหลหยุดลงจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของอากาศในฤดูใบไม้ร่วง แล้วร่างของผู้กล้าก็เริ่มขยับอีกครั้งเหมือนหุ่นเชิดสายขาดที่ได้รับการซ่อมแซม

    “คนตระกูลแบล็คสโตนสินะ สวยงามสมคำร่ำลือ” นางภูตไฟเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น “เจ้าไม่รู้สินะว่าคนตระกูลนี้สามารถตายได้หนึ่งครั้ง การตายครั้งที่สองจึงจะเป็นการตายที่แท้จริง”

    ดาริอุสส่ายหน้า เขาพูดอะไรไม่ออกในเวลานี้ ทุกอย่างมันดำเนินไปรวดเร็วเหลือเกิน

    “แปลว่าเขาจะไม่ตาย ใช่ไหม”

    “ก็ใช่น่ะสิ ผู้ติดตามของเจ้าจะไม่ตาย”

    “...ข้าต่างหากที่เป็น...”

    ดาริอุสจะพูดแก้แต่ไม่ทันเสียแล้ว นางภูตหายตัวไปในพริบตาทิ้งรอยยิ้มจางๆไว้เบื้องหลัง ส่วนผู้กล้าแสงตะวันนั้นเริ่มกระพริบตาถี่ขึ้นและกำลังจะยันตัวขึ้นนั่ง ไอเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

    “ถึงตายเชียวหรือ” เสียงของผู้กล้าเรียกดาริอุสให้กลับมาจากภวังค์ “พวกจอมปิศาจมันร้ายจริงๆ มาดักหน้าถึงที่นี่เชียว”

    “ไม่ตายจริงๆนะ ฟื้นแล้วจริงๆหรือ” ดาริอุสจับไหล่จับตัวอีกฝ่ายอย่างดีอกดีใจที่ยังไม่ตายจริงๆ

    “ข้าสามารถคืนชีพได้หนึ่งครั้ง ในสัญญาจึงระบุเอาไว้ว่าสิ้นชีวิตโดยสมบูรณ์ ต้องรอให้ข้าตายอีกครั้งก่อนจึงจะยกเลิกสัญญานะ”

    ดาริอุสดีใจที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตจนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ขอแค่เพื่อนร่วมทางยังมีชีวิตอยู่ก็พอ

    “พอได้แล้วน่า กรงเล็บนั่นปล่อยพิษออกมาได้ทำให้ข้าตายเกือบทันที โชคดีที่จับดาบเจ้าแทงสวนได้ก่อนหมดลม”

    ดาริอุสดูจะดีใจจนประหม่า หยิบกระบี่บนพื้นมาให้ผู้กล้าแก้เขิน

    “เจ้าจงจำไว้ เวลาเข้าไปในถ้ำแบบนี้ต้องระวังศัตรูหรือสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัว” ผู้กล้าสั่งสอนผู้ติดตามก่อนหันมาสนใจกระบี่ที่แทบยื่นมาทิ่มหน้าตน “แล้วอะไรเนี่ย”

    “กระบี่แสงตะวัน” ดาริอุสตัดสินใจลบคำว่าดาบในชื่อออกไปเพื่อป้องกันการสับสน “ของท่านผู้กล้า”

    ไบรอันสั่นหัวน้อยๆ ยิ้มกว้างแล้วตอบอย่างสุภาพ

    “ของเจ้าต่างหาก ดาบที่แทงมันตายเป็นของเจ้า มือเจ้าก็จับด้ามมันอยู่...มันเป็นผลงานของเจ้า ไม่ใช่ข้า”

    “แต่กระบี่แสงตะวันควรคู่กับผู้กล้าแสงตะวันนี่นา” ดาริอุสขมวดคิ้ว มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ปกติของวิเศษพรรค์นี้มักเป็นของผู้กล้าไม่ใช่หรือ

