กระทู้นี้ผมขอพูดทุกๆอย่างที่ผมอึดอัด ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมจะไม่บอกกับตัวเองแล้วว่ามันโอเค ผมหลอกตัวเองมานานมากพอแล้ว ถ้ามันทำให้ใครไม่พอใจหรืออึดอัดผมขออภัยนะครับ ผมพูดตรงๆที่เป็นอยู่ตอนนี้มันทรมานจนผมอยากตายๆไปซะให้มันจบๆ แต่ผมมันขี้ขลาด ผมไม่กล้าฆ่าตัวตาย หรือไม่ผมก็มีความอดทนมากเกินกว่าคนทั่วไปล่ะมั้ง
ชีวิตผมตั้งแต่เกิดมาเจอแต่เรื่อง ผมเกิดมาผมเป็นหอบ ทำให้ที่บ้านต้องขายทุกอย่างที่มีเพื่อรักษาผม ข้าวของเงินทองที่มีสมัยช่วงพี่สาวผมเกิด ช่วงสมัยเด็กๆผมจะโดนด่าเสมอตอนที่พ่อกับแม่โกรธหรือโมโหอะไร
ไอ้ตัวกาลกีณี ไอ้ตัวชิบ.... โอเค ผมอาจจะยังเด็ก แต่มันฝั่งใจผมมากๆ มากพอจะทำให้ผมแทบจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆด้วยซ้ำ ไม่กล้าเล่นกับเพื่อน ไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 3-4 ในช่วงวัยประถมเพื่อซื้อของ ปั้นกะปิ ทำปลาร้าให้สุก เตรียมของเพื่อแม่จะได้จัดร้านตอนเช้า ตกเย็นถึงดึกผมมีหน้าที่เฝ้าร้านจนกว่าของจะขายหมด มันอาจจะยาวนานถึงห้าทุ่มกว่าหรือถ้าวันไหนขายดีผมก็ได้กลับบ้านไปล้างข้าวของแล้วนอนไวขึ้น วันไหนฝนตกผมก็เอาร่มมากางแล้วนั้งกอดตัวเองในโต๊ะเล็กๆนั้นแหละ บางวันผมต้องนั้งรถไปนนท์คนเดียวเพื่อแบกกะปิปราร้ากับมาวันล่ะ8-12 โล นั้งหลับตอนล้างจานสิ่งที่ตามมาคือน้ำเย็นๆที่สาด คำด่าว่า ผมลืมของหรือซื้อใบกระเพาหัวระพามาผิด มาสลับกัน ไม้ขวานเสื้อ ประแจรถยนต์ สายท่อแก๊ซ ไม่กวาด กระลามะพร้าวทึนทึกฟาดหน้า หรือกระทั้งอีโต้ !!! ใช่ อีโต้ที่บินผ่านหน้าผมมาแล้วสองถึงสามรอบ จริงๆอะไรก็ได้ขอแค่เขาสามารถเอามันมาทุบตีผมได้ ผมก็กล้าพูดและว่าผมเคยโดยมาหมดแล้ว
ผมเป็นลูกคนที่สองของบ้าน พี่คนโตเป็นพี่สาว จะด้วยอะไรก็ตามแต่ผมเหมือนจะต้องเป็นคนออกแรงเสมอๆ เพราะผมเป็นเด็กผู้ชาย ผมต้องเข็มแข็ง ผมต้องอดทน ทุกคนจะบอกผมเสมอๆ ผมต้องเป็นฮี่โร่นะ ผมต้องเป็นคนดีนะ ต้องทำยังงั้น ทำแบบนี้ ทำให้มันโอเค ไปโรงเรียนเช้าผมจะโดนด่าเสมอๆ จะรีบไปทำไม ทำไมไม่รีบกลับบ้าน เรียนดนตรีไปทำไม
บ้านไม่ใช่ที่ๆมีความสุขสำหรับผมเลย
ยังดี ผมหัวไวกว่าพี่น้องในบ้าน(ช่วงนั้นน้องชายผมเกิดแล้ว) ผมสอบได้ทุนได้อะไรบ่อยๆ ผมรักเรียน ผมอยากเรียน ผมอยากเล่นดนตรี มันเป็นความสุขไม่กี่อย่างในชีวิตวัยเด็ก วันเด็กปีไหนไม่รู้ผมลืมไปแล้ว ผมทำงานบ้านเสร็จแล้วรีบออกไปงานวันเด็กของซอยบ้านเพื่อน กลับมาผมโดนตะไคร้ฟาดจนตัวลาย เพราะอะไร ? เพราะทำไม่ไม่อยู่เตรียมช่วยงาน แม่บอกกับผมว่า
'เราไม่เหมือนครอบครัวคนอื่น เรามีชีวิตแบบนั้นไม่ได้' ซึ่งก็ไม่มีเหมือนคนอื่นจริงๆ ผมไม่มีของขวัญไปจับฉลากทุกเทศกาล ผมไม่มีเงินไปเล่นไหนกับเพื่อน กระทั้งวันที่เพื่อนทั้งระดับชั้นไปดูก้านกล้วยกันเพราะโรงเรียนพาไป ผมต้องนั้งเล่นชิงช้าคนเดียวเพราะไม่มีเงินค่าตั๋ว 60 บาท .....
