ตามมาหลอน~~~~~

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ
เราอ่านเรื่องขนหัวลุกของคนอื่นมาเยอะ เราขอมาแชร์ประสบการณ์เรื่องราวลึกลับที่เราเจอมากับตัวเองค่ะ เราขอเล่าแบบ ค่อยๆไปนะเพราะพิมในมือถือลำบากนิดนึง

                เรื่องมีอยู่ว่าประมาณปลายปี 56 มีป้าในหมู่บ้านเราคนหนึ่งแกเข้าไปทำงานรับราชการที่กรุงเทพมหนครตั้งแต่ยังสาว จนอายุเข้าวัยเกษียนแก่ก็กลับบ้านนอกมาใช้ชีวิตแบบ สโลว์ไลฟ์(มั้ง)เราขอเรียนแกว่า "ป้าบัว" นะคะ สามีแกเป็นทหารแต่เสียชีวิตไปแล้ว ลูกๆของป้าบัวก็แยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด แกเป็นคนเก็บตัวเงียบไม่ค่อยออกไปไหน ไม่คุยกับใคร บ้านป้าบัวอยู่ซอยเดียวกับบ้านเรา อยู่ห่างจากบ้านเรา 3 หลัง  ซึ่งตอนแกมาอยู่ที่หมู่บ้านเราแรกๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรเลยนะคะ เราคิดว่าแกรักสันโดษ ชอบอยู่คนเดียว จนกระทั่ง...........
                ประมาณเดือนพฤศจิกายนปี 57 วันนี้เป็นช่วงวุ่นวายกับการตามผลงานของลูกน้องเราเพื่อส่งผู้บังคับบัญชา  เราก็อยู่ทำงานจนดึก   เราอยู่ที่ทำงานกับพี่ภารโรง ซึ่งแกเป็นคนในพื้นที่ เราเห็นว่าเวลามันเลยเที่ยงคืนแล้วเราเลยตัดสินใจกลับบ้าน เรากับพี่ภารโรงก็ช่วยกันปิดไฟ ปิดประตู ดูความเรียบร้อยต่างๆ ก็แยกย้ายกันกลับ บ้านเราห่างจากที่ทำงาน ประมาณ 25 กิโลเมตร สองข้างทางเป็นป่าโปร่ง ซึ่งเคยเป็นป่าช้า ตอนหลังทางการได้เข้ามาประกาศให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกจนขนลุก เนื่องจากเพิ่งเข้าฤดูหนาว สองข้างมืดสนิท มีบ้านคนประปราย ไม่มีเสาไฟให้ความสว่างสักเสา เราก็ขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงก่อนทางเข้าซอยหมู่บ้าน ซึ่งซอยที่จะเข้าหมู่บ้านติดถนนใหญ่นะคะ แต่พอเข้าซอย จะเป็นถนนลูกรัง ไม่มีบ้านคนเลย ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางหมาหอนได้น่าขนลุกมาก  เราก็ขับมาเรื่อยๆ เปิดเพลงฟังคลายความกลัว จนมาถึงหน้าบ้านป้าบัว รถเรากระตุกค่ะ เหมือนชนอะไรสักอย่างทั้งที่เราก็มองทางตลอด ก็ไม่เห็นอะไรขวางนะคะ เราเลยจอดรถซึ่งรถหยุดตรงประตูทางเข้าบ้านป้าบัวพอดีเป๊ะ  เรามองเข้าไปในบ้านป้าบัว บ้านแกปิดไฟเงียบ รั้วบ้านป้าบัวเป็นเสาไม้เตี้ยๆอ้อมด้วยลวดหนาม ตามแบบบ้านนอก พอเราหันกลับมามองทางข้างหน้า มีผู้หญิงรูปร่างอวบๆ ไม่แก่มาก สีเสื้อสีดำกับผ้าถุงสีดำ ตาสีดำทั้งตาเลยค่ะ ยืนขวางกลางถนน มองหน้าเราแบบสีหน้าเฉยมาก  แล้วอยู่ดีๆกระโดดขึ้นมากระจกหน้ารถ มันเร็วมากเรายังไม่ทันตั้งตัว  เรากริ๊ดดดดดดดดดดดดด(คอแทบแตก) หลับตาปี๋ ไม่กล้าเงยหน้าเลยค่ะ เราได้ยินเสียงกระจกแตกด้วยค่ะ เราใจเต้นเรามาก ความคิดเรากลัวสุดๆ
ยกมือไหว้แบบสั่นไปทั้งตัว(หัวใจจะวาย) เราก้มหน้ากับพวงมาลัยนานแค่ไหนไม่รู้ความรู้สึกเรามันนานมาก เราทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ เราได้ยินเสียงสวดเป็นภาษาเขมร(เราคิดเอาเองนะ) เราไม่เคยได้ยินบทสวดนี้ มันคล้ายบทสวดมนต์แต่ไม่ใช่ เสียงสวดเร็วมาก เสียงดัง ดุดันมาก เรายิ่งกลัวสิค่ะ มุดลงใต้รถอย่างเดียว จนเสียงเงียบไปนานพอสมควร เราเลยเงยหน้า แล้วรู้สึกว่ามีลมอุ่นๆมาปะทะหน้า กระจกด้านข้างเปิดตอนไหนก็ไม่รู้ จนลุงที่อยู่ตรงข้ามบ้านป้าบัวมาเรียกอยู่ข้างรถเรา  เราขอเรียก "ลุงพอก" นะคะ เรากร๊ดดดดดดดดดดดดดดด อีกรอบเราตกใจไงค่ะ ไม่รู้ใครเป็นใคร แกจับแขนเราแล้วบอกเราว่า มันไปแล้ว มันไปแล้ว เราไม่เห็นป้าบัวลงมาดูเลยค่ะ ทั้งที่เราบีบแตรรถเสียงดังมากกกก คนในละแวกนั้นออกมาดูหมด ก็จะมีแต่รุ่นสูงวัยทั้งนั้นค่ะ เพราะบ้านนอกหนุ่มๆสาวๆ เข้าเมืองกันหมด  ป้าๆช่วยกันปลอบเรากันใหญ่ เราโทรหาแม่ แม่ก็รีบเดินออกมารับ บ้านห่างกัน 3 หลังไงค่ะ พวกป้าๆละแวกบ้านก็เดินมาส่งเราที่บ้านด้วย แล้วรถเราลุงพอกก็ขับมาจอดไว้ให้   ป้าๆกับแม่ก็ตั้งวงคุยกันอยู่หน้าทีวี แม่ก็เอาทีนอนปิคนิคมาปูให้เรานอนหน้าทีวี ใกล้วงเม้าท์ของป้าๆนั้นแหละค่ะ  น้ำก็ไม่อาบ ข้าวไม่กิน กลัววววววววว  เรานอนฟังพวกป้าๆคุยกันเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตั้งแต่ ป้าบัวกลับมาอยู่หมู่บ้านเรา