    “กระบี่ดาบแสงตะวันต่างหาก” ไบรอันย้ำให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเต็ม “ตอนนี้เป็นกระบี่แต่ร่างจริงมันคือดาบ เหมือนกับเจ้าที่ตอนนี้ยังเป็นแค่ผู้ติดตาม ปิศาจตัวนี้ก็ไม่ใช่ลูกน้องของจอมอสูรดัชเชลด้วย มันไม่ได้ถูกส่งมาฆ่าข้า”

    “ข้าไม่เข้าใจ”

    “ตอนนี้ยัง แต่สักวันข้าต้องอธิบายแน่ ขอให้รอก่อน” ไบรอันรู้สึกหายใจโล่งขึ้นกว่าเมื่อครู่ “ตอนนี้เจ้ารับกระบี่เล่มนี้ไว้ใช้ดีกว่า ข้ามีของข้าแล้ว แล้วเราไปคุยกันต่อข้างนอก ในนี้ร้อนเป็นไฟเลย”

    ในที่สุดดาริอุสก็จำใจต้องรับกระบี่เล่มนั้นไว้ใช้เอง ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันกระทั่งกลับไปที่รถม้า สารถีแสดงความประหลาดใจที่เสื้อของผู้กล้าเป็นรูแถมเปื้อนเลือดเป็นด่างดวงอีกต่างหาก

    “ตามธรรมเนียมการได้รับของวิเศษน่ะ กระบี่เวทสำหรับผู้ติดตามของข้า” ไบรอันบอกกับคนขับรถม้าไปแบบนี้ก่อนขึ้นไปนั่งวางท่าเหมือนขามาไม่มีผิด

    “แล้วข้าจะใช้เป็นหรือ” ดาริอุสถามขึ้นลอยๆ

    “ลองจับด้ามกระบี่แล้วคิดถึงไฟสิ ความร้อนของดวงตะวัน เรียกมันลงมาที่ใบกระบี่”

    ดาริอุสลองทำดู ไม่ถึงอึดใจใบดาบเงินวันก็กลายเป็นสีส้มสดเหมือนเหล็กเผาไฟ ปล่อยทั้งแสงและความร้อนออกมาเหมือนเพิ่งยกออกมาจากเตาหลอม แล้วก็หายไปทันทีเมื่อดาริอุสอุทานออกมา

    “ในนี้มีไฟอยู่ ร้อนมากๆ ข้ารู้สึกถึงมันได้” ดาริอุสมองตาอีกฝ่าย

    “ไม่งั้นมันจะมีชื่อว่าดาบแสงตะวันหรือ มันยอมให้เจ้าใช้ได้เท่านั้น หัดสั่งมันให้ได้แล้วจะใช้ได้เหมือนแขนขาอีกข้าง”

    ว่าแล้วท่านผู้กล้าก็อรรถาธิบายยาวเหยียดเกี่ยวกับอาวุธเวทมนตร์และวิธีใช้เบื้องต้น...


    ไบรอัน แบล็คสโตนหยุดให้ผู้ติดตามพักก่อนหัวจะระเบิด ตอนนี้เขาส่งอาวุธให้คนที่สมควรแล้วแม้จะช้ากว่าจอมปิศาจอยู่ก้าวหนึ่งก็ตาม ลองอีกฝ่ายส่งปิศาจมาลอบฆ่าก็แปลว่ารู้ตัวแล้วว่าเขารู้ความจริง นางผู้หยั่งรู้ก็ไม่ยอมให้เขาเห็นข้างหน้าชัดเจนว่ามีกับดักตรงไหนเมื่อไรอีก ที่สำคัญก็คือการติดต่อกับสหายที่ขาดตอนตั้งแต่มาถึงเพียร์ซ ทั้งคำเตือนนั่น ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน

    “รอให้ถึงโรงพักแรมก่อนค่อยลอง ร้อน!” ไบรอันทักดาริอุสที่ลองออกคำสั่งกระบี่ดาบแสงตะวันอีกครั้ง

