เตือนภัยชาวโซเชียล: ระวัง! ไวรัส Sinophobia และ Russophobia กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในโลกอินเตอร์เน็ทและวงการสื่อมวลชน (ตอนที่ 1/2)
---------
เท่าที่จับตาดูพฤติกรรมของชาวโชเชียลมีเดีย (สังคมออนไลน์) มาได้สักพักใหญ่ตั้งแต่หลังมีการยึดอำนาจโดยคสช.และรัฐบาลลุงตู่หันไปกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีนและรัสเซียเพิ่มมากขึ้น พบว่าชาวโซลเชียลมีเดียบางกลุ่มมีอาการแปลกๆ เหมือนได้รับเชื้อบางอย่างที่แปลกปลอมเข้าไป และได้มีการยืนยันว่าจากผู้เชี่ยวชาญว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดหนึ่งในวงการสื่อฯมวลชนและในสังคมอินเตอร์เน็ทอย่างแพร่หลายในคนบางกลุ่มอยู่จริง มันไม่ใช่ไวรัสคอมพิวเตอร์ แต่มันเป็นไวรัสสมัยใหม่ที่พึ่งจะมีการพัฒนาขึ้นมาเร็วๆนี้มีอยู่สองตัวแต่สายพันธุ์เดียวกัน ดังนี้
1.) Sinophobia (ซิโนโพเบีย) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Anti-Chinese sentiment" ใครที่ติดไวรัสชนิดนี้แล้วจะมีอาการดังต่อไปนี้ มีความรู้สึกต่อต้านจีน ต่อต้านคนจีน ต่อต้านประเทศจีนโพ้นทะเล และต่อต้านวัฒนธรรมจีน มีความรู้สึกที่เป็นลบ ไม่ชอบ และหวาดกลัว เกลียด ชิงชัง และดูถูก มีอคติต่อจีน (คอมมิวนิสต์จีน) อย่างแรง โดยไม่มีเหตุผล โดยมองว่าจีนมีระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจึงพากันหวาดกลัวความมิวนิสต์ กลัวว่ารัฐบาลของประเทศตนเองจะเปลี่ยนระบบการปกครองไปเป็นแบบคอมมิวนิสต์จีน
2.) Russophobia (รุสโซโพเบีย) คล้ายกับไวรัสหรือโรค Sinophobia ข้างต้น แต่เป็นอาการหวาดกลัวตื่นตะหนะหนก หวาดผวา มีอคติ และมีแนวความคิดในแง่ลบต่อรัสเซียแทน คนที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ หรือเป็นโรคชนิดนี้แล้วจะมีอาการต่อต้านรัสเซียอย่างแรงโดยไม่มีเหตุผล
หน่วยข่าวกรองของเราสืบทราบมาว่า มีองค์กรหนึ่งแอบซุ่มพัฒนาไวรัสทั้งสองชนิดนี้ขึ้นมาอย่างลับๆ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่แถวถนนวิทยุ ส่วนสำนักงานย่อยที่ใช้เป็นแหล่งแพร่เชื้อก็จะเป็นสำนักข่าวประเภทสื่อฯจั๊กกะจั่นโปรอเมริกาทั้งหลาย ไวรัสทั้งสองชนิดนี้จะมีพาหะชนิดหนึ่งเป็นตัวกลางในการแพร่เชื้อ พาหนะชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับมนุษย์ทั่วไปนี่แหละ ชอบเกาะอยู่ตามเว็บไซท์ของสื่อฯต่างๆ และและเพจดังๆ ในโซเชียลมีเมียเดียและตามสื่อฯกระแสหลักโปรอเมริกาทั้งหลายด้วย เพื่อแพร่กระจายเชื้อโรคทั้งสองชนิดนี้
ใครที่ติดเชื้อไวรัสทั้งสองชนิดนี้ในเบื้องต้น จะไม่ค่อยปรากฏอาการภายนอกให้เห็นว่ามีความผิดปรกติบางอย่างภายใน แต่จะสังเกตได้ว่าติดเชื้อหรือไม่ด้วยการสนทนา หรือสังเกตการสนทนาของผู้ที่ติดเชื้อเหล่านั้น จุดที่เห็นได้เด่นชัดก็คือระดับสติปัญญาในการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารลดลง หรือไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ การใช้เหตุผลในการขบคิดหรือโต้เถียงกันจะลดลง มีน้อย หรือมีค่าเป็นศูนย์ สิ่งที่เพิ่มขึ้นก็คืออีโก้ที่รุนแรงมาก จนกว่าจะได้รับวัคซีนหรือได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
