[อัพเดตปี59! - ตอนนี้หมดนัดกับทั้งเเพทย์โภฯเเละจิตเเพทย์เเล้วค่ะ ไม่ต้องไปโรงบาลทุกเดือนเเล้วว]
[เเก้ไข - จัดหน้าใหม่เเล้วนะคะ ถ้าอ่านยากรบกวนบอกนะ]
สวัสดีค่ะ เเนะนำตัวก่อนนะ ชื่อเมษา ตอนนี้อายุ 18 จบ ม.6 เเล้วค่ะ
กระทู้นี้ตั้งมาเพื่อเล่าถึงชีวิตของเราในช่วงที่เป็นanorexiaค่ะ
anorexia nervosa หรือที่รู้จักกันในภาษาไทยคือ โรคคลั่งผอม อธิบายสั้นๆคือ ยิ่งผอมก็ยิ่งกลัวอ้วน ซึ่งโรคพี่น้องของโรคนี้ได้เเก่ bulimia เเละ orthorexia
มันจะต่างกันตรงที่ anorexia คือการเลือกกิน เลี่ยงกิน เเต่โหมออกกำลังอย่างบ้าคลั่ง
ส่วน bulimia คือการกินเเบบชูชก(ศัพท์ฝรั่งเรียกว่าbinge) เเต่ก็ไปเอาออกโดยการทำให้ตัวเองอ้วกทีหลัง
ในขณะที่ orthorexia คือการเลือกกินเต่อาหารที่(คิดว่า)healthy จะว่าคลีนก็ได้ค่ะ
สามพี่น้องนี้มาจากตระกูล eating disorder(เรียกย่อว่า ED) ซึ่งเราเป็นอย่างเเรกคือ anorexia ค่ะ
เราเป็นคนอธิบายหรือเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่ง โดยเฉพาะการเล่าผ่านตัวหนังสือนี่ ยากค่ะ55555 ยังไงก็ขอให้อ่านให้จบนะคะ เราอยากให้ทุกคนได้รู้ถึงความเลวร้ายของโรคนี้ผ่านจากประสบการณ์โดยตรงของเรา
-----
ก่อนอื่นต้องบอกว่า เรา"ไม่เคยอ้วน"ค่ะ เป็นคนหุ่นสมส่วนมาตั้งเเต่เด็ก ค่าBMI ปกติตลอด เคยน้ำหนักตัวมากสุดที่ 51 โลค่ะ ตอนนั้นสูงประมาณ 162-163 เเต่ตามพันธุกรรมเราเป็นคนโครงร่างใหญ่ค่ะ กระดูกใหญ่มาก เเล้วพอหลังจากเริ่มออกกำลังกายเเละคุมอาหารจนเป็นโรคนี้ น้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือต่ำสุดที่ 37 โล รอบเอวจาก26-27 ลงมาเหลือ 21 กับส่วนสูงคงที่ 163เซนค่ะ
ส่วนเรื่องที่ว่าเรามาเป็นโรคนี้ได้ไง ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราเป็นเด็กที่ไม่เคยชอบการออกกำลังกาย เเละไม่ค่อยกินผัก มันเกิดจากเรา"อยากมีกล้ามหน้าท้อง"ค่ะ ตอนเเรกเลย เราเริ่มเล่น abs ทุกคืนก่อนนอนค่ะ ตอนนั้นอยู่ในช่วงซัมเมอร์ม.4 ก่อนขึ้นม.5 ช่วงนั้นยังกินเหมือนเดิมทุกอย่างค่ะ เมื่อก่อนกินยังไงก็กินอย่างงั้น
เราทำอย่างงี้ไปประมาณเดือนกว่าได้ค่ะ สังเกตว่าหน้าท้องยุบ เเถมลายหน้าท้องก็เริ่มโผล่ ดีใจมาก ก็เลยทำต่อไปเกือบสามเดือน โผล่ขึ้นมาสองก้อน ไม่ลึกเเต่ก็ไม่ตื้นมากค่ะ เล่นต่อไปจนเกือบจะได้สี่ก้อน(สองก้อนหลังกำลังมา บางๆเเต่เห็นชัดค่ะ) พอตอนนั้นเราก็ไปหาข้อมูลจากเน็ตมาเพิ่มว่า อยากให้ลายกล้ามเนื้อชัดขึ้น ก็ต้องshred fat เราเลยเริ่ม t25 ทุกคืน ย้ำว่าทุกคืนค่ะ(ช่วงนั้นเป็นช่วงที่t25ยังไม่เข้ามาเกลื่อนในไทย)
(ต่อนะคะ) หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเปิดเทอมม.5พอดี ตอนนี้เเหละค่ะ ที่เริ่มคุมอาหาร ซึ่งก็กินทุกมื้อเเล้วก็ไม่ได้คุมเเคลอรี่เลยนะคะ เเต่จะเลี่ยงคาร์บ เลี่ยงเเฟต กินอะไรก็จะเน้นเเต่โปรตีน