ตอนกำลังจะขึ้นม.ต้น พ่อกับแม่บอกกับผมว่า 'เลิกเรียนเถอะ เรียนไปก็ไม่ได้อะไรหรอก'
ผมค้านหัวชนฝ่า ไม่เอา ผมไม่อยากหยุดเรียน ถ้าเลิกเรียนผมจะเหลืออะไรในชีวิต ? ผมต้องทำงานหนักๆเหนื่อยๆแลกกับค่าแรงประทังท้องงั้นเหรอ ผมบอกกับตัวเองตลอดว่าไม่เอา ไม่ยอม ไม่อยากได้แบบนั้น สุดท้ายก็แอบไปสมัครเรียน สอบจนติดห้องระดับเด็กเรียน นั้นแหละที่ทำให้พ่อกับแม่ยอมให้ผมเรียนต่อ
สิ่งที่ผมรักที่สุดในชีวิตวัยเด็กหายไปหนึ่งอย่าง.....
ดนตรีคือสิ่งต้องห้าม
เพราะมันกินเวลาที่ต้องไปช่วยงานพ่อแม่
โอเค ไม่เอาดนตรีก็ได้ ....ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นทั้งน้ำตา จำไม่ได้ว่าร้องขนาดไหนแต่ก็คิดว่ามันคือสิ่งที่เราเลือก เราไม่เสียใจแล้วที่เลือกมัน
ผมเรียน เรียน และเรียน ผมมีนิสัยเสียที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ผมชอบโกหก ชอบขี้โม้ อวดอ้างเพราะไม่อยากให้ใครดูแคลน มันเหมือนทำไปเพื่อเป็นเกราะ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะโกหกใครได้ผมก็ยังโกหกตัวเองไม่ได้เสมอ นั้นทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อน ผมยอมรับ ผมไม่ดีจริงๆ เหมือนผมใช้กรรมนะ ไม่ค่อยมีใครเชื่อใจหรือเข้าใจ ผมเรียนรู้จะยอมรับตัวเองและยอมบอกว่า ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมทำลงไปผมก็ต้องรับผิดชอบผลกรรมนั้นเอง
ในระหว่างเรียนม.ต้น ครอบครัวเราเปลี่ยนไปขายอย่างอื่นที่ไม่ใช่กับข้าวแทน พ่อกับแม่ลงทุนเซ้งสูตรขนมอย่างหนึ่งมาขาย เอาจริงๆตัวผมในตอนนั้นยังคิดเลยว่ามันไม่คุ้ม แต่ผมพูดอะไรไม่ได้ ผมมีหน้าที่แค่ทำตามคำสั้ง อาจจะเพราะปลายปี 56 วิกฤษเศรษฐกิจทำพิษอย่างหนัก และแน่นอนครับครัวเราได้รับผลไปด้วย ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอก ผมรู้แค่ว่าขายของไม่ดีเลย ลูกค้าแทบไม่ซื้อของเรา ผมต้องนั้งเฝ้าแผงนานขึ้นกว่าเดิมและตื่นเช้ามากกว่าเดิม บางวันผมไม่สบาย ผมปวดท้อง ผมบอกแม่แล้ว แม่บอกกับผมแค่ว่า 'อดทนแล้วนั้งเฝ้าต่อไป' คุณเคยปวดท้องไหม ? ปวดแบบต้องทุบท้องตัวเองเพื่อให้มันเจ็บจะได้หายปวด
พ่อเป็นคนในบ้านที่มักจะอยากได้อะไรเสมอๆ โทรศัพท์มือถือออกใหม่ คอมพ์ พ่ออยากได้ พ่ออยากเล่น พ่ออยากเติมอะไรให้ตัวเองในวัยเด็ก พ่อซื้อ ซื้อ โดยไม่สนใจว่าจะมีเงินพอไหม พ่อมักเล่าให้ผมฟังเสมอๆว่าพ่อทำงานตั้งแต่เด็กๆ แม่เองก็เล่าว่าทิ้งยายมาเพื่อมาทำงาน พี่สาวผมเรียนจบม.ต้นและไปเรียนต่อปวช. ส่วนนั้นผมกำลังม.3 พ่อกับแม่ทะเลาะกับพี่สาวผมบ่อยมากขึ้น พี่ผมกลับบ้านช้า พาลโดนมาถึงผมด้วยว่าต้องกลับบ้านให้ตรงเวลา พ่อกับแม่ยังทะเลาะกับพี่ผมเรื่อยๆ ตอนนั้นมีคุณยายท่านหนึ่งเห็นว่าพี่ผมเรียนฉลาด ท่านมักมาให้เงินพี่สาวผมเสมอๆ และเงินนั้นก็จะกลายเป็นทุนของบ้านเรา สุดท้ายทะเลาะกันหนักจนพี่ผมหนีออกจากบ้านไป เกือบๆสามเดือนพี่ถึงได้ยอมกลับบ้านมา แล้วก็เหมือนเดิม พี่ผมรับไม่ไหวแล้วหนีไปแบบไม่ยอมกลับบ้านมา คุณยายท่านนั้นก็บอกแต่ว่าเสียดาย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเสียดายอะไรผมรู้แค่ว่าผมเองก็เสียดาย