อาการข้างเคียงของโรคเหล่านี้ก็คือคลั่งอเมริกาและตะวันตก คลั่งประชาธิปไตย คลั่งการเลือกตั้ง โหยหาเสรีภาพ คลั่งเรื่องสิทธิมนุษยชน พร่ำบอกกับตัวเองแบบย้ำคิดย้ำทำว่า ขาดเสรีภาพอย่างนั้นอย่างนี้ แม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้นกว่าสมัยที่มีการเลือกตั้งก็ตาม พวกที่ติดเชื้อเหล่านี้ก็จะเหมือนถูกสกดจิตให้เที่ยวโพนทนาว่า ชีวิตไม่มี เศรษฐกิจไม่ดี ทุกอย่างที่รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งดำเนินนโยบายไม่ดีทั้งนั้น เกิดอาการต่อต้านอย่างหนัก เมื่อโรคชนิดนี้มีอาการรุนแรงขึ้นจนผู้ที่ติดเชื้อไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ก็จะมีอาการขาดสติ และนำไปสู่การบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศโดยส่วนรวม ทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองในสิ่งที่เขามีความรู้สีกว่าบกพร่อง ซึ่งก็คือการเลือกตั้ง
+ กรณีศึกษาการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ก้าวร้าวของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสประเภทซิโนโพเบียและรุสโซโพเบีย: Single Gateway
-------------
กลุ่มคนที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ที่อาการให้เห็นเด่นชัดมากที่สุดเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ กลุ่มที่รวมหัวกันโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานราชการ ซึ่งเป็นสมบัติของประเทศชาติตัวเอง ใช้เงินภาษีของประชาชนในการก่อสร้างและพัฒนา เพียงเพราะเชื่อว่า รัฐบาลนี้จะใช้ระบบอินเตอร์เน็ทแบบ "ซิงเกิลเกตเวย์" เท่านั้น ไอ้เจ้า "Single Gateway" นี้มันเป็นยังไงรึ? ก็คือระบบการรับ-ส่งข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ทที่มีเพียงช่องทางเดียว มีประตูเดียวให่ผ่านเข้าออกได้เท่านั้น ไม่ว่าอินเตอร์เน็ทจะมาจากประเทศไหนหรือมุมไหนของโลกถ้าจะเข้าประเทศไทย หรือออกจากประเทศไทยไปทั่วโลกจะต้องผ่านประตูนี้ประตูเดียวเท่านั้น เหมือนจุดผ่านแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านรอบประเทศไทยที่กำหนดให้มีเพียงจุดเดียวเท่านั้น
ถ้าใช้ระบบ Single Gateway อย่างที่ว่ามาจราจรในอินเตอร์เน็ทก็จะติดขัดเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เน็ทอืด การรับส่งข้อมูลช้า ก็เหมือนคอขวดที่ถนนทุกสายมาบรรจบกันจุดหนึ่งแล้วรถทุกคันจะต้องวิ่งผ่านจุดตรวจจุดเดียว คิดดูว่าจะต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะระบายการจราจรได้
เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยในการตรวจจับสิ่งผิดปรกติในอินเตอร์เน็ทที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านเราจากต่างประเทศ และเพื่อความปลอดภัยของระบบอินเตอร์เน็ท และเพื่อความมั่นคงของประเทศ จึงมีบุคคลเสนอแนวความคิด (แบบมีนัย?) แบบ Single Gateway ขึ้นมาโดยอ้างว่าถ้าจะให้ปลอดภัยก็ต้องตั้งจุดตรวจเพียงจุดเดียวแบบนี้ ไอ้คนเสนอนี่เอาอะไรคิด? ขอย้ำว่านี่ไม่ใช่แนวความคิดของรัฐบาลนี้ แต่ลุงตู่บอกว่าให้ไปช่วยกันหาทางป้องกันปัญหาการก่ออาชญากรรมในโลกไซเบอร์มา แค่นี้ ยังไม่ได้บอกว่าจะทำแบบไหนเลย