ข้าวที่โรงเรียนก็ไม่กิน ห่อข้าวจากบ้านไปกินเองค่ะ น้ำหวานก็ไม่กินเลย ขนมก็ลดจนเเทบเรียกได้ว่าไม่กิน กลับบ้านมาหลังกินข้าวเย็นเสร็จก็ขึ้นห้องไปเล่น t25 ทุกคืน เเล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกประมาณตี 4 เพื่อจะตื่นขึ้นมาเล่นหน้าท้องก่อนอาบน้ำเเต่งตัวไปโรงเรียนค่ะ
ใช้ชีวิตเเบบนี้ไปเรื่อยๆ ผอมลงเรื่อยๆ ไม่ได้สังเกตว่าตัวเองผอมลงเยอะไปเปล่า เพราะทุกเช้าตอนเเต่งตัวจะดูเเค่หน้าท้องตัวเองค่ะ ว่ามีลายมั๊ย พุงโผล่มั๊ย
อีกอย่างที่เปลี่ยนไปเยอะ คือความสัมพันธ์กับเพื่อนที่โรงเรียนค่ะ พอไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหารกับเพื่อน ก็เลยไปไหนมาไหนด้วยกันน้อยลง บวกกับตั้งเเต่ช่วงนั้นเริ่มจะจริงจังกับการเรียนมากขึ้น วันๆก็อ่านหนังสือทำการบ้านไม่คุยกับใคร เเล้วก็ชอบทำหน้าตาย หน้าบึ้ง เลยยิ่งไม่มีใครกล้าคุยด้วย(ปกติเป็นคนพูดจากวนโอ๊ยอยู่เเล้วด้วย ยิ่งเวลาพูดเเล้วทำหน้าตายนี่คนยิ่งเข้าใจว่าเราอารมณ์ไม่ดีเลยล่ะค่ะ) ขนาดเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งเเต่ม.2 เเถมยังนั่งข้างๆกันทุกวัน บางวันยังไม่ได้คุยกันซักคำเลยค่ะ
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับครอบครัว ทะเลาะกับเเม่เรื่องการกินบ่อยมากค่ะ มีครั้งนึงที่ร้องไห้ให้กับเรื่องนี้เป็นครั้งเเรก ตอนนั้นก็บอกกับพ่อว่าอยากจะกลับไปกินได้เหมือนเดิม เหมือนเมื่อก่อน ก็คิดว่าจะพยายามที่สุดนะคะ สุดท้ายเราก็ทำไม่ได้
อย่างมากก็กินขนมบ้าง กินมากขึ้น เเต่ที่มากตามคือ การออกกำลังค่ะ
พอดีกับตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมของเทอม 1 ค่ะ เลยมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น สำหรับชีวิตของเราในช่วงปิดเทอมเทอม 1 นี้ คือ ตอนเช้าออกไปเรียนพิเศษ กลับบ้านมาตอนสายๆเกือบเที่ยงก็ขึ้นห้องไปออกกำลัง(จากที่เมื่อก่อนเคยเเค่เล่นหน้าท้องกับ t25 ก็เปลี่ยนมาเล่น weight training, hiit, liit, pilates, tabata เเล้วก็ kick boxing cardio บ้าง) ออกกำลังเสร็จลงมากินอะไรนิดหน่อย ไม่ค่อยกินข้าว เสร็จเเล้วก็ออกไปเรียนต่ออีกที่นึง ออกไปนี่ก็ไม่ค่อยกินอะไรด้วยนะคะ อย่างมากก็นมจืด ซึ่งต้องกินทุกวันอยู่เเล้ว บางทีก็พวก jerky ค่ะ เพราะเน้นโปรตีน นานๆทีถึงจะพกขนมพวกcarbs กับ fatไป กลับบ้านมา หลังข้าวเย็นก็ขึ้นไป t25 ต่อค่ะ
นี่t25 ทุกคืนจริงๆนะไม่โม้•×• (พอเล่าให้ใครฟังว่าt25 ทุกคืนมีเเต่คนทำตาโตเเล้วบอกว่า ทำไปได้ไง5555555 คือเวลาทำก็เหนื่อยนะคะ ปวดเข่าด้วย เเต่พอทำเสร็จเเล้วเรารู้สึกเฟรชมาก อะดรีนาลีนมันหลั่ง55555555 ละพอดีเราเป็นคนที่เหงื่อออกยากมากกก(ก.ไก่58ล้านตัว) ช่วงสัปดาห์เเรกๆที่เล่น t25 นี่คือเล่นเสร็จเเล้วตัวยังเเห้งอะ ชื้นหน่อยเเต่ไม่เห็นเหงื่อเลยซักเม็ด-__- จำได้ว่าครั้งเเรกที่เห็นเหงื่อเยอะเเยะนี่ตื่นเต้นมากค่ะ555555)