และแล้วก็มาถึงตอนขึ้นม.ปลาย ผมอยากเรียนม.ปลาย ผมแพลนอนาคตไว้ว่าผมจะเรียนอะไร จบออกไปทำอะไร ผมไม่รู้เด็กคนอื่นคิดแบบผมไหม ผมอีเมลล์ไปหาพี่หลายๆคนที่ทำงานที่ผมอยากจะทำ คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ผมแพลนอนาคตได้ง่ายมากขึ้น ผมตัดสินใจเรียนห้องภาษาเพราะต้องการเก็บภาษาที่สามต่อจากอังกฤษ ผมเชื่อว่าภาษาจะเป็นตัวตัดสินระหว่างผมกับคนอื่น ผมสมัครเรียนห้องนั้นและติดสมกับที่ตั้งใจอ่านหนังสือ ช่วงนั้นเองที่แม่ติดต่อกับพี่สาวผม แน่นอนว่าพ่อไม่รู้ พ่ออารมณ์ร้อนเกินกว่าจะฟังเหตุผลและความใคร
แล้ววันหนึ่งบ้านเราก็มาถึงทางตัน
แม่กับพ่อคุยกับผมว่าพวกเขาต้องหนีหนี้ หนี้ที่มีเยอะเกินไปกว่าพวกท่านจะรับไหว เขาก็ถามผมนั้นแหละจะไปกับเขาไหมหรือจะอยู่ที่นี้(อ่านถึงตรงนี้อาจจะคุ้นๆ ...คนเดียวกันนั้นแหละครับกับไอ้เด็กคนนั้นนะ เพียงแค่กระทู้นี้ผมอยากระบายทั้งหมดในใจให้มันได้ออกมาบ้างว่าเพราะอะไร เพราะทำไม ถ้าบางที่คนที่ผมอยากให้เขาเข้ามาอ่านเขาอาจจะเข้าใจผมมากขึ้น...ผมหวังว่านะ)
แน่นอนผมเลือกจะเรียนต่อ
ที่เลือกจะเรียนต่อ เพราะผมไม่อยากยอมแพ้ แต่ความดื้อรั้นนี้และที่ทำให้รู้ตัวอีกที่ผมก็จัดกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่คนเดียวแล้ว พ่อกับแม่ก็ไปโดยบอกกับผมว่าจะติดต่อกลับมาที่หลัง หลังจากเขาไปหาที่อยู่ที่อื่นได้ ผมเหลือเงินไม่กี่บาท ตอนนั้นผมทำงานแจกใบปลิวและโบกธงแถวใต้ทางด่วน(คุณอาจจะเคยเห็นผมก็เป็นได้นะ)
วันที่ลำบากที่สุดในชีวิตของผมคือวันที่ต้องแย่งข้าวคลุกแมวกิน ตับไก่รสชาติประหลาดๆกับเศษข้าววันนั้นทำให้ผมรอดตายมาได้จนเงินทำงานออก ตอนนั้นเองที่ผมได้ติดต่อกลับพี่สาวผมอีกครั้ง พี่ผมตั้งครรภ์และคลอดน้องออกมาอีกหนึ่งคน สุดท้ายพ่อก็ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนได้ หลานไปอยู่กับแม่ของผมโดยพี่สาวของผมอยู่กับสามีใหม่(ไม่ใช่บิดาของเด็กคนนั้น) พี่ของผมเองก็ทำงานเหมือนกัน และเพราะหลานอยู่กับแม่ทำให้พี่สาวผมต้องเป็นคนรับภาระเลี้ยงดูพ่อแม่น้องชายของผมและลูกของเขา แน่นอนว่าผมแทบไม่กล้าเอ่ยปากหรอกว่าผมเองก็ไม่ไหว ผมไม่ได้ทำงานทุกวันเพราะต้องเรียนหนังสือจันทร์ถึงศุกร์ อาจจะมีวันไหนฟลุ๊คๆเจองานที่ทำหลังเลิกเรียนผมก็จะพอมีเงินกินอะไรได้มากขึ้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมไม่มีงานมากๆผมเลยจำเป็นต้องเดินเกือบสามกิโลเพื่อไปกลับจากบ้านถึงโรงเรียน(ถ้าวันไหนเจอรถเมลล์ฟรีมันจะเป็นวันกึ๊ดลักของผมเลยครับ)
