..........ตั้งแต่ออกจากปารีสไปเบลเยี่ยมทิวทัศน์ข้างทางเป็นป่าสน นาข้าวสาลี และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ ไปตลอดทาง จนกระทั่งออกจากเบลเยี่ยมไปเนเธอร์แลนด์ก็ยังเป็นทิวทัศน์แบบเดียวกัน แต่พอเข้าเขตเนเธอร์แลนด์ ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในยุโรปก็ปรากฏแก่สายตา มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความอวบอ้วนของพืชและสัตว์ ดินดี น้ำดี อุดมสมบูรณ์จนสุดจะบรรยาย
เราไปถึงอัมสเตอร์ดัมในเวลา 18.00 น. ก่อนอื่นต้องหาข้อมูลรถที่จะไปเที่ยวหมู่บ้านกังหันลม ที่สถานี Koog-Zaandijk ปรากฏว่า มีรถไฟท้องถิ่นออกทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องซื้อตั๋วที่นั่ง ในเวลานั้นผู้คนพลุกพล่านตั้งแต่สถานีรถไฟไปจนถึงถนนในตัวเมือง ลุงอาสาไปเดินหาที่พักเอง หายไปประมาณ 20 นาที ลุงก็กลับไปแจ้งข่าวดี ลุงบอกว่าได้ที่พักไม่ไกลจากสถานีราคา คืนละ 50 ยูโร ป้าดีใจที่ได้ที่พักไม่ไกลและราคาก็ไม่แพงด้วย ลุงเอาของไปเก็บที่โรงแรมให้ป้ารออยู่ที่เดิม
ตอนเดินทางไปหมู่บ้านกังหันลมเราโชคดี ผู้โดยสารที่นั่งตรงข้ามกับเราเป็นสาวสวย ที่เพิ่งเลิกจากการทำงานเดินทางกลับบ้าน เธอเกิดที่หมู่บ้านซานสคาน แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านอื่นแล้ว พ่อแม่ย้ายไปอยู่แคนาดา ตอนกลับไปยุโรปพวกเขาก็ใช้ตั๋วแบบเดียวกับเรา เธอบอกเราว่า เมื่อลงรถแล้วให้ข้ามฝั่งไปอีกด้านหนึ่งของสถานี แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงหมู่บ้าน ระหว่างทางเราแวะถ่ายรูปกับดอกไฮเดรนเยียร์ หน้าสำนักงานเล็กๆ ข้างทาง แล้วก็เดินไปถ่ายรูปที่สะพาน ข้ามแม่น้ำซานส์ และในหมู่บ้าน ขากลับเราแวะเก็บลูกแอ๊ปเปิ้ลป่าดิบ จากต้นข้างถนนลองชิมดูเปรี้ยวกลมกล่อมและฝาดเล็กน้อย
ความจริงก่อนไปเราอ่านริวิวการเดินทางไปหมู่บ้านกังหันลม บอกว่ามีรถเมล์สาย 91 ผ่าน แต่เราเลือกเดินทางโดยรถไฟ และขากลับเราเห็นรถเมล์สาย 26 จอดรับ-ส่งผู้โดยสารตรงป้ายฝั่งตรงข้ามกับสถานี ใกล้ๆ กับทางแยกที่เป็นถนนเข้าหมู่บ้าน
ตอนที่เรากลับไปที่สถานีอัมสเตอร์ดัมเราซื้อตั๋วรถรางเป็นชั่วโมง กว่าจะซื้อตั๋วได้เวลาก็ผ่านไปจนใกล้ 21.00 น. แล้ว แม้จะยังไม่มืดแต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เราต้องรีบเที่ยวก่อนที่ฝนจะตก อาคารที่อัมสเตอร์ดัมเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมสวยงามเหมือนหลุดเข้าไปในเมืองแห่งเทพนิยาย เหมือนเราฝันไป มันสวยงามเหลือเกิน เกือบทั้งเมืองเป็นอาคารรูปทรงที่อนุรักษ์ไว้ไม่สร้างสิ่งแปลกปลอมให้ไปปะปน