เข้าเรื่องต่อ เราออกกำลังเเบบนี้ทุกวันค่ะ ทุกวันจริงๆ ไม่เคยพักเลย ก็รู้นะคะว่าออกกำลังต้องพัก เเต่วันไหนตั้งใจจะพัก พอถึงเวลาจริงก็อดไม่ได้ คือมันเสพติดการออกกำลังไปเเล้วอะ
เป็นเเบบนี้ไปจนเปิดเทอม2 ค่ะ ยิ่งมีโลกส่วนตัวสูงมากขึ้นกว่าเดิมอีก คือตอนปิดเทอมที่ผ่านไปนี่เราไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนไหนเลยค่ะ เเม้เเต่เพื่อนสนิทในกลุ่ม เท่ากับว่าเรากีดกันทุกคนออกจากตัวเอง อยู่เเต่กับความเครียดทั้งเรื่องเรียนเรื่องกินเเละเรื่องออกกำลัง
ในตอนนั้นเองค่ะ ที่ได้อ่านเจอบทความเกี่ยวกับโรคอะนอเรคเซีย อ่านครั้งเเรกเเล้วเรารู้ตัวเลยนะคะ ว่าเราเป็นโรคนี้เเน่ๆ เเต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจรักษาอย่างจริงจังหรอกค่ะ
กว่าเราจะเริ่มรักษาตัวเอง ก็ปาเข้าไปเดือนสองเดือน ในตอนนั้น เเม่สั่งห้ามไม่ให้เราออกกำลังกาย เราเลยลองหันมาคุมเเคลอรี่บ้าง เพราะกลัวไขมันพุ่ง วันนึงประมาณ1800-1900ค่ะ นับเเบบประมาณเองด้วยนะ นับเกินไว้ก่อน กลางวันจะไม่ห่อข้าวไปเเล้วค่ะ เเต่จะพกขนมหรือของกินประเภทsnack 1 ห่อกับนมอีก 1 กล่องไปจากบ้าน พักเที่ยงทั้งชั่วโมงกินเเค่นั้นจริงๆค่ะ
ช่วงนั้นก็ทะเลาะกับพ่อเเม่บ่อยมากขึ้น เเทบไม่เว้นวันเลยค่ะ
เล่ามาเยอะเเล้วเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตในช่วงนั้น ทีนี้เราจะมาสาธยายให้ฟังนะคะ ว่าร่างกายของเรามันเปลี่ยนเเปลงไปยังไงบ้าง
- เริ่มจากประจำเดือนไม่มาติดต่อกันหลายเดือนค่ะ(รวมทั้งสิ้นก็นับได้เป็นปีนึง) เพราะไขมันเราหายไปเยอะมาก ทำให้ไม่มีไขมันไปสร้างฮอร์โมน
- ผมร่วง ผมร่วงเยอะมากค่ะ จากที่เมื่อก่อนเป็นคนผมหนาเเล้วก็ดูสุขภาพดีมากๆ ใครเห็นก็อิจฉา กลายมาเป็นผมเเห้งบางเเถมยังหยิกงออีก
- เลือดจาง เมื่อก่อนเป็นคนที่เเก้มเเดงตลอดเวลาค่ะ เเน่นอนว่ามีเเต่เพื่อนๆอยากได้เเก้มเรา5555555555 เเต่พอเลือดจางเเบบนี้ ตัวนี่ซีดเหลืองเป็นผีตากพัดลมเลยค่ะ เเก้มฝาดเลือดหายไปโดยไม่ทันสังเกต
- หนาวง่าย เพราะไขมันในร่างกายน้อย ยิ่งช่วงนั้นเป็นหน้าหนาวด้วย ขนาดช่วงปลายเดือนมกรา-กุมภา ที่เริ่มหายหนาวเเล้ว เพื่อนๆก็เลิกใส่เสื้อกันหนาวมาโรงเรียนเเล้ว เรายังนั่งสั่นงึกๆอยู่ทุกวันเลยค่ะ(ห้องเรียนเป็นห้องพัดลม)
- ผิวเเห้งมาก เป็นคนผิวเเห้งอยู่เเล้วด้วย หน้าหนาวนี่ผิวลอกเป็นเเผ่นๆเลยค่ะ
- เครียดจัด เครียดมาก ร้องไห้คนเดียวเเทบทุกวัน ไม่คุยกับเพื่อนเลย วันไหนเราหันไปพูดกับเพื่อนก่อนนี่เพื่อนจะทำหน้าตาตื่นเต้นมาก มีเเต่เพื่อนบอกว่าตอนนั้นเราน่ากลัวมาก ไม่มีใครกล้าคุยด้วย
- ร่างกายขาดวิตามินเเละเเคลเซียม กระดูกพรุนสิคะ
