ผมสู้กับความอยากตายตอนอายุ ๒๗

ผมสู้กับความอยากตายตอนอายุ ๒๗

เมื่อผมอายุ ๒๗ ผมต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนของชีวิตหลายอย่างซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาใหญ่และใหม่ที่ผมไม่คิดว่าจะเผชิญมาก่อน

จุดเปลี่ยนของชีวิตผมเริ่มจากการที่ผมเรียนจบที่ศิลปากรและเป็นการจบช้าไป ๒ ปี แต่ผมไม่คิดจะทำงาน ซ้ำกลับไปเรียนต่อกฎหมายที่รามคำแหง ซึ่งเป็นการเรียนที่ล้มเหลว ผมจับจุดที่จะทำให้สอบผ่านไม่ได้เลย ในขณะที่ตอนนั้นมีแฟนอยู่ต่างจังหวัด ความห่าง ความเครียด เริ่มมองอนาคตกันไปคนละทาง สุดท้ายก็เลิกกัน ส่วนที่บ้านก็เริ่มมีปัญหาใหญ่มาก ใหญ่ขนาดที่พ่อจะไปบวช แม่เริ่มจะทนแก้ปัญหาไม่ได้ อย่างไรก็ตามปัญหาที่ใหญ่ที่สุดและกระทบต่อความเชื่อมั่น ตัวตน และความศรัทธาในตัวเองก็คือการเลิกกับแฟน

คือสาเหตุของการเลิกกันในครั้งนั้นพุ่งมาที่ผมคนเดียวว่า ผมเป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหน เรียนจบก็ช้า งานก็ไม่มีทำ คิดแต่จะขอเงินแม่ไปตลอด อายุก็เยอะแล้ว ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ เอาตัวเองไม่รอด ดูแลใครก็ไม่ได้ เพื่อนรุ่นเดียวกันเขามีครอบครัว มีงาน มีรถ มีบ้านกันหมดแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่แฟน แม่ ญาติ เพื่อนพูดกรอกหูผม

ตอนนั้นผมรู้สึกตัวเองแย่มากๆ เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่อง ไร้อนาคตจริงๆ และจังหวะนั้นแหละครับ มันก็เริ่มมีเสียงดังว่า "กูอยากตายๆๆ" ไอ้เสียงนี้แหละครับที่ทำให้สถานการณ์มันแย่ไปใหญ่ ผมนอนไม่หลับเพราะไอ้เสียงนี้อยู่หลายคืน จนต้องมาถกเถียงกับมัน(ตัวเอง)ว่า

ทำไมกูถึงอยากตาย ตายแล้วกูจะได้อะไรขึ้นมา คำตอบที่ได้ก็คือ ถ้ากูตาย กูก็ไม่ต้องรับรู้ไงว่ากูมันเป็นผู้ชายห่วยๆ ไร้อนาคต ดูแลใครก็ไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง

คำถามโต้แย้งคือ ต่อให้ตาย ความห่วย ความไร้อนาคต ความไม่ได้เรื่องของ คนรอบข้าง ญาติ พี่น้อง หรือแม้แต่แฟนเก่าเค้าก็ยังรับรู้ และเป็นการรับรู้โดยที่ไม่สามารถกลับมาแก้ไขอะไรได้เลย

คำถามต่อไป อยากตายเพราะกลัว กลัวความจริงว่าล้มเหลว ไร้อนาคต เป็นที่พึ่งของใครก็ไม่ได้ ความกลัวของมันมากเกินกว่าความตาย จึงอยากตาย

คำถามสุดท้ายทำไมไม่ลองเผชิญหน้ากับความกลัว ขนาดความตายยังไม่กลัว แล้วชีวิตมันมีอะไรจะต้องเสีย ลองกลับไปแก้ไขความล้มหลว ความไร้อนาคตที่กลัวก่อน ถ้าทำไม่สำเร็จหลังจากนั้นจะตายกูกับก็ไม่มีอะไรติดค้างกัน