    ปลายทางคือโรงแรมที่พวกเขาพักอยู่ คนที่โบกมือให้คือไซเรน่าอัศวินมังกรกับเซรีน่าผู้สะสมคำสาป ไม่รู้พวกนางพบกันตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจเกี่ยวกับที่เซรีน่าบอกว่านางมีสิ่งต้องทำหลังเขาออกจากถ้ำภูตไฟ

    พวกเขาลองจากรถม้าแล้วจ่ายค่าจ้าง พอดีกับไซเรน่าบ่นอุบที่พวกเขาแอบไปกันแค่สองคน ส่วนเซรีน่านั้นหันไปทักทายดาริอุสอย่างเป็นกันเอง นิสัยบางอย่างของนางดูคุ้นตา เช่นการจับผมหรือโยกตัวเวลาสงสัย

    “ท่านผู้กล้าตายมาแล้วสินะคะ” เซรีน่าหันมาสนใจไบรอัน

    เขาพยักหน้า กำลังจะถามว่านางมาทำอะไรที่นี่ หญิงสาวก็พุ่งเข้ามาโอบคอแล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขาทันที ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยจูบใคร แต่คราวนี้ร้อนแรงกว่าที่เคยเจอมา เป็นความรู้สึกขัดแย้ง รู้สึกผิดและต่อต้านอยู่ข้างในหัวใจลึกๆโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างกับกำลังจูบกับคนในครอบครัวมากกว่าคนรัก กระทั่งนางยอมถอนริมฝีปากออกไปเอง

    “เท่านี้หน้าที่ของข้าในยุคนี้ก็เสร็จแล้ว ประทับตราบาปให้ผู้กล้าแสงตะวันครั้งที่หนึ่ง”

    “หมายความว่าอย่างไรกัน ครั้งที่หนึ่ง” ไบรอันหายจากอาการตะลึงเอ่ยถาม กำลังจะพูดแต่นางอัศวินมังกรขัดขึ้นมาก่อน

    “ข้าไม่ยอมนะ ทำไมท่านให้นางได้แต่ให้ข้าไม่ได้ล่ะ”

    แล้วนางอัศวินมังกรก็ทำตามบ้าง ดึงตัวผู้กล้าแสงตะวันไปจูบปากจนสาแก่ใจจึงปล่อยให้เป็นอิสระ

    “สมกับที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับชื่อของข้า เซรีน่าก็แผลงมาจากไซเรน่านี่ล่ะค่ะ” เซรีน่าตอบขำๆ นางเป็นนักท่องเวลา อาจเกิดในยุดต่อจากไบรอันก็ได้ “แม้จะรู้สึกผิดต่อท่านและท่านแม่ แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้ท่านรอดชีวิตได้ในวันข้างหน้า อีกไม่ช้าท่านก็จะเจอกับพี่สาวข้า นางจะทำอย่างเดียวกันกับข้าเพื่อให้ท่านปนเปื้อนมากขึ้นจนกลายเป็นกากเดน”

    “ต้องถึงขั้นนั้นเลยหรือ” ไบรอันมุ่ยหน้า “แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ มีพี่น้องด้วย”

    “ข้ามีพี่สองคนน้องสองคนค่ะ ส่วนข้าเป็นใครนั้น...เมื่อพี่สาวข้าปรากฏตัวท่านดาริอุสก็จะรู้ค่ะ” นักสะสมคำสาปดูดีใจที่ได้พูดถึงครอบครัว “ในยุคนี้คงต้องลาก่อนนะคะ แล้วเจอกันในยุคสมัยที่ข้าเกิดโน่นเลย”

    “เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ” ไบรอันหันไปถามผู้ติดตามที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่