คราวนี้พวกที่รับงานมาก็ได้เวลาปล่อยเชื้อโรคแห่งความหวาดกลัวขึ้นมาสิ เริ่มมีการรณรงค์ล่ารายชื่อทางออนไลน์ได้เป็นแสนคน โดยฝีมือของกลุ่มเดิมคือแก๊งค์สาระแนไซเบอร์ ngo ทุนต่างชาติ ที่เคยล่ารายชื่อออนไลน์ผ่านองค์กรที่มีชื่อคล้ายเป็น ngo แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นบริษัทที่มีเว็บไซท์ชื่อ change.org เท่านั้น เพจนี้เคยแฉมาแล้ว หัวหอกใหญ่ในการดำเนินการปลุกระดมล่ารายชื่อคัดค้าน Single Gateway ที่มีแต่ลมเสกกันขึ้นมาเองก็คือนังสาระแนไซเบอร์เจ้าของตรรกะหุ่นฟางที่บอกว่า "การปฏิรูปที่ไม่ต้องแบ่งแยกดี-เลว เรียกว่าการปฏิรูปที่ชอบธรรม" นั่นแหละ โป๊ะเช๊ะ! ดูเหมือนว่างานมีการแบ่งงานกันทำเป็นทีม เริ่มตั้งแต่คนเสนอไอเดีย จากนั้นก็บ่อยข่าวออกไปว่า ปลางับเหยื่อแล้ว เดินแผนขั้นที่สองได้ จัดรณรงค์ออนไลน์ล่ารายชื่อ ปลุกกระแสสังคมให้ต่อต้านรัฐบาลนี้ แผนขั้นที่สามคือเมื่อได้สมาชิกมากๆแล้วก็เริ่มปฏิบัติการโจมตีระบบอินเตอร์เน็ทของหน่วยงานรัฐบาลให้ใช้ล่มไปเลย คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรถูกปั่นหัวเพราะความหวาดกลัวบ้าๆบอๆก็เอากับเขาด้วย โดยที่ยังไม่ได้สืบสาวราวเรื่องให้รู้ความจริงอะไรเลย
กลายเป็นว่าผู้ที่ก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ในครั้งนี้กลับเป็นคนไทยที่ไม่ได้หวังดีกับประเทศไทยจริงๆ เหมือนพวกที่ติดเชื้อไวรัสประเภท Sinophobia และ Russophobia เลย งานนี้เขาทำกันเป็นแก๊ง แก๊งใหญ่ซะด้วย หัวหน้าแก๊งตัวจริงน่าจะอยู่ที่เดียวกันกับแหล่งเพาะเชื้อ Sinophobia และ Russophobia นั่นแหละ ที่ว่ามานี้คือกรณีของพวกที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ และสามารถสร้างความเสียหายให้กับสมบัติของชาติ พร้อมที่จะทำลายได้ทุกอย่างโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ก็เหมือนกับที่นักการเมืองบางประเทศในตะวันตกบอกว่าการที่ไปถล่มซีเรียนั้นก็เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่จะมีต่อประเทศของพวกเขาอย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วนั่นแหละ
สรุป ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือการหา "มาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในโลกอินเตอร์เน็ท" ที่เหมาะสมให้กับประเทศของตนเอง ไม่ใช่การใช้ "Single Gateway" อย่างที่เป็นข่าวและพยายามทำให้คนประชาชนเข้าใจผิดจนไปสู่การกระทำที่ไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ยิ่งทำให้ประเทศไทยพังเร็วเท่าไรหรือเดินต่อไม่ได้เร็วเท่าไร กลุ่มคนพวกนี้ที่ติดเชื้อเหล่านี้ก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
ป.ล.จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง และรักษาผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ได้อย่างไร? ติดตามอ่านต่อในตอนที่ 2/2
The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
07/10/2558
เชิญแสดงความคิดเห็นได้ตามสบาย หรือจะตามไปกระทีบไลค์ หรือด่ากราดได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/fisont/posts/1729055167314616:0