เรานั่งรถรางชมเมืองด้วยความหลงใหล จนกระทั่งรถรางพาเราออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ คราวนี้สติเริ่มไม่อยู่กับตัวแล้วเพราะเราซื้อตั๋วชั่วโมง ถ้าเรานั่งไปเรื่อยๆ เราจะต้องเดินจนลุงต้องแบกป้าแน่ๆ จึงตัดสินใจลงแล้วข้ามถนนไปรอขึ้นรถกลับ นั่งรถไปจนเวลาใกล้หมด ก็ลงเดินชมเมืองและถ่ายรูปกัน ระหว่างที่เราเดิน มีจักรยานขี่สวนทางไปตลอด มีที่จอดรถจักรยานเป็นระยะๆ แม้แต่บนสะพานก็มีที่จอดรถจักรยาน
จนกระทั่งเวลา 22.00 น. ตอนนั้นเริ่มจะพลบค่ำเราจึงเดินไปโรงแรมที่ลุงเอาของไปเก็บไว้ พอพนักงานต้อนรับเห็นเราเขาก็ทักว่า อ้าว! มา 2 คนเหรอ ป้าตอบว่า ใช่ค่ะ แล้วเราก็เดินขึ้นไปห้องพัก พอเห็นห้องพักมีเตียงเดี่ยวเตียงเดียว ป้าก็ถามลุงว่า ทำไมห้องเล็กจัง แล้วเตียงก็มาเตียงเดียว ลุงก็บอกว่า ก็เป็นไปตามราคาแหละ ป้าก็ทำใจว่ามีที่นอนก็ดีแล้ว กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เปิดประตูออกไปเจอพนักงานต้อนรับหญิงที่ลุงไปเจอตอนแรกและจ่ายค่าที่พักไว้ เธอทำหน้าไม่พอใจ
เธอพูดเสียงดัง ว่า ห้องนี้เป็นห้องพักเดี่ยวทำไมมาพัก 2 คน ป้าก็ถามว่า หมายความว่าอย่างไร เธอก็พูดเสียงดังว่า ให้พักได้คนเดียว เพราะเป็นห้องพักเดี่ยว ให้ป้าออกไป ป้าก็ถามว่า ถ้าเพิ่มเงินแล้วป้าจะพักได้หรือไม่ เพราะเรามาด้วยกัน เธอบอกว่าไม่ได้เพราะผิดกฎ ให้เก็บของเดี๋ยวนี้ เธอมีห้องใหม่ให้ แต่ต้องลงไปจ่ายเงินเพิ่มอีก 40 ยูโร ต้องเดินลงไปแล้วขึ้นไปใหม่ ทั้งๆ ที่สภาพหลังของป้าเป็นแบบนั้น ป้าขอโทษเธอและบอกเธอว่า ลุงไม่สันทัดภาษาอังกฤษ พอจ่ายเงินเสร็จเธอก็บอกเวลาอาหารเช้า และเวลาเช็คเอ๊าท์
แล้วเธอก็ให้กุญแจห้องใหม่ที่อยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละปีก โรงแรมเล็กๆ ไม่มีลิฟต์ มีห้องอาบน้ำอยู่ในห้องนอน แต่ห้องส้วมต้องออกไปใช้ข้างนอก พอจะอาบน้ำปรากฏว่า มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ให้ลุงลงไปเอาลุงก็ไม่ไป บอกว่า ขี้เกียจพูดภาษาอังกฤษ ครั้นป้าจะลงไปเองสภาพตอนนั้นก็ไม่ไหวแล้ว โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เราจึงอยู่ในสภาวะจำยอมใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวกัน ห้องนอนทำง่ายๆ ใช้ไม้อัดกั้นห้อง เดินสายไฟหยาบๆ เตียงนอนก็ใช้ไม้อัดวางบนลังไม้ เอาที่นอนวาง แต่ผ้าปูและปลอกหมอนกับผ้าเช็ดตัวสีขาว สะอาด เวลานอน จะลุก หรือ นั่ง ต้องค่อยๆ คุยกันเสียงดังก็รบกวนข้างห้อง
ตอนเช้าลงไปที่ห้องอาหาร บอกพนักงานที่รับเวรต่อกะเช้าว่า เราได้ผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะกลัวเขาหาว่าเราขโมยผ้าเช็ดตัวโรงแรม พนักงานก็หัวเราะ แล้วก็บอกว่า ขอโทษครับ จบแค่นั้น ไม่มีอะไรต่อจากนั้น ป้าจึงถือว่า ช่างมันเถอะ อาหารเช้าเป็นไปตามมาตรฐาน แต่ป้าแพ้ไส้กรอกรมควัน วันทั้งวันรู้สึกปวดท้องแปลกๆ และต้องเข้าห้องน้ำบนรถไฟตอนบ่ายก่อนที่จะเกิดเหตุ…….