- ร่างกายหยุดโต ส่วนสูงเราไม่เพิ่มขึ้นเลยค่ะ ทั้งๆที่ในอายุเท่านี้ น่าจะเพิ่มขึ้นซักเซนต์สองเซนต์ในปีนึง เเต่เพราะขาดสารอาหาร ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอที่จะไปพัฒนาตัวเอง
- ผอมจนกระดูกโผล่ กระดูกทิ่มเนื้อ เป็นเเผลกดทับง่าย นั่งเก้าอี้ที่โรงเรียนไม่ได้ ต้องเอาเบาะมารองก้น เล่นฮูลาฮูปหน่อยเป็นแผลหนองที่หลังเลยค่ะ ทุกวันนี้เเผลเป็นยังอยู่เลย
- ตัวเย็น หัวใจเต้นช้าลง ความดันต่ำ(มากกกก) มีโอกาสที่จะหลับไปโดยไม่ตื่นอีกเลย
- การขาดสารอาหาร เเน่นอนว่าต้องมีผลกระทบกับสมองค่ะ
- ถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้ อาจจะต้องไปนอนโรงพยาบาลเพราะปอดทะลุหรือถุงลมโป่งพองก็ได้ค่ะ
- เลวร้ายกว่าปอดทะลุเเละถุงลมโป่งพองคือ "ตาย"ค่ะ หลับไปเลย ไม่ตื่นอีกเลย
นอกจากนี้ ตอนนั้นหมอที่รู้จักข้างบ้านได้เเนะนำให้ไปสเเกน MRI เพื่อหาสาเหตุที่เมนส์ไม่มาซักทีค่ะ(ระหว่างนั้นหมอก็ให้ยาคุม(ยาคุมจริงๆนั่นเเหละ)มากินอยู่สามเดือนค่ะ กินสามเดือนเมนส์ก็มาเเค่สามเดือน)
ผลของการตรวจ MRI ออกมาปรากฏว่า พบเนื้องอกชิ้นเล็กๆอยู่ในไฮโปธาลามัส(ต่อมใต้สมอง)ของเราค่ะ ! (เเต่หมอให้เเม่บอกเราเเค่ว่าเราเป็นโรคขาดสารอาหารค่ะ คงเพราะไม่อยากให้เราเครียด)
หลังจากนั้นก็ได้ตัดสินใจไปพบจิตเเพทย์(เราเป็นคนบอกกับเเม่เองค่ะ ก่อนหน้านั้นเเม่เคยพูดเเล้วว่าให้ไปหาจิตเเพทย์เเต่เราคิดว่าเราโอเค จนวันนึงมันไม่ไหวจริงๆ เราร้องไห้ทุกวัน ทั้งครูเเละเพื่อนก็เป็นห่วง มีครูท่านนึงบอกให้เลือกว่าจะไปพบจิตเเพทย์หรือไปนั่งฟังธรรม เเน่นอนว่าเราเลือกอย่างเเรก
เเล้วการเริ่มต้นการรักษาตัวเองของเราก็เริ่มค่ะ
เราไปพบจิตเเพทย์ทุกๆสองสัปดาห์ เเล้วก็ยังพบกับเเพทย์เกี่ยวกับโภชนาการ เจาะเลือดหลายรอบมาก ตั้งเเต่ไปหาหมอมาจนวันนี้นี่ก็ประมาณปีนึงได้เเล้ว รวมๆได้ไม่ต่ำกว่าสิบเข็มค่ะ ดีไม่ดีจะเกินยี่สิบ
ตอนนั้นเราต้องกินensure(ผลิตภัณฑ์ทดเเทนอาหารสำหรับผู้ป่วยที่ทานอาหารไม่ได้ หรือเบื่ออาหาร) กินทุกวันวันละ 16ช้อน(ตอนหลังหมอก็ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็น30กว่าช้อนค่ะ)
ดูผอมเเบบนี้ บางคนอาจคิดว่าดี ภายนอกดูผอมดีก็จริง เเต่ภายในไม่ดีเลยนะคะ
ผอมเเบบเป็นโรค ไม่ได้ดูดีเลยนะ
รักษากับหมอที่โรงพยาบาลไปได้ซักพัก ก็มีคนรู้จักเเนะนำให้ไปพบเเพทย์เเผนจีนที่พัทยาค่ะ เราไปฝังเข็มอยู่ทุกๆสองอาทิตย์ หมอก็ให้ยาน้ำที่ต้มเองจากสมุนไพรจีนมาให้ผสมน้ำดื่มทุกวัน เรื่องรสชาตินี่สุดๆค่ะ กินยาพวกนี้อยู่หลายเดือน พอไปกินกาเเฟนี่รู้สึกความขมของกาเเฟมันกระจอกมาก55555555 เราฝังเข็มมาตั้งเเต่หัวยันนิ้วเท้าเเล้วค่ะ สำหรับเรามันไม่เจ็บเลยนะ จะมีเเต่จั๊กจี้บ้าง เเล้วก็ปวดบ้างเวลาหมอเขาหมุนเข็มค่ะ
เราทำหน้านิ่งซะจนหมอเสียเซลฟ์เลย นึกว่าจิ้มไปไม่โดนจุด55555555
หมอบอกว่า เคยเเต่ฝังเข็มลดความอ้วน ไม่เคยฝังให้อ้วน เราเป็นเคสเเรก5555555
(มีต่อที่คห.3-4ค่ะ👇