จนกระทั้งช่วงหนึ่งที่ผมป่วย ผมไปทำงานไม่ได้ พี่ผมบอกว่าจะโอนเงินมาให้ผมซื้อข้าวกินประทังหิว ผมรอจนกระทั้งความอดทนหมด ผมโทร.ไปหาและว่าเบอร์ที่ผมติดต่อปิดเครื่องไปแล้ว เบอร์พ่อกับแม่ผมโทร.ไปก็มีอาการเช่นเดียวกัน มันเป็นครั้งแรกในชีวิตและเป็นสิ่งที่ทำให้ผมฝั่งใจมาตลอด ว่าผมไม่สามารถพึ่งพาใครได้อีกแล้วนอกจากตัวผมเอง มีแค่ตัวผมเองเท่านั้นที่จะทำให้ผมรอดตาย ผมหวังกับอะไรไม่ได้อีกแล้ว นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลัวและไม่กล้าโทร.หาครอบครัวอีก ประโยคที่คุยกันผมรับรู้ได้ถึงความห่วงและความหวังดี แต่ประโยคที่ถามตัวผมเองว่ามีเงินตัวบ้างหรือเปล่าก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าโทร.หาจริงๆครับ แต่ถ้ามีเงินมากพอผมก็โอนไปให้พ่อกับแม่นะ อาจจะไม่มากแต่ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะทำ
ผมทำงานมาเกือบปีกว่าจนกระทั้งมีเงินมากพอเลยไปเช่าห้องใกล้ๆโรงเรียนของตัวเอง ผมทำงานรอบดึกบ้าง เช้าบ้าง แต่ก็ยังรักษาเกรดให้อยู่ในระดับสามกว่าๆได้ ยังดีที่ผมได้ทุนบ่อยๆจากโรงเรียน จนกระทั้งถึงปัจจุบัน ผมรอดมาได้ก็จริงแต่ผมเหนื่อยมาก เหนื่อยเพราะสภาพสังคมและหลายๆอย่าง ผมยอมรับนิสัยเสียของตัวเองและพยายามแก้ไขปรับปรุงตัว อะไรที่เกิดจากตัวเองผมมักจะยอมรับเสมอเพราะถือว่าตัวเองทำตัวเอง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่บั่นทอนกำลังใจผมอยู่เนื่องๆ
ผมมักจะได้ยินทั้งต่อหน้าและลับหลังเสมอๆเกี่ยวกับตัวผมเอง ผมรับได้นะถ้าอันไหนเป็นเรื่องจริง อย่างที่บอกว่ามันเพราะผมทำตัวเองผมก็ต้องยอมรับมัน เรื่อยมาทั้งคิดว่าผมหนีออกจากบ้านบ้าง หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จนถึงขนาดพูดต่อหน้าผมว่าทำไมไม่ตายไปเลยก็มี ผมเรียนต่อถึงฤดูกาลกู้กยศ.มาถึง สำหรับเด็กม.หกแล้วถ้ากู้กยศ.ได้จะสามารถยื่นเรื่องต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ครับ (ว่าง่ายๆคือกู้ต่อเนื่อง ของม.ปลายจะกู้ง่ายกว่ามหาวิทยาลัย)
ช้าราชการระดับ C+ ผมสามารถหาครูที่ใจดีรับรองได้ครับ....แต่พ่อแม่และผู้ปกครองผมไม่ทราบจริงๆว่าจะไปหาจากที่ไหน คือผมมีพี่สาวนะ แต่ตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้นมันทำให้ผมฝั่ง ผมเลยมักจะบอกคนอื่นเสมอๆว่าผมไม่มีครอบครัว ซึ่งผมพูดจริงๆนะ ครอบครัวที่ทิ้งเรา.....ผมควรจะรู้สึกยังไงดี มันเป็นแผลเป็นที่ทุกครั้งที่คิดถึงมันทำให้ผมเจ็บปวด ทั้งเรื่องพ่อกับแม่และพี่สาวก็ตามแต่ นั้นทำให้ผมไม่สามารถกู้กยศ.ได้ ผมคงไม่โทษครูหรือระบบหรอก มันไม่มีใครรับรองได้จริงๆนิครับว่าไอ้เด็กนี้จะสามารถเรียนต่อจนจบและหาเงินมาใช้หนี้ได้จริง