[CR] ลุงกับป้าตะลุยยุโรป 64 วัน 33 ประเทศ [ตอนที่ 4] ราวกับเมืองในฝันดูพระอาทิตย์ 24 ชม. เนเธอร์แลนด์-สแกนดิเนเวีย-ฟินแลนด์
เราไปถึงอัมสเตอร์ดัมในเวลา 18.00 น. ก่อนอื่นต้องหาข้อมูลรถที่จะไปเที่ยวหมู่บ้านกังหันลม ที่สถานี Koog-Zaandijk ปรากฏว่า มีรถไฟท้องถิ่นออกทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องซื้อตั๋วที่นั่ง ในเวลานั้นผู้คนพลุกพล่านตั้งแต่สถานีรถไฟไปจนถึงถนนในตัวเมือง ลุงอาสาไปเดินหาที่พักเอง หายไปประมาณ 20 นาที ลุงก็กลับไปแจ้งข่าวดี ลุงบอกว่าได้ที่พักไม่ไกลจากสถานีราคา คืนละ 50 ยูโร ป้าดีใจที่ได้ที่พักไม่ไกลและราคาก็ไม่แพงด้วย ลุงเอาของไปเก็บที่โรงแรมให้ป้ารออยู่ที่เดิม
ตอนเดินทางไปหมู่บ้านกังหันลมเราโชคดี ผู้โดยสารที่นั่งตรงข้ามกับเราเป็นสาวสวย ที่เพิ่งเลิกจากการทำงานเดินทางกลับบ้าน เธอเกิดที่หมู่บ้านซานสคาน แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านอื่นแล้ว พ่อแม่ย้ายไปอยู่แคนาดา ตอนกลับไปยุโรปพวกเขาก็ใช้ตั๋วแบบเดียวกับเรา เธอบอกเราว่า เมื่อลงรถแล้วให้ข้ามฝั่งไปอีกด้านหนึ่งของสถานี แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงหมู่บ้าน ระหว่างทางเราแวะถ่ายรูปกับดอกไฮเดรนเยียร์ หน้าสำนักงานเล็กๆ ข้างทาง แล้วก็เดินไปถ่ายรูปที่สะพาน ข้ามแม่น้ำซานส์ และในหมู่บ้าน ขากลับเราแวะเก็บลูกแอ๊ปเปิ้ลป่าดิบ จากต้นข้างถนนลองชิมดูเปรี้ยวกลมกล่อมและฝาดเล็กน้อย
ความจริงก่อนไปเราอ่านริวิวการเดินทางไปหมู่บ้านกังหันลม บอกว่ามีรถเมล์สาย 91 ผ่าน แต่เราเลือกเดินทางโดยรถไฟ และขากลับเราเห็นรถเมล์สาย 26 จอดรับ-ส่งผู้โดยสารตรงป้ายฝั่งตรงข้ามกับสถานี ใกล้ๆ กับทางแยกที่เป็นถนนเข้าหมู่บ้าน
ตอนที่เรากลับไปที่สถานีอัมสเตอร์ดัมเราซื้อตั๋วรถรางเป็นชั่วโมง กว่าจะซื้อตั๋วได้เวลาก็ผ่านไปจนใกล้ 21.00 น. แล้ว แม้จะยังไม่มืดแต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เราต้องรีบเที่ยวก่อนที่ฝนจะตก อาคารที่อัมสเตอร์ดัมเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมสวยงามเหมือนหลุดเข้าไปในเมืองแห่งเทพนิยาย เหมือนเราฝันไป มันสวยงามเหลือเกิน เกือบทั้งเมืองเป็นอาคารรูปทรงที่อนุรักษ์ไว้ไม่สร้างสิ่งแปลกปลอมให้ไปปะปน
เรานั่งรถรางชมเมืองด้วยความหลงใหล จนกระทั่งรถรางพาเราออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ คราวนี้สติเริ่มไม่อยู่กับตัวแล้วเพราะเราซื้อตั๋วชั่วโมง ถ้าเรานั่งไปเรื่อยๆ เราจะต้องเดินจนลุงต้องแบกป้าแน่ๆ จึงตัดสินใจลงแล้วข้ามถนนไปรอขึ้นรถกลับ นั่งรถไปจนเวลาใกล้หมด ก็ลงเดินชมเมืองและถ่ายรูปกัน ระหว่างที่เราเดิน มีจักรยานขี่สวนทางไปตลอด มีที่จอดรถจักรยานเป็นระยะๆ แม้แต่บนสะพานก็มีที่จอดรถจักรยาน
