พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
นี่แหละการที่เราได้อัตภาพร่างกายนี้มาพร้อมทั้งดวงจิตดวงนี้น่ะ
เราต้องบำเพ็ญความดี ความชั่วอย่าไปยึดถือเอามาไว้ในใจ
ไอ้ความเบียดเบียนกันหมู่นี้ล้วนแต่เป็นความชั่วทั้งนั้นแหละ
หมายความว่า เมื่อเขาเอาความชั่วมาให้ เราอย่าถือเอา
อย่าไปเก็บไว้ในใจ อย่าไปคิดแก้แค้นตอบแทน
เพราะว่าของชั่วเหมือนอย่างคนเอาของสกปรก
มีกลิ่นก็เหม็น มีสีก็ไม่งาม อย่างนี้เอามาให้นี่ใครจะเอาล่ะ
ไม่มีใครเอาหรอกของสกปรกโสมมแต่นี่มันไม่เป็นอย่างนั้นสิ
ไอ้คำด่าคำว่าเสียดสีหมู่นี้มันเป็นความชั่วทั้งนั้น
แต่ว่าคนก็ชอบยึดเอาเด้น่ะ คนชอบยึดเอา
ไม่เหมือนอย่างวัตถุสิ่งของภายนอกที่เน่าๆเหม็นๆ
เอายื่นให้ใครแล้วก็ไม่เอา อันนั้นเพราะมันเห็น
เป็นรูปร่างแล้วมันมีกลิ่นเหม็นโชยเข้ามาในจมูก
ไอ้ส่วนความชั่วที่เกี่ยวกับ "จิต กิริยากาย กิริยาวาจา"
มันเป็นแต่เพียงกิริยา นู้นเป็นแต่เพียงว่าเสียงดังเข้ามาเท่านั้นน่ะ
มันไม่มีรูปร่างอะไรแล้วคนชอบยึดถือเอานักหนานี่นะ คิดดูให้ดี
ถึงว่าไม่รุนแรงไม่ตอบโต้ใครแต่เมื่อได้ยินเสียงด่าเสียงทอแล้ว
ใจขุ่นขึ้นมาเลย เกิดไม่พอใจขึ้นมาแต่ว่ากิเลสไม่รุนแรงในหัวใจ
ก็เลยไม่แสดงอาการออกไปทางกายทางวาจา แต่มันขุ่นอยู่ในจิตใจ
ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ภาวนาละอารมณ์เหล่านี้
เมื่อหากว่าจิตมันขุ่นขึ้นมาอย่าไปถือว่ามันเป็นเรื่องดี
อย่าไปปล่อยให้มันขุ่นอยู่อย่างนั้นน่ะ ก็รีบเตือนตน
ให้กำหนดละอารมณ์เหล่านั้นเข้าไป เตือนตนว่านั่นๆเป็นเรื่องที่ไม่ดี
เป็นบาปอกุศล ไม่ควรยึดควรถือเอาไว้ ควรละอย่างนี้นะ
เมื่อสติปัญญามันสอนจิตเตือนจิตเข้าไปอย่างนี้
มันก็เห็นตามแล้วมันก็ละซี มันก็ไม่ยึดถือเอาไว้
ความโกรธก็ไม่เกิด ที่มันเกิดมาแล้วก็ระงับไป
ไม่ถึงกับว่าแสดงออกทางกายกับวาจา
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "บำเพ็ญอภัยทาน"
ความชั่วอย่าไปยึดไว้ในใจ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
นี่แหละการที่เราได้อัตภาพร่างกายนี้มาพร้อมทั้งดวงจิตดวงนี้น่ะ
เราต้องบำเพ็ญความดี ความชั่วอย่าไปยึดถือเอามาไว้ในใจ
ไอ้ความเบียดเบียนกันหมู่นี้ล้วนแต่เป็นความชั่วทั้งนั้นแหละ
หมายความว่า เมื่อเขาเอาความชั่วมาให้ เราอย่าถือเอา
อย่าไปเก็บไว้ในใจ อย่าไปคิดแก้แค้นตอบแทน
เพราะว่าของชั่วเหมือนอย่างคนเอาของสกปรก
มีกลิ่นก็เหม็น มีสีก็ไม่งาม อย่างนี้เอามาให้นี่ใครจะเอาล่ะ
ไม่มีใครเอาหรอกของสกปรกโสมมแต่นี่มันไม่เป็นอย่างนั้นสิ
ไอ้คำด่าคำว่าเสียดสีหมู่นี้มันเป็นความชั่วทั้งนั้น
แต่ว่าคนก็ชอบยึดเอาเด้น่ะ คนชอบยึดเอา
ไม่เหมือนอย่างวัตถุสิ่งของภายนอกที่เน่าๆเหม็นๆ
เอายื่นให้ใครแล้วก็ไม่เอา อันนั้นเพราะมันเห็น
เป็นรูปร่างแล้วมันมีกลิ่นเหม็นโชยเข้ามาในจมูก
ไอ้ส่วนความชั่วที่เกี่ยวกับ "จิต กิริยากาย กิริยาวาจา"
มันเป็นแต่เพียงกิริยา นู้นเป็นแต่เพียงว่าเสียงดังเข้ามาเท่านั้นน่ะ
มันไม่มีรูปร่างอะไรแล้วคนชอบยึดถือเอานักหนานี่นะ คิดดูให้ดี
ถึงว่าไม่รุนแรงไม่ตอบโต้ใครแต่เมื่อได้ยินเสียงด่าเสียงทอแล้ว
ใจขุ่นขึ้นมาเลย เกิดไม่พอใจขึ้นมาแต่ว่ากิเลสไม่รุนแรงในหัวใจ
ก็เลยไม่แสดงอาการออกไปทางกายทางวาจา แต่มันขุ่นอยู่ในจิตใจ
ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ภาวนาละอารมณ์เหล่านี้
เมื่อหากว่าจิตมันขุ่นขึ้นมาอย่าไปถือว่ามันเป็นเรื่องดี
อย่าไปปล่อยให้มันขุ่นอยู่อย่างนั้นน่ะ ก็รีบเตือนตน
ให้กำหนดละอารมณ์เหล่านั้นเข้าไป เตือนตนว่านั่นๆเป็นเรื่องที่ไม่ดี
เป็นบาปอกุศล ไม่ควรยึดควรถือเอาไว้ ควรละอย่างนี้นะ
เมื่อสติปัญญามันสอนจิตเตือนจิตเข้าไปอย่างนี้
มันก็เห็นตามแล้วมันก็ละซี มันก็ไม่ยึดถือเอาไว้
ความโกรธก็ไม่เกิด ที่มันเกิดมาแล้วก็ระงับไป
ไม่ถึงกับว่าแสดงออกทางกายกับวาจา
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "บำเพ็ญอภัยทาน"