    เมื่อหันกลับมานักสะสมคำสาปก็หายตัวไปแล้ว แม้แต่ไซเรน่ายังไม่รู้ว่านางหายตัวไปตอนไหนและไปทางใด ราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศธาตุไปเลย คงต้องรอให้พบกับพี่สาวของนางก่อน แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าใช่ คงเป็นนักท่องเวลาเหมือนกันแน่

    “คงไม่จูบข้าด้วยหรอกนะ” ดาริอุสพูดอย่างหวั่นๆ

    ไบรอันเพิ่งรู้ตัวว่าตนกลายเป็นจุดสังเกตของคนเดินผ่านไปผ่านมาแล้ว จึงลากเพื่อนทั้งสองคนเข้าไปคุยกันในโรงพักนอน

    “ความจริงพวกเราควรไปพักในราชวัง สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเท่าไรนัก” ไบรอันพูดอย่างเคร่งขรึมตามปกติ ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งโดนขโมยจูบถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน “ตอนบินมามีสิ่งผิดปกติหรือเปล่าไซเรน่า”

    “ข้าใช้มนตร์เคลื่อนย้ายของผู้ใช้เวทมนตร์น่ะ นานทีก็ขอลงจากหลังมังกรบ้างสิ” นางอัศวินมังกรตอบ “สิ่งผิดปกติคือมีคนพยายามจูบท่านนี่ล่ะ”

    “ไซเรน่าไปติดต่อทางราชวังขอห้องพักสามห้องสำหรับพวกเรา” ผู้กล้าแสงตะวันสั่งการอย่างแข็งขัน “ส่วนดาริอุสรีบไปเก็บของ ดาบเก่าของเจ้าเอาไปฝากที่ราชวังก็ได้”

    “เขาจะให้หรือไบรอัน” ไซเรน่ายกเสียงอย่างดูถูก

    “เดิมข้าได้รับเชิญให้พักในมหาราชวังอยู่แล้ว แต่ออกมาอยู่ข้างนอกกันเอง” ไบรอันตอบ “ตอนนี้เราต้องรีบเข้าไปในราชวังด่วน หากมีเรื่องจะได้ขอความช่วยเหลือทัน”

    “มีอะไรที่เจ้าต้องกลัวอีก ไปไหนก็มีแต่คนอยากจุมพิตท่านทั้งนั้น”

    “ไม่เห็นรอยแทงบนเสื้อข้าหรือ!” ไบรอันทำท่าเหมือนจะพ่นไฟออกมา “รีบไปเร็วๆ คืนนี้เราจะไปพักนอนกันในมหาราชวัง” นั่นคือคำขาดที่ทำให้ไซเรน่ากับดาริอุสแยกย้ายกันทันที

    ในเขตมหาราชวังของเพียร์ซมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ มีข้อเสียอย่างเดียวคือทำตัวลอยชายตามสบายไม่ได้ ไบรอันจึงเอารายงานออกมาเขียนที่สวนข้างตึกพักแขกพร้อมกับดูดาริอุสทดลองกระบี่ไปด้วย

    “ถ้าสั่งให้มันปล่อยแสง มันจะปล่อยให้ไหม” ดาริอุสถามอย่างมีความหวังแบบเด็กๆ ไบรอันพยักหน้าให้แล้วก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ

    “ดาริอุส ข้าได้ยินว่าเจ้ากับท่านผู้กล้ามาพักในราชวังแล้ว”

    ไบรอันหูผึ่งเมื่อเพื่อนสมัยเด็กของดาริอุสมาหาถึงที่ นางต้นห้องทักทายเขาด้วยความเคารพบอกว่าขออนุญาตจากท่านหญิงมาแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาโดนบังคับจูบโดยผู้หญิงสองคนแล้ว เรื่องนี้ก็น่าสนใจพอตัว

    เมื่อเพื่อนมาดาริอุสก็วางกระบี่แล้วนั่งบนพื้นหญ้า คุยกันตามประสาเพื่อนรัก ทำให้ไบรอันอดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นผู้ติดตามกำลังมีความสุขกับคนสนิท