my real-life experience of anorexia nervosa - ประสบการณ์จริงจากการเป็นหนึ่งในanorexics
[เเก้ไข - จัดหน้าใหม่เเล้วนะคะ ถ้าอ่านยากรบกวนบอกนะ]
สวัสดีค่ะ เเนะนำตัวก่อนนะ ชื่อเมษา ตอนนี้อายุ 18 จบ ม.6 เเล้วค่ะ
กระทู้นี้ตั้งมาเพื่อเล่าถึงชีวิตของเราในช่วงที่เป็นanorexiaค่ะ
anorexia nervosa หรือที่รู้จักกันในภาษาไทยคือ โรคคลั่งผอม อธิบายสั้นๆคือ ยิ่งผอมก็ยิ่งกลัวอ้วน ซึ่งโรคพี่น้องของโรคนี้ได้เเก่ bulimia เเละ orthorexia
มันจะต่างกันตรงที่ anorexia คือการเลือกกิน เลี่ยงกิน เเต่โหมออกกำลังอย่างบ้าคลั่ง
ส่วน bulimia คือการกินเเบบชูชก(ศัพท์ฝรั่งเรียกว่าbinge) เเต่ก็ไปเอาออกโดยการทำให้ตัวเองอ้วกทีหลัง
ในขณะที่ orthorexia คือการเลือกกินเต่อาหารที่(คิดว่า)healthy จะว่าคลีนก็ได้ค่ะ
สามพี่น้องนี้มาจากตระกูล eating disorder(เรียกย่อว่า ED) ซึ่งเราเป็นอย่างเเรกคือ anorexia ค่ะ
เราเป็นคนอธิบายหรือเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่ง โดยเฉพาะการเล่าผ่านตัวหนังสือนี่ ยากค่ะ55555 ยังไงก็ขอให้อ่านให้จบนะคะ เราอยากให้ทุกคนได้รู้ถึงความเลวร้ายของโรคนี้ผ่านจากประสบการณ์โดยตรงของเรา
-----
ก่อนอื่นต้องบอกว่า เรา"ไม่เคยอ้วน"ค่ะ เป็นคนหุ่นสมส่วนมาตั้งเเต่เด็ก ค่าBMI ปกติตลอด เคยน้ำหนักตัวมากสุดที่ 51 โลค่ะ ตอนนั้นสูงประมาณ 162-163 เเต่ตามพันธุกรรมเราเป็นคนโครงร่างใหญ่ค่ะ กระดูกใหญ่มาก เเล้วพอหลังจากเริ่มออกกำลังกายเเละคุมอาหารจนเป็นโรคนี้ น้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือต่ำสุดที่ 37 โล รอบเอวจาก26-27 ลงมาเหลือ 21 กับส่วนสูงคงที่ 163เซนค่ะ
ส่วนเรื่องที่ว่าเรามาเป็นโรคนี้ได้ไง ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราเป็นเด็กที่ไม่เคยชอบการออกกำลังกาย เเละไม่ค่อยกินผัก มันเกิดจากเรา"อยากมีกล้ามหน้าท้อง"ค่ะ ตอนเเรกเลย เราเริ่มเล่น abs ทุกคืนก่อนนอนค่ะ ตอนนั้นอยู่ในช่วงซัมเมอร์ม.4 ก่อนขึ้นม.5 ช่วงนั้นยังกินเหมือนเดิมทุกอย่างค่ะ เมื่อก่อนกินยังไงก็กินอย่างงั้น
เราทำอย่างงี้ไปประมาณเดือนกว่าได้ค่ะ สังเกตว่าหน้าท้องยุบ เเถมลายหน้าท้องก็เริ่มโผล่ ดีใจมาก ก็เลยทำต่อไปเกือบสามเดือน โผล่ขึ้นมาสองก้อน ไม่ลึกเเต่ก็ไม่ตื้นมากค่ะ เล่นต่อไปจนเกือบจะได้สี่ก้อน(สองก้อนหลังกำลังมา บางๆเเต่เห็นชัดค่ะ) พอตอนนั้นเราก็ไปหาข้อมูลจากเน็ตมาเพิ่มว่า อยากให้ลายกล้ามเนื้อชัดขึ้น ก็ต้องshred fat เราเลยเริ่ม t25 ทุกคืน ย้ำว่าทุกคืนค่ะ(ช่วงนั้นเป็นช่วงที่t25ยังไม่เข้ามาเกลื่อนในไทย)
(ต่อนะคะ) หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเปิดเทอมม.5พอดี ตอนนี้เเหละค่ะ ที่เริ่มคุมอาหาร ซึ่งก็กินทุกมื้อเเล้วก็ไม่ได้คุมเเคลอรี่เลยนะคะ เเต่จะเลี่ยงคาร์บ เลี่ยงเเฟต กินอะไรก็จะเน้นเเต่โปรตีน