พ่อแม่ไม่ได้รักลูกไปหมดทุกคนหรอกนะครับ จากใจลูกที่อยากฆ่าตัวตายเพราะครอบครัว
ชีวิตผมตั้งแต่เกิดมาเจอแต่เรื่อง ผมเกิดมาผมเป็นหอบ ทำให้ที่บ้านต้องขายทุกอย่างที่มีเพื่อรักษาผม ข้าวของเงินทองที่มีสมัยช่วงพี่สาวผมเกิด ช่วงสมัยเด็กๆผมจะโดนด่าเสมอตอนที่พ่อกับแม่โกรธหรือโมโหอะไร ไอ้ตัวกาลกีณี ไอ้ตัวชิบ.... โอเค ผมอาจจะยังเด็ก แต่มันฝั่งใจผมมากๆ มากพอจะทำให้ผมแทบจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆด้วยซ้ำ ไม่กล้าเล่นกับเพื่อน ไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 3-4 ในช่วงวัยประถมเพื่อซื้อของ ปั้นกะปิ ทำปลาร้าให้สุก เตรียมของเพื่อแม่จะได้จัดร้านตอนเช้า ตกเย็นถึงดึกผมมีหน้าที่เฝ้าร้านจนกว่าของจะขายหมด มันอาจจะยาวนานถึงห้าทุ่มกว่าหรือถ้าวันไหนขายดีผมก็ได้กลับบ้านไปล้างข้าวของแล้วนอนไวขึ้น วันไหนฝนตกผมก็เอาร่มมากางแล้วนั้งกอดตัวเองในโต๊ะเล็กๆนั้นแหละ บางวันผมต้องนั้งรถไปนนท์คนเดียวเพื่อแบกกะปิปราร้ากับมาวันล่ะ8-12 โล นั้งหลับตอนล้างจานสิ่งที่ตามมาคือน้ำเย็นๆที่สาด คำด่าว่า ผมลืมของหรือซื้อใบกระเพาหัวระพามาผิด มาสลับกัน ไม้ขวานเสื้อ ประแจรถยนต์ สายท่อแก๊ซ ไม่กวาด กระลามะพร้าวทึนทึกฟาดหน้า หรือกระทั้งอีโต้ !!! ใช่ อีโต้ที่บินผ่านหน้าผมมาแล้วสองถึงสามรอบ จริงๆอะไรก็ได้ขอแค่เขาสามารถเอามันมาทุบตีผมได้ ผมก็กล้าพูดและว่าผมเคยโดยมาหมดแล้ว
ผมเป็นลูกคนที่สองของบ้าน พี่คนโตเป็นพี่สาว จะด้วยอะไรก็ตามแต่ผมเหมือนจะต้องเป็นคนออกแรงเสมอๆ เพราะผมเป็นเด็กผู้ชาย ผมต้องเข็มแข็ง ผมต้องอดทน ทุกคนจะบอกผมเสมอๆ ผมต้องเป็นฮี่โร่นะ ผมต้องเป็นคนดีนะ ต้องทำยังงั้น ทำแบบนี้ ทำให้มันโอเค ไปโรงเรียนเช้าผมจะโดนด่าเสมอๆ จะรีบไปทำไม ทำไมไม่รีบกลับบ้าน เรียนดนตรีไปทำไม
บ้านไม่ใช่ที่ๆมีความสุขสำหรับผมเลย
ยังดี ผมหัวไวกว่าพี่น้องในบ้าน(ช่วงนั้นน้องชายผมเกิดแล้ว) ผมสอบได้ทุนได้อะไรบ่อยๆ ผมรักเรียน ผมอยากเรียน ผมอยากเล่นดนตรี มันเป็นความสุขไม่กี่อย่างในชีวิตวัยเด็ก วันเด็กปีไหนไม่รู้ผมลืมไปแล้ว ผมทำงานบ้านเสร็จแล้วรีบออกไปงานวันเด็กของซอยบ้านเพื่อน กลับมาผมโดนตะไคร้ฟาดจนตัวลาย เพราะอะไร ? เพราะทำไม่ไม่อยู่เตรียมช่วยงาน แม่บอกกับผมว่า 'เราไม่เหมือนครอบครัวคนอื่น เรามีชีวิตแบบนั้นไม่ได้' ซึ่งก็ไม่มีเหมือนคนอื่นจริงๆ ผมไม่มีของขวัญไปจับฉลากทุกเทศกาล ผมไม่มีเงินไปเล่นไหนกับเพื่อน กระทั้งวันที่เพื่อนทั้งระดับชั้นไปดูก้านกล้วยกันเพราะโรงเรียนพาไป ผมต้องนั้งเล่นชิงช้าคนเดียวเพราะไม่มีเงินค่าตั๋ว 60 บาท .....