    “พวกเจ้าน่าจะคบหากันเป็นหน้าเป็นตาไปเลยนะ” ไบรอันล้อ ดาริอุสตอบอย่างชัดเจนว่ายังไม่อยากมีคนรักตอนนี้ทำให้หญิงสาวดูหมองลงเล็กน้อย

    แล้วลมพายุก็เข้ามาเมื่อมีรถม้าบริการในเขตราชวังวิ่งมาหยุดตรงหน้าพวกเขา ผู้ที่ก้าวลงมาคือท่านหญิงโรเซลลิน่า ทำให้ไบรอันจิ้มปากกาทะลุกระดาษเนื่องด้วยไม่คาดคิดว่าพระนางจะมาโดยไม่ติดต่อกันก่อน

    “เขียนรายงานต่อไปท่านผู้กล้า ข้าไม่ได้มาหาท่าน”

    สิ่งที่ท่านหญิงทำก็คือกระชากคอดเสื้อให้หน้าของดาริอุสเข้ามาใกล้กับตัวเอง แล้วประกบริมฝีปากกันอย่างเผ็ดร้อน ใบหน้าของท่านหญิงปกติสีซีดกลับแดงฉานเหมือนมะเขือเทศพอๆกับหน้าของฝ่ายชาย

    “ข้าเกลียดเจ้าดาริอุส!” ท่านหญิงร้องเสียงหลงเมื่อเลิกจูบกับดาริอุส “ข้าอยากศึกษาอาวุธของเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องเป็นของข้าเท่านั้น”

    “ข้าไม่เข้าใจ ฝ่าบาท” ดาริอุสเหมือนกับถูกจับกดน้ำทันควันแทบตั้งสติไม่ได้

    “ข้าสนใจกระบี่เล่มนั้นของเจ้าจึงมาเพื่อขอศึกษามันหน่อยเท่านั้น” ท่านหญิงปล่อยคอเสื้อของดาริอุสอย่างไม่เต็มใจ

    “แล้วเหตุใดท่านจึง...”

    “เพราะถ้าไม่เข้าถึงเจ้าของจะศึกษาอาวุธชิ้นนั้นได้ยังไงล่ะ จริงไหมไบรอัน” ท่านหญิงร้อง ผู้กล้าก็จำใจช่วยนางแถอีกแรงหนึ่ง “เจ้าจะต้องเป็นอนุของข้า รองจากเจ้าชายมาเวอร์ริค!”

    ไบรอันกุมขมับ จารีตทางตะวันตกเขามีแต่ผู้ชายที่จะมีอนุ นี่เป็นหญิงกลับขอมีอนุเสียเอง แถมคนที่ตั้งให้เป็นอนุก็เป็นคนนี้อีก เขายอมรับว่าท่านหญิงคงทนเห็นดาริอุสคบกับคนอื่นไม่ได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมาด้วยตัวเองแบบนี้ ชีวิตรักของท่านผู้ติดตามน่าสนใจดีแท้

    “ท่านมาถึงนี่เพราะเรื่องแค่นี้หรือฝ่าบาท”

    ไบรอันเรียกสติของพระนางกลับมา ใบหน้าที่แดงซ่านเริ่มกลับสู่สภาพเดิมด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ที่จะเก็บอาการ

    “มาคุยกับท่านด้วยผู้กล้า” ท่านหญิงผละจากดาริอุสทันทีราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นตัวประหลาด “ท่านหลบเลี่ยงที่จะคุยกับข้าใช่ไหม”

    อยากมาหาดาริอุสก็บอกเถอะท่านหญิง ไบรอันคิด แล้วผู้กล้าแสงตะวันกับท่านหญิงก็โต้ตอบกันตามสมควรก่อนอีกฝ่ายจะขอตัวไปพักที่ตึกพักรับรองแขกเชื้อพระวงศ์...

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่