ข้าวที่โรงเรียนก็ไม่กิน ห่อข้าวจากบ้านไปกินเองค่ะ น้ำหวานก็ไม่กินเลย ขนมก็ลดจนเเทบเรียกได้ว่าไม่กิน กลับบ้านมาหลังกินข้าวเย็นเสร็จก็ขึ้นห้องไปเล่น t25 ทุกคืน เเล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกประมาณตี 4 เพื่อจะตื่นขึ้นมาเล่นหน้าท้องก่อนอาบน้ำเเต่งตัวไปโรงเรียนค่ะ
ใช้ชีวิตเเบบนี้ไปเรื่อยๆ ผอมลงเรื่อยๆ ไม่ได้สังเกตว่าตัวเองผอมลงเยอะไปเปล่า เพราะทุกเช้าตอนเเต่งตัวจะดูเเค่หน้าท้องตัวเองค่ะ ว่ามีลายมั๊ย พุงโผล่มั๊ย
อีกอย่างที่เปลี่ยนไปเยอะ คือความสัมพันธ์กับเพื่อนที่โรงเรียนค่ะ พอไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหารกับเพื่อน ก็เลยไปไหนมาไหนด้วยกันน้อยลง บวกกับตั้งเเต่ช่วงนั้นเริ่มจะจริงจังกับการเรียนมากขึ้น วันๆก็อ่านหนังสือทำการบ้านไม่คุยกับใคร เเล้วก็ชอบทำหน้าตาย หน้าบึ้ง เลยยิ่งไม่มีใครกล้าคุยด้วย(ปกติเป็นคนพูดจากวนโอ๊ยอยู่เเล้วด้วย ยิ่งเวลาพูดเเล้วทำหน้าตายนี่คนยิ่งเข้าใจว่าเราอารมณ์ไม่ดีเลยล่ะค่ะ) ขนาดเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งเเต่ม.2 เเถมยังนั่งข้างๆกันทุกวัน บางวันยังไม่ได้คุยกันซักคำเลยค่ะ
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับครอบครัว ทะเลาะกับเเม่เรื่องการกินบ่อยมากค่ะ มีครั้งนึงที่ร้องไห้ให้กับเรื่องนี้เป็นครั้งเเรก ตอนนั้นก็บอกกับพ่อว่าอยากจะกลับไปกินได้เหมือนเดิม เหมือนเมื่อก่อน ก็คิดว่าจะพยายามที่สุดนะคะ สุดท้ายเราก็ทำไม่ได้
อย่างมากก็กินขนมบ้าง กินมากขึ้น เเต่ที่มากตามคือ การออกกำลังค่ะ
พอดีกับตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมของเทอม 1 ค่ะ เลยมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น สำหรับชีวิตของเราในช่วงปิดเทอมเทอม 1 นี้ คือ ตอนเช้าออกไปเรียนพิเศษ กลับบ้านมาตอนสายๆเกือบเที่ยงก็ขึ้นห้องไปออกกำลัง(จากที่เมื่อก่อนเคยเเค่เล่นหน้าท้องกับ t25 ก็เปลี่ยนมาเล่น weight training, hiit, liit, pilates, tabata เเล้วก็ kick boxing cardio บ้าง) ออกกำลังเสร็จลงมากินอะไรนิดหน่อย ไม่ค่อยกินข้าว เสร็จเเล้วก็ออกไปเรียนต่ออีกที่นึง ออกไปนี่ก็ไม่ค่อยกินอะไรด้วยนะคะ อย่างมากก็นมจืด ซึ่งต้องกินทุกวันอยู่เเล้ว บางทีก็พวก jerky ค่ะ เพราะเน้นโปรตีน นานๆทีถึงจะพกขนมพวกcarbs กับ fatไป กลับบ้านมา หลังข้าวเย็นก็ขึ้นไป t25 ต่อค่ะ
นี่t25 ทุกคืนจริงๆนะไม่โม้•×• (พอเล่าให้ใครฟังว่าt25 ทุกคืนมีเเต่คนทำตาโตเเล้วบอกว่า ทำไปได้ไง5555555 คือเวลาทำก็เหนื่อยนะคะ ปวดเข่าด้วย เเต่พอทำเสร็จเเล้วเรารู้สึกเฟรชมาก อะดรีนาลีนมันหลั่ง55555555 ละพอดีเราเป็นคนที่เหงื่อออกยากมากกก(ก.ไก่58ล้านตัว) ช่วงสัปดาห์เเรกๆที่เล่น t25 นี่คือเล่นเสร็จเเล้วตัวยังเเห้งอะ ชื้นหน่อยเเต่ไม่เห็นเหงื่อเลยซักเม็ด-__- จำได้ว่าครั้งเเรกที่เห็นเหงื่อเยอะเเยะนี่ตื่นเต้นมากค่ะ555555)