ตอนกำลังจะขึ้นม.ต้น พ่อกับแม่บอกกับผมว่า 'เลิกเรียนเถอะ เรียนไปก็ไม่ได้อะไรหรอก'
ผมค้านหัวชนฝ่า ไม่เอา ผมไม่อยากหยุดเรียน ถ้าเลิกเรียนผมจะเหลืออะไรในชีวิต ? ผมต้องทำงานหนักๆเหนื่อยๆแลกกับค่าแรงประทังท้องงั้นเหรอ ผมบอกกับตัวเองตลอดว่าไม่เอา ไม่ยอม ไม่อยากได้แบบนั้น สุดท้ายก็แอบไปสมัครเรียน สอบจนติดห้องระดับเด็กเรียน นั้นแหละที่ทำให้พ่อกับแม่ยอมให้ผมเรียนต่อ
สิ่งที่ผมรักที่สุดในชีวิตวัยเด็กหายไปหนึ่งอย่าง.....
ดนตรีคือสิ่งต้องห้าม เพราะมันกินเวลาที่ต้องไปช่วยงานพ่อแม่
โอเค ไม่เอาดนตรีก็ได้ ....ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นทั้งน้ำตา จำไม่ได้ว่าร้องขนาดไหนแต่ก็คิดว่ามันคือสิ่งที่เราเลือก เราไม่เสียใจแล้วที่เลือกมัน
ผมเรียน เรียน และเรียน ผมมีนิสัยเสียที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ผมชอบโกหก ชอบขี้โม้ อวดอ้างเพราะไม่อยากให้ใครดูแคลน มันเหมือนทำไปเพื่อเป็นเกราะ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะโกหกใครได้ผมก็ยังโกหกตัวเองไม่ได้เสมอ นั้นทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อน ผมยอมรับ ผมไม่ดีจริงๆ เหมือนผมใช้กรรมนะ ไม่ค่อยมีใครเชื่อใจหรือเข้าใจ ผมเรียนรู้จะยอมรับตัวเองและยอมบอกว่า ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมทำลงไปผมก็ต้องรับผิดชอบผลกรรมนั้นเอง
ในระหว่างเรียนม.ต้น ครอบครัวเราเปลี่ยนไปขายอย่างอื่นที่ไม่ใช่กับข้าวแทน พ่อกับแม่ลงทุนเซ้งสูตรขนมอย่างหนึ่งมาขาย เอาจริงๆตัวผมในตอนนั้นยังคิดเลยว่ามันไม่คุ้ม แต่ผมพูดอะไรไม่ได้ ผมมีหน้าที่แค่ทำตามคำสั้ง อาจจะเพราะปลายปี 56 วิกฤษเศรษฐกิจทำพิษอย่างหนัก และแน่นอนครับครัวเราได้รับผลไปด้วย ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอก ผมรู้แค่ว่าขายของไม่ดีเลย ลูกค้าแทบไม่ซื้อของเรา ผมต้องนั้งเฝ้าแผงนานขึ้นกว่าเดิมและตื่นเช้ามากกว่าเดิม บางวันผมไม่สบาย ผมปวดท้อง ผมบอกแม่แล้ว แม่บอกกับผมแค่ว่า 'อดทนแล้วนั้งเฝ้าต่อไป' คุณเคยปวดท้องไหม ? ปวดแบบต้องทุบท้องตัวเองเพื่อให้มันเจ็บจะได้หายปวด
พ่อเป็นคนในบ้านที่มักจะอยากได้อะไรเสมอๆ โทรศัพท์มือถือออกใหม่ คอมพ์ พ่ออยากได้ พ่ออยากเล่น พ่ออยากเติมอะไรให้ตัวเองในวัยเด็ก พ่อซื้อ ซื้อ โดยไม่สนใจว่าจะมีเงินพอไหม พ่อมักเล่าให้ผมฟังเสมอๆว่าพ่อทำงานตั้งแต่เด็กๆ แม่เองก็เล่าว่าทิ้งยายมาเพื่อมาทำงาน พี่สาวผมเรียนจบม.ต้นและไปเรียนต่อปวช. ส่วนนั้นผมกำลังม.3 พ่อกับแม่ทะเลาะกับพี่สาวผมบ่อยมากขึ้น พี่ผมกลับบ้านช้า พาลโดนมาถึงผมด้วยว่าต้องกลับบ้านให้ตรงเวลา พ่อกับแม่ยังทะเลาะกับพี่ผมเรื่อยๆ ตอนนั้นมีคุณยายท่านหนึ่งเห็นว่าพี่ผมเรียนฉลาด ท่านมักมาให้เงินพี่สาวผมเสมอๆ และเงินนั้นก็จะกลายเป็นทุนของบ้านเรา สุดท้ายทะเลาะกันหนักจนพี่ผมหนีออกจากบ้านไป เกือบๆสามเดือนพี่ถึงได้ยอมกลับบ้านมา แล้วก็เหมือนเดิม พี่ผมรับไม่ไหวแล้วหนีไปแบบไม่ยอมกลับบ้านมา คุณยายท่านนั้นก็บอกแต่ว่าเสียดาย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเสียดายอะไรผมรู้แค่ว่าผมเองก็เสียดาย