จนกระทั่งเวลา 22.00 น. ตอนนั้นเริ่มจะพลบค่ำเราจึงเดินไปโรงแรมที่ลุงเอาของไปเก็บไว้ พอพนักงานต้อนรับเห็นเราเขาก็ทักว่า อ้าว! มา 2 คนเหรอ ป้าตอบว่า ใช่ค่ะ แล้วเราก็เดินขึ้นไปห้องพัก พอเห็นห้องพักมีเตียงเดี่ยวเตียงเดียว ป้าก็ถามลุงว่า ทำไมห้องเล็กจัง แล้วเตียงก็มาเตียงเดียว ลุงก็บอกว่า ก็เป็นไปตามราคาแหละ ป้าก็ทำใจว่ามีที่นอนก็ดีแล้ว กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เปิดประตูออกไปเจอพนักงานต้อนรับหญิงที่ลุงไปเจอตอนแรกและจ่ายค่าที่พักไว้ เธอทำหน้าไม่พอใจ
เธอพูดเสียงดัง ว่า ห้องนี้เป็นห้องพักเดี่ยวทำไมมาพัก 2 คน ป้าก็ถามว่า หมายความว่าอย่างไร เธอก็พูดเสียงดังว่า ให้พักได้คนเดียว เพราะเป็นห้องพักเดี่ยว ให้ป้าออกไป ป้าก็ถามว่า ถ้าเพิ่มเงินแล้วป้าจะพักได้หรือไม่ เพราะเรามาด้วยกัน เธอบอกว่าไม่ได้เพราะผิดกฎ ให้เก็บของเดี๋ยวนี้ เธอมีห้องใหม่ให้ แต่ต้องลงไปจ่ายเงินเพิ่มอีก 40 ยูโร ต้องเดินลงไปแล้วขึ้นไปใหม่ ทั้งๆ ที่สภาพหลังของป้าเป็นแบบนั้น ป้าขอโทษเธอและบอกเธอว่า ลุงไม่สันทัดภาษาอังกฤษ พอจ่ายเงินเสร็จเธอก็บอกเวลาอาหารเช้า และเวลาเช็คเอ๊าท์
แล้วเธอก็ให้กุญแจห้องใหม่ที่อยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละปีก โรงแรมเล็กๆ ไม่มีลิฟต์ มีห้องอาบน้ำอยู่ในห้องนอน แต่ห้องส้วมต้องออกไปใช้ข้างนอก พอจะอาบน้ำปรากฏว่า มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ให้ลุงลงไปเอาลุงก็ไม่ไป บอกว่า ขี้เกียจพูดภาษาอังกฤษ ครั้นป้าจะลงไปเองสภาพตอนนั้นก็ไม่ไหวแล้ว โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เราจึงอยู่ในสภาวะจำยอมใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวกัน ห้องนอนทำง่ายๆ ใช้ไม้อัดกั้นห้อง เดินสายไฟหยาบๆ เตียงนอนก็ใช้ไม้อัดวางบนลังไม้ เอาที่นอนวาง แต่ผ้าปูและปลอกหมอนกับผ้าเช็ดตัวสีขาว สะอาด เวลานอน จะลุก หรือ นั่ง ต้องค่อยๆ คุยกันเสียงดังก็รบกวนข้างห้อง
ตอนเช้าลงไปที่ห้องอาหาร บอกพนักงานที่รับเวรต่อกะเช้าว่า เราได้ผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะกลัวเขาหาว่าเราขโมยผ้าเช็ดตัวโรงแรม พนักงานก็หัวเราะ แล้วก็บอกว่า ขอโทษครับ จบแค่นั้น ไม่มีอะไรต่อจากนั้น ป้าจึงถือว่า ช่างมันเถอะ อาหารเช้าเป็นไปตามมาตรฐาน แต่ป้าแพ้ไส้กรอกรมควัน วันทั้งวันรู้สึกปวดท้องแปลกๆ และต้องเข้าห้องน้ำบนรถไฟตอนบ่ายก่อนที่จะเกิดเหตุ…….
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น