เข้าเรื่องต่อ เราออกกำลังเเบบนี้ทุกวันค่ะ ทุกวันจริงๆ ไม่เคยพักเลย ก็รู้นะคะว่าออกกำลังต้องพัก เเต่วันไหนตั้งใจจะพัก พอถึงเวลาจริงก็อดไม่ได้ คือมันเสพติดการออกกำลังไปเเล้วอะ
เป็นเเบบนี้ไปจนเปิดเทอม2 ค่ะ ยิ่งมีโลกส่วนตัวสูงมากขึ้นกว่าเดิมอีก คือตอนปิดเทอมที่ผ่านไปนี่เราไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนไหนเลยค่ะ เเม้เเต่เพื่อนสนิทในกลุ่ม เท่ากับว่าเรากีดกันทุกคนออกจากตัวเอง อยู่เเต่กับความเครียดทั้งเรื่องเรียนเรื่องกินเเละเรื่องออกกำลัง
ในตอนนั้นเองค่ะ ที่ได้อ่านเจอบทความเกี่ยวกับโรคอะนอเรคเซีย อ่านครั้งเเรกเเล้วเรารู้ตัวเลยนะคะ ว่าเราเป็นโรคนี้เเน่ๆ เเต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจรักษาอย่างจริงจังหรอกค่ะ
กว่าเราจะเริ่มรักษาตัวเอง ก็ปาเข้าไปเดือนสองเดือน ในตอนนั้น เเม่สั่งห้ามไม่ให้เราออกกำลังกาย เราเลยลองหันมาคุมเเคลอรี่บ้าง เพราะกลัวไขมันพุ่ง วันนึงประมาณ1800-1900ค่ะ นับเเบบประมาณเองด้วยนะ นับเกินไว้ก่อน กลางวันจะไม่ห่อข้าวไปเเล้วค่ะ เเต่จะพกขนมหรือของกินประเภทsnack 1 ห่อกับนมอีก 1 กล่องไปจากบ้าน พักเที่ยงทั้งชั่วโมงกินเเค่นั้นจริงๆค่ะ
ช่วงนั้นก็ทะเลาะกับพ่อเเม่บ่อยมากขึ้น เเทบไม่เว้นวันเลยค่ะ
เล่ามาเยอะเเล้วเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตในช่วงนั้น ทีนี้เราจะมาสาธยายให้ฟังนะคะ ว่าร่างกายของเรามันเปลี่ยนเเปลงไปยังไงบ้าง
- เริ่มจากประจำเดือนไม่มาติดต่อกันหลายเดือนค่ะ(รวมทั้งสิ้นก็นับได้เป็นปีนึง) เพราะไขมันเราหายไปเยอะมาก ทำให้ไม่มีไขมันไปสร้างฮอร์โมน
- ผมร่วง ผมร่วงเยอะมากค่ะ จากที่เมื่อก่อนเป็นคนผมหนาเเล้วก็ดูสุขภาพดีมากๆ ใครเห็นก็อิจฉา กลายมาเป็นผมเเห้งบางเเถมยังหยิกงออีก
- เลือดจาง เมื่อก่อนเป็นคนที่เเก้มเเดงตลอดเวลาค่ะ เเน่นอนว่ามีเเต่เพื่อนๆอยากได้เเก้มเรา5555555555 เเต่พอเลือดจางเเบบนี้ ตัวนี่ซีดเหลืองเป็นผีตากพัดลมเลยค่ะ เเก้มฝาดเลือดหายไปโดยไม่ทันสังเกต
- หนาวง่าย เพราะไขมันในร่างกายน้อย ยิ่งช่วงนั้นเป็นหน้าหนาวด้วย ขนาดช่วงปลายเดือนมกรา-กุมภา ที่เริ่มหายหนาวเเล้ว เพื่อนๆก็เลิกใส่เสื้อกันหนาวมาโรงเรียนเเล้ว เรายังนั่งสั่นงึกๆอยู่ทุกวันเลยค่ะ(ห้องเรียนเป็นห้องพัดลม)
- ผิวเเห้งมาก เป็นคนผิวเเห้งอยู่เเล้วด้วย หน้าหนาวนี่ผิวลอกเป็นเเผ่นๆเลยค่ะ
- เครียดจัด เครียดมาก ร้องไห้คนเดียวเเทบทุกวัน ไม่คุยกับเพื่อนเลย วันไหนเราหันไปพูดกับเพื่อนก่อนนี่เพื่อนจะทำหน้าตาตื่นเต้นมาก มีเเต่เพื่อนบอกว่าตอนนั้นเราน่ากลัวมาก ไม่มีใครกล้าคุยด้วย
- ร่างกายขาดวิตามินเเละเเคลเซียม กระดูกพรุนสิคะ