และแล้วก็มาถึงตอนขึ้นม.ปลาย ผมอยากเรียนม.ปลาย ผมแพลนอนาคตไว้ว่าผมจะเรียนอะไร จบออกไปทำอะไร ผมไม่รู้เด็กคนอื่นคิดแบบผมไหม ผมอีเมลล์ไปหาพี่หลายๆคนที่ทำงานที่ผมอยากจะทำ คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ผมแพลนอนาคตได้ง่ายมากขึ้น ผมตัดสินใจเรียนห้องภาษาเพราะต้องการเก็บภาษาที่สามต่อจากอังกฤษ ผมเชื่อว่าภาษาจะเป็นตัวตัดสินระหว่างผมกับคนอื่น ผมสมัครเรียนห้องนั้นและติดสมกับที่ตั้งใจอ่านหนังสือ ช่วงนั้นเองที่แม่ติดต่อกับพี่สาวผม แน่นอนว่าพ่อไม่รู้ พ่ออารมณ์ร้อนเกินกว่าจะฟังเหตุผลและความใคร
แล้ววันหนึ่งบ้านเราก็มาถึงทางตัน
แม่กับพ่อคุยกับผมว่าพวกเขาต้องหนีหนี้ หนี้ที่มีเยอะเกินไปกว่าพวกท่านจะรับไหว เขาก็ถามผมนั้นแหละจะไปกับเขาไหมหรือจะอยู่ที่นี้(อ่านถึงตรงนี้อาจจะคุ้นๆ ...คนเดียวกันนั้นแหละครับกับไอ้เด็กคนนั้นนะ เพียงแค่กระทู้นี้ผมอยากระบายทั้งหมดในใจให้มันได้ออกมาบ้างว่าเพราะอะไร เพราะทำไม ถ้าบางที่คนที่ผมอยากให้เขาเข้ามาอ่านเขาอาจจะเข้าใจผมมากขึ้น...ผมหวังว่านะ)
แน่นอนผมเลือกจะเรียนต่อ
ที่เลือกจะเรียนต่อ เพราะผมไม่อยากยอมแพ้ แต่ความดื้อรั้นนี้และที่ทำให้รู้ตัวอีกที่ผมก็จัดกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่คนเดียวแล้ว พ่อกับแม่ก็ไปโดยบอกกับผมว่าจะติดต่อกลับมาที่หลัง หลังจากเขาไปหาที่อยู่ที่อื่นได้ ผมเหลือเงินไม่กี่บาท ตอนนั้นผมทำงานแจกใบปลิวและโบกธงแถวใต้ทางด่วน(คุณอาจจะเคยเห็นผมก็เป็นได้นะ)
วันที่ลำบากที่สุดในชีวิตของผมคือวันที่ต้องแย่งข้าวคลุกแมวกิน ตับไก่รสชาติประหลาดๆกับเศษข้าววันนั้นทำให้ผมรอดตายมาได้จนเงินทำงานออก ตอนนั้นเองที่ผมได้ติดต่อกลับพี่สาวผมอีกครั้ง พี่ผมตั้งครรภ์และคลอดน้องออกมาอีกหนึ่งคน สุดท้ายพ่อก็ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนได้ หลานไปอยู่กับแม่ของผมโดยพี่สาวของผมอยู่กับสามีใหม่(ไม่ใช่บิดาของเด็กคนนั้น) พี่ของผมเองก็ทำงานเหมือนกัน และเพราะหลานอยู่กับแม่ทำให้พี่สาวผมต้องเป็นคนรับภาระเลี้ยงดูพ่อแม่น้องชายของผมและลูกของเขา แน่นอนว่าผมแทบไม่กล้าเอ่ยปากหรอกว่าผมเองก็ไม่ไหว ผมไม่ได้ทำงานทุกวันเพราะต้องเรียนหนังสือจันทร์ถึงศุกร์ อาจจะมีวันไหนฟลุ๊คๆเจองานที่ทำหลังเลิกเรียนผมก็จะพอมีเงินกินอะไรได้มากขึ้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมไม่มีงานมากๆผมเลยจำเป็นต้องเดินเกือบสามกิโลเพื่อไปกลับจากบ้านถึงโรงเรียน(ถ้าวันไหนเจอรถเมลล์ฟรีมันจะเป็นวันกึ๊ดลักของผมเลยครับ)