ตือนภัยชาวโซเชียล: ระวัง! ไวรัส Sinophobia และ Russophobia ระบาดอย่างหนักในโลกอินเตอร์เน็ทและวงการสื่อมวลชน (ตอ
---------
เท่าที่จับตาดูพฤติกรรมของชาวโชเชียลมีเดีย (สังคมออนไลน์) มาได้สักพักใหญ่ตั้งแต่หลังมีการยึดอำนาจโดยคสช.และรัฐบาลลุงตู่หันไปกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีนและรัสเซียเพิ่มมากขึ้น พบว่าชาวโซลเชียลมีเดียบางกลุ่มมีอาการแปลกๆ เหมือนได้รับเชื้อบางอย่างที่แปลกปลอมเข้าไป และได้มีการยืนยันว่าจากผู้เชี่ยวชาญว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดหนึ่งในวงการสื่อฯมวลชนและในสังคมอินเตอร์เน็ทอย่างแพร่หลายในคนบางกลุ่มอยู่จริง มันไม่ใช่ไวรัสคอมพิวเตอร์ แต่มันเป็นไวรัสสมัยใหม่ที่พึ่งจะมีการพัฒนาขึ้นมาเร็วๆนี้มีอยู่สองตัวแต่สายพันธุ์เดียวกัน ดังนี้
1.) Sinophobia (ซิโนโพเบีย) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Anti-Chinese sentiment" ใครที่ติดไวรัสชนิดนี้แล้วจะมีอาการดังต่อไปนี้ มีความรู้สึกต่อต้านจีน ต่อต้านคนจีน ต่อต้านประเทศจีนโพ้นทะเล และต่อต้านวัฒนธรรมจีน มีความรู้สึกที่เป็นลบ ไม่ชอบ และหวาดกลัว เกลียด ชิงชัง และดูถูก มีอคติต่อจีน (คอมมิวนิสต์จีน) อย่างแรง โดยไม่มีเหตุผล โดยมองว่าจีนมีระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจึงพากันหวาดกลัวความมิวนิสต์ กลัวว่ารัฐบาลของประเทศตนเองจะเปลี่ยนระบบการปกครองไปเป็นแบบคอมมิวนิสต์จีน
2.) Russophobia (รุสโซโพเบีย) คล้ายกับไวรัสหรือโรค Sinophobia ข้างต้น แต่เป็นอาการหวาดกลัวตื่นตะหนะหนก หวาดผวา มีอคติ และมีแนวความคิดในแง่ลบต่อรัสเซียแทน คนที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ หรือเป็นโรคชนิดนี้แล้วจะมีอาการต่อต้านรัสเซียอย่างแรงโดยไม่มีเหตุผล
หน่วยข่าวกรองของเราสืบทราบมาว่า มีองค์กรหนึ่งแอบซุ่มพัฒนาไวรัสทั้งสองชนิดนี้ขึ้นมาอย่างลับๆ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่แถวถนนวิทยุ ส่วนสำนักงานย่อยที่ใช้เป็นแหล่งแพร่เชื้อก็จะเป็นสำนักข่าวประเภทสื่อฯจั๊กกะจั่นโปรอเมริกาทั้งหลาย ไวรัสทั้งสองชนิดนี้จะมีพาหะชนิดหนึ่งเป็นตัวกลางในการแพร่เชื้อ พาหนะชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับมนุษย์ทั่วไปนี่แหละ ชอบเกาะอยู่ตามเว็บไซท์ของสื่อฯต่างๆ และและเพจดังๆ ในโซเชียลมีเมียเดียและตามสื่อฯกระแสหลักโปรอเมริกาทั้งหลายด้วย เพื่อแพร่กระจายเชื้อโรคทั้งสองชนิดนี้
ใครที่ติดเชื้อไวรัสทั้งสองชนิดนี้ในเบื้องต้น จะไม่ค่อยปรากฏอาการภายนอกให้เห็นว่ามีความผิดปรกติบางอย่างภายใน แต่จะสังเกตได้ว่าติดเชื้อหรือไม่ด้วยการสนทนา หรือสังเกตการสนทนาของผู้ที่ติดเชื้อเหล่านั้น จุดที่เห็นได้เด่นชัดก็คือระดับสติปัญญาในการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารลดลง หรือไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ การใช้เหตุผลในการขบคิดหรือโต้เถียงกันจะลดลง มีน้อย หรือมีค่าเป็นศูนย์ สิ่งที่เพิ่มขึ้นก็คืออีโก้ที่รุนแรงมาก จนกว่าจะได้รับวัคซีนหรือได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