             พอตื่นมาปวดหัวมาก สรุปไข้ขึ้น.......เราโทรไปบอกหัวหน้าเราขอลางาน 2 วัน ไปหาหมอ ไปอาบน้ำมนต์ที่วัดใกล้บ้าน แล้วพักผ่อนอีก 1 วัน เราเดินสำรวจรถเราตอนสายๆ ก็ไม่มีรอยกระจกแตกหรือร้าวเลยนะคะ เรามั่นใจว่าได้ยินเสียงกระจกแตก ช่วงบ่ายเราก็ไปวัด เจอหลวงพ่อแกหัวเราะเลยค่ะ แกพูดขึ้นว่า โดนดีมาล่ะสิ แล้วท่านก็ถามแม่ว่าเตรียมของมาไหม แม่ก็เดินไปเตรียมของ ซึ่งมีดอกไม้ ธูป เทียน ใส่ในขันเงิน แล้วท่ายก็เรียกให้เข้าไปทำพิธีในอุโบสถ ท่านสั่งลุงพอก แกเป็นมัคทายก ไปเอาถังใส่น้ำมา 3 ถัง หลวงพ่อแก ก็ยกขันขึ้น แล้วเอาธูป เทียน ดอกไม้ มาประนมมือแล้วท่องคาถาประมาณ 3 นาที แล้วท่านก็จุดเทียนพร้อมกับท่องคาถาแล้วหยุดน้ำตาเทียนลงน้ำ แล้วก็ให้เรากิน 1 แก้ว แล้วก็อาบอีก 3 ถัง หนาวมากค่ะ หน้าหนาวเนาะ ตอนแม่เราเอาน้ำราดลงบนตัว เราอ้วกออกมาเป็นน้ำสีเขียว หนืดๆ เหนียวๆ  สีเหมือนน้ำย่อย เหม็นมาก ออกทั้งปาก ทั้งจมูก เรารู้สึกเจ็บลิ้นปี่  ทรมานสุดๆ ........จนราดน้ำมนต์เสร็จ อาการเราก็หาย รู้สึกตัวเบา
สมองโล่ง พอตอนจะกลับบ้านหลวงพ่อแกบอกให้เก็บดอกไม้ กลับไปด้วย 1  ดอก เราเลยไปเก็บดอกดาวเรืองที่ขอบกำแพงวัดกลับบ้านไป 1 ดอก เราไม่รู้ว่าทำไมต้องเอาดอกไม่กลับบ้านด้วย แต่เพื่อความสบายใจเราก็เลยทำตามที่หลวงพ่อบอก เราคิดว่าเรื่องมันจบแล้ว...........
แต่ที่จริง.................ไม่!!!!!!!
มีต่อ......
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่