ในตอนนั้นผมก็เริ่มทบทวนว่า ปัญหาใหญ่ๆในตอนนั้นมีอะไร และเรียงลำดับความสำคัญได้ว่า ๑ เรื่องแฟน คงไม่มีหวังปล่อยยิ้มไปอย่าเก็บมาคิด ๒ เรื่องเรียนรามก็หยุดไว้ก่อน ๓ เรื่องที่บ้านเป็นเรื่องตัวบุคคล ผมคงแก้อะไรให้ไม่ได้นอกจากรับฟัง ผมเลยเลือกเรื่องที่ ๔ หางานทำก่อน ผมต้องพิสูนจ์ว่าผมทำงานได้ เอาตัวรอดได้ ไม่ต้องพึ่งพาเงินพ่อแม่ ต้องมีเงินเก็บ ผมเริ่มวางแผนสมัครงาน เก็บเงิน แต่เป็นแผนระยะสั้นมาก

หลังจากนั้นผมได้งาน ผมทำงานมาปีกว่าจริงจังกับงานมาก เริ่มมีสังคมกว้างมากขึ้น รู้จักเพื่อนผู้คนใหม่ๆ สนุกกับงาน และมีสิ่งใหม่ โอกาสใหม่เข้ามาในชีวิต เริ่มมีเงินเก็บบ้าง รู้สึกชีวิตเป็นของเรา มีอิสระมากขึ้น รักเคารพภูมิใจในตัวเองมากขึ้น

ในขณะเดียวกันผมก็วางเป้าหมายในชีวิตสั้นๆ ไม่มโนว่าต้องมีครอบครัว มีเงิน เป็นนั้นเป็นนี้ไกลเป็น ๑๐ๆ ปีเหมือนที่ผ่านมา เพราะผมคิดว่ายิ่งวางเป้าหมายยาวมาก ใหญ่มากเท่าไหร่ ความกลัวว่าจะไม่สำเร็จ ความต้องการ ความเสียใจก็จะมากขึ้นเท่านั้น

ต่อจากนั้นผมลาออกจากงานมาเรียนรามให้จบ สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้คือ ผมไม่ค่อยยินดียินร้ายกับชีวิต ผมเฉยๆกับความสุข ความสนุกของชีวิต หรือแม้แต่มีปัญหา มีความทุกข์ผมก็รู้สึกเฉยๆเช่นกัน เพราะผมรู้สึกว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันก็ผ่านไป สุขก็ไม่ยั่งยืน ทุกข์ก็ไม่ยาวนาน ปัจจุบันผมใช้ชีวิตอย่างคนที่มีหน้าที่ต้องมีชีวิต กล่าวคือ ผมวางเป้าหมายในแต่ละปี วางแผนเพื่อไปสู่เป้าหมาย หลังจากนั้นก็ทำตามแผนไปเรื่อยๆจนหมดปีและมาประเมินว่าผมทำสำเร็จไปแค่ไหน การมีชีวิตอยู่ของผมจึงเป็นการทำหน้าที่ มันไม่รู้สึกสุขหรือทุกข์

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมเริ่มเบื่อชีวิตเพราะแผนชีวิตแต่ละปีมันกลายเป็นเป้าหมายที่ยากขึ้น ใหม่ขึ้นเพื่อจูงใจให้อยากทำอยากท้าทายว่าจะสำเร็จมั้ย และไอ้เสียงนั้นมันก็กลับมา "เมื่อไหร่กูจะตาย กูเบื่อ กูขี้เกียจ กูเหนื่อย กูไม่อยากดิ้นรน" ทุกวันนี้มันจะมาเยือนตลอดเวลาที่ผมเบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ ผมต้องสู้ต้องเถียงกับมันตลอด และมันคงจะอยู่กับผมไปตลอดกาล วันใดที่ผมแพ้มันผมก็คงตายจริงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่