อาการข้างเคียงของโรคเหล่านี้ก็คือคลั่งอเมริกาและตะวันตก คลั่งประชาธิปไตย คลั่งการเลือกตั้ง โหยหาเสรีภาพ คลั่งเรื่องสิทธิมนุษยชน พร่ำบอกกับตัวเองแบบย้ำคิดย้ำทำว่า ขาดเสรีภาพอย่างนั้นอย่างนี้ แม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้นกว่าสมัยที่มีการเลือกตั้งก็ตาม พวกที่ติดเชื้อเหล่านี้ก็จะเหมือนถูกสกดจิตให้เที่ยวโพนทนาว่า ชีวิตไม่มี เศรษฐกิจไม่ดี ทุกอย่างที่รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งดำเนินนโยบายไม่ดีทั้งนั้น เกิดอาการต่อต้านอย่างหนัก เมื่อโรคชนิดนี้มีอาการรุนแรงขึ้นจนผู้ที่ติดเชื้อไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ก็จะมีอาการขาดสติ และนำไปสู่การบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศโดยส่วนรวม ทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองในสิ่งที่เขามีความรู้สีกว่าบกพร่อง ซึ่งก็คือการเลือกตั้ง
+ กรณีศึกษาการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ก้าวร้าวของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสประเภทซิโนโพเบียและรุสโซโพเบีย: Single Gateway
-------------
กลุ่มคนที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ที่อาการให้เห็นเด่นชัดมากที่สุดเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ กลุ่มที่รวมหัวกันโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานราชการ ซึ่งเป็นสมบัติของประเทศชาติตัวเอง ใช้เงินภาษีของประชาชนในการก่อสร้างและพัฒนา เพียงเพราะเชื่อว่า รัฐบาลนี้จะใช้ระบบอินเตอร์เน็ทแบบ "ซิงเกิลเกตเวย์" เท่านั้น ไอ้เจ้า "Single Gateway" นี้มันเป็นยังไงรึ? ก็คือระบบการรับ-ส่งข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ทที่มีเพียงช่องทางเดียว มีประตูเดียวให่ผ่านเข้าออกได้เท่านั้น ไม่ว่าอินเตอร์เน็ทจะมาจากประเทศไหนหรือมุมไหนของโลกถ้าจะเข้าประเทศไทย หรือออกจากประเทศไทยไปทั่วโลกจะต้องผ่านประตูนี้ประตูเดียวเท่านั้น เหมือนจุดผ่านแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านรอบประเทศไทยที่กำหนดให้มีเพียงจุดเดียวเท่านั้น
ถ้าใช้ระบบ Single Gateway อย่างที่ว่ามาจราจรในอินเตอร์เน็ทก็จะติดขัดเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เน็ทอืด การรับส่งข้อมูลช้า ก็เหมือนคอขวดที่ถนนทุกสายมาบรรจบกันจุดหนึ่งแล้วรถทุกคันจะต้องวิ่งผ่านจุดตรวจจุดเดียว คิดดูว่าจะต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะระบายการจราจรได้
เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยในการตรวจจับสิ่งผิดปรกติในอินเตอร์เน็ทที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านเราจากต่างประเทศ และเพื่อความปลอดภัยของระบบอินเตอร์เน็ท และเพื่อความมั่นคงของประเทศ จึงมีบุคคลเสนอแนวความคิด (แบบมีนัย?) แบบ Single Gateway ขึ้นมาโดยอ้างว่าถ้าจะให้ปลอดภัยก็ต้องตั้งจุดตรวจเพียงจุดเดียวแบบนี้ ไอ้คนเสนอนี่เอาอะไรคิด? ขอย้ำว่านี่ไม่ใช่แนวความคิดของรัฐบาลนี้ แต่ลุงตู่บอกว่าให้ไปช่วยกันหาทางป้องกันปัญหาการก่ออาชญากรรมในโลกไซเบอร์มา แค่นี้ ยังไม่ได้บอกว่าจะทำแบบไหนเลย