- ร่างกายหยุดโต ส่วนสูงเราไม่เพิ่มขึ้นเลยค่ะ ทั้งๆที่ในอายุเท่านี้ น่าจะเพิ่มขึ้นซักเซนต์สองเซนต์ในปีนึง เเต่เพราะขาดสารอาหาร ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอที่จะไปพัฒนาตัวเอง
- ผอมจนกระดูกโผล่ กระดูกทิ่มเนื้อ เป็นเเผลกดทับง่าย นั่งเก้าอี้ที่โรงเรียนไม่ได้ ต้องเอาเบาะมารองก้น เล่นฮูลาฮูปหน่อยเป็นแผลหนองที่หลังเลยค่ะ ทุกวันนี้เเผลเป็นยังอยู่เลย
- ตัวเย็น หัวใจเต้นช้าลง ความดันต่ำ(มากกกก) มีโอกาสที่จะหลับไปโดยไม่ตื่นอีกเลย
- การขาดสารอาหาร เเน่นอนว่าต้องมีผลกระทบกับสมองค่ะ
- ถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้ อาจจะต้องไปนอนโรงพยาบาลเพราะปอดทะลุหรือถุงลมโป่งพองก็ได้ค่ะ
- เลวร้ายกว่าปอดทะลุเเละถุงลมโป่งพองคือ "ตาย"ค่ะ หลับไปเลย ไม่ตื่นอีกเลย
นอกจากนี้ ตอนนั้นหมอที่รู้จักข้างบ้านได้เเนะนำให้ไปสเเกน MRI เพื่อหาสาเหตุที่เมนส์ไม่มาซักทีค่ะ(ระหว่างนั้นหมอก็ให้ยาคุม(ยาคุมจริงๆนั่นเเหละ)มากินอยู่สามเดือนค่ะ กินสามเดือนเมนส์ก็มาเเค่สามเดือน)
ผลของการตรวจ MRI ออกมาปรากฏว่า พบเนื้องอกชิ้นเล็กๆอยู่ในไฮโปธาลามัส(ต่อมใต้สมอง)ของเราค่ะ ! (เเต่หมอให้เเม่บอกเราเเค่ว่าเราเป็นโรคขาดสารอาหารค่ะ คงเพราะไม่อยากให้เราเครียด)
หลังจากนั้นก็ได้ตัดสินใจไปพบจิตเเพทย์(เราเป็นคนบอกกับเเม่เองค่ะ ก่อนหน้านั้นเเม่เคยพูดเเล้วว่าให้ไปหาจิตเเพทย์เเต่เราคิดว่าเราโอเค จนวันนึงมันไม่ไหวจริงๆ เราร้องไห้ทุกวัน ทั้งครูเเละเพื่อนก็เป็นห่วง มีครูท่านนึงบอกให้เลือกว่าจะไปพบจิตเเพทย์หรือไปนั่งฟังธรรม เเน่นอนว่าเราเลือกอย่างเเรก
เเล้วการเริ่มต้นการรักษาตัวเองของเราก็เริ่มค่ะ
เราไปพบจิตเเพทย์ทุกๆสองสัปดาห์ เเล้วก็ยังพบกับเเพทย์เกี่ยวกับโภชนาการ เจาะเลือดหลายรอบมาก ตั้งเเต่ไปหาหมอมาจนวันนี้นี่ก็ประมาณปีนึงได้เเล้ว รวมๆได้ไม่ต่ำกว่าสิบเข็มค่ะ ดีไม่ดีจะเกินยี่สิบ
ตอนนั้นเราต้องกินensure(ผลิตภัณฑ์ทดเเทนอาหารสำหรับผู้ป่วยที่ทานอาหารไม่ได้ หรือเบื่ออาหาร) กินทุกวันวันละ 16ช้อน(ตอนหลังหมอก็ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็น30กว่าช้อนค่ะ)
ดูผอมเเบบนี้ บางคนอาจคิดว่าดี ภายนอกดูผอมดีก็จริง เเต่ภายในไม่ดีเลยนะคะ
ผอมเเบบเป็นโรค ไม่ได้ดูดีเลยนะ
รักษากับหมอที่โรงพยาบาลไปได้ซักพัก ก็มีคนรู้จักเเนะนำให้ไปพบเเพทย์เเผนจีนที่พัทยาค่ะ เราไปฝังเข็มอยู่ทุกๆสองอาทิตย์ หมอก็ให้ยาน้ำที่ต้มเองจากสมุนไพรจีนมาให้ผสมน้ำดื่มทุกวัน เรื่องรสชาตินี่สุดๆค่ะ กินยาพวกนี้อยู่หลายเดือน พอไปกินกาเเฟนี่รู้สึกความขมของกาเเฟมันกระจอกมาก55555555 เราฝังเข็มมาตั้งเเต่หัวยันนิ้วเท้าเเล้วค่ะ สำหรับเรามันไม่เจ็บเลยนะ จะมีเเต่จั๊กจี้บ้าง เเล้วก็ปวดบ้างเวลาหมอเขาหมุนเข็มค่ะ เราทำหน้านิ่งซะจนหมอเสียเซลฟ์เลย นึกว่าจิ้มไปไม่โดนจุด55555555
หมอบอกว่า เคยเเต่ฝังเข็มลดความอ้วน ไม่เคยฝังให้อ้วน เราเป็นเคสเเรก5555555
(มีต่อที่คห.3-4ค่ะ👇