จนกระทั้งช่วงหนึ่งที่ผมป่วย ผมไปทำงานไม่ได้ พี่ผมบอกว่าจะโอนเงินมาให้ผมซื้อข้าวกินประทังหิว ผมรอจนกระทั้งความอดทนหมด ผมโทร.ไปหาและว่าเบอร์ที่ผมติดต่อปิดเครื่องไปแล้ว เบอร์พ่อกับแม่ผมโทร.ไปก็มีอาการเช่นเดียวกัน มันเป็นครั้งแรกในชีวิตและเป็นสิ่งที่ทำให้ผมฝั่งใจมาตลอด ว่าผมไม่สามารถพึ่งพาใครได้อีกแล้วนอกจากตัวผมเอง มีแค่ตัวผมเองเท่านั้นที่จะทำให้ผมรอดตาย ผมหวังกับอะไรไม่ได้อีกแล้ว นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลัวและไม่กล้าโทร.หาครอบครัวอีก ประโยคที่คุยกันผมรับรู้ได้ถึงความห่วงและความหวังดี แต่ประโยคที่ถามตัวผมเองว่ามีเงินตัวบ้างหรือเปล่าก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าโทร.หาจริงๆครับ แต่ถ้ามีเงินมากพอผมก็โอนไปให้พ่อกับแม่นะ อาจจะไม่มากแต่ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะทำ
ผมทำงานมาเกือบปีกว่าจนกระทั้งมีเงินมากพอเลยไปเช่าห้องใกล้ๆโรงเรียนของตัวเอง ผมทำงานรอบดึกบ้าง เช้าบ้าง แต่ก็ยังรักษาเกรดให้อยู่ในระดับสามกว่าๆได้ ยังดีที่ผมได้ทุนบ่อยๆจากโรงเรียน จนกระทั้งถึงปัจจุบัน ผมรอดมาได้ก็จริงแต่ผมเหนื่อยมาก เหนื่อยเพราะสภาพสังคมและหลายๆอย่าง ผมยอมรับนิสัยเสียของตัวเองและพยายามแก้ไขปรับปรุงตัว อะไรที่เกิดจากตัวเองผมมักจะยอมรับเสมอเพราะถือว่าตัวเองทำตัวเอง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่บั่นทอนกำลังใจผมอยู่เนื่องๆ
ผมมักจะได้ยินทั้งต่อหน้าและลับหลังเสมอๆเกี่ยวกับตัวผมเอง ผมรับได้นะถ้าอันไหนเป็นเรื่องจริง อย่างที่บอกว่ามันเพราะผมทำตัวเองผมก็ต้องยอมรับมัน เรื่อยมาทั้งคิดว่าผมหนีออกจากบ้านบ้าง หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จนถึงขนาดพูดต่อหน้าผมว่าทำไมไม่ตายไปเลยก็มี ผมเรียนต่อถึงฤดูกาลกู้กยศ.มาถึง สำหรับเด็กม.หกแล้วถ้ากู้กยศ.ได้จะสามารถยื่นเรื่องต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ครับ (ว่าง่ายๆคือกู้ต่อเนื่อง ของม.ปลายจะกู้ง่ายกว่ามหาวิทยาลัย)
ช้าราชการระดับ C+ ผมสามารถหาครูที่ใจดีรับรองได้ครับ....แต่พ่อแม่และผู้ปกครองผมไม่ทราบจริงๆว่าจะไปหาจากที่ไหน คือผมมีพี่สาวนะ แต่ตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้นมันทำให้ผมฝั่ง ผมเลยมักจะบอกคนอื่นเสมอๆว่าผมไม่มีครอบครัว ซึ่งผมพูดจริงๆนะ ครอบครัวที่ทิ้งเรา.....ผมควรจะรู้สึกยังไงดี มันเป็นแผลเป็นที่ทุกครั้งที่คิดถึงมันทำให้ผมเจ็บปวด ทั้งเรื่องพ่อกับแม่และพี่สาวก็ตามแต่ นั้นทำให้ผมไม่สามารถกู้กยศ.ได้ ผมคงไม่โทษครูหรือระบบหรอก มันไม่มีใครรับรองได้จริงๆนิครับว่าไอ้เด็กนี้จะสามารถเรียนต่อจนจบและหาเงินมาใช้หนี้ได้จริง