คราวนี้พวกที่รับงานมาก็ได้เวลาปล่อยเชื้อโรคแห่งความหวาดกลัวขึ้นมาสิ เริ่มมีการรณรงค์ล่ารายชื่อทางออนไลน์ได้เป็นแสนคน โดยฝีมือของกลุ่มเดิมคือแก๊งค์สาระแนไซเบอร์ ngo ทุนต่างชาติ ที่เคยล่ารายชื่อออนไลน์ผ่านองค์กรที่มีชื่อคล้ายเป็น ngo แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ มันเป็นบริษัทที่มีเว็บไซท์ชื่อ change.org เท่านั้น เพจนี้เคยแฉมาแล้ว หัวหอกใหญ่ในการดำเนินการปลุกระดมล่ารายชื่อคัดค้าน Single Gateway ที่มีแต่ลมเสกกันขึ้นมาเองก็คือนังสาระแนไซเบอร์เจ้าของตรรกะหุ่นฟางที่บอกว่า "การปฏิรูปที่ไม่ต้องแบ่งแยกดี-เลว เรียกว่าการปฏิรูปที่ชอบธรรม" นั่นแหละ โป๊ะเช๊ะ! ดูเหมือนว่างานมีการแบ่งงานกันทำเป็นทีม เริ่มตั้งแต่คนเสนอไอเดีย จากนั้นก็บ่อยข่าวออกไปว่า ปลางับเหยื่อแล้ว เดินแผนขั้นที่สองได้ จัดรณรงค์ออนไลน์ล่ารายชื่อ ปลุกกระแสสังคมให้ต่อต้านรัฐบาลนี้ แผนขั้นที่สามคือเมื่อได้สมาชิกมากๆแล้วก็เริ่มปฏิบัติการโจมตีระบบอินเตอร์เน็ทของหน่วยงานรัฐบาลให้ใช้ล่มไปเลย คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรถูกปั่นหัวเพราะความหวาดกลัวบ้าๆบอๆก็เอากับเขาด้วย โดยที่ยังไม่ได้สืบสาวราวเรื่องให้รู้ความจริงอะไรเลย
กลายเป็นว่าผู้ที่ก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ในครั้งนี้กลับเป็นคนไทยที่ไม่ได้หวังดีกับประเทศไทยจริงๆ เหมือนพวกที่ติดเชื้อไวรัสประเภท Sinophobia และ Russophobia เลย งานนี้เขาทำกันเป็นแก๊ง แก๊งใหญ่ซะด้วย หัวหน้าแก๊งตัวจริงน่าจะอยู่ที่เดียวกันกับแหล่งเพาะเชื้อ Sinophobia และ Russophobia นั่นแหละ ที่ว่ามานี้คือกรณีของพวกที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ และสามารถสร้างความเสียหายให้กับสมบัติของชาติ พร้อมที่จะทำลายได้ทุกอย่างโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ก็เหมือนกับที่นักการเมืองบางประเทศในตะวันตกบอกว่าการที่ไปถล่มซีเรียนั้นก็เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่จะมีต่อประเทศของพวกเขาอย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วนั่นแหละ
สรุป ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือการหา "มาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในโลกอินเตอร์เน็ท" ที่เหมาะสมให้กับประเทศของตนเอง ไม่ใช่การใช้ "Single Gateway" อย่างที่เป็นข่าวและพยายามทำให้คนประชาชนเข้าใจผิดจนไปสู่การกระทำที่ไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ยิ่งทำให้ประเทศไทยพังเร็วเท่าไรหรือเดินต่อไม่ได้เร็วเท่าไร กลุ่มคนพวกนี้ที่ติดเชื้อเหล่านี้ก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
ป.ล.จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง และรักษาผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ได้อย่างไร? ติดตามอ่านต่อในตอนที่ 2/2
The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
07/10/2558
เชิญแสดงความคิดเห็นได้ตามสบาย หรือจะตามไปกระทีบไลค์ หรือด่ากราดได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/fisont/posts/1729055167314616:0