สู่เวียงสีปันจา(2)
หมู่เรือนกาแลยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้สักทองสิบกว่าหลังคาเรือน มีเรือนแฝดหลังใหญ่เป็นประธานอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนเรือนที่มีขนาดย่อมกว่าอยู่ทางด้านหลัง
ทั้งหมดเป็นหมู่เรือนซึ่งแยกส่วนต่างๆ ออกจากกันอย่างชัดเจน แต่ตัวเรือนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้จากบริเวณส่วนที่เป็นชาน ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมต่อทุกเรือนเข้าด้วยกัน จากเรือนหนึ่งไปยังเรือนหนึ่งและอีกเรือนต่อๆ กันไป
ทุกหลังคาเรือนมุงด้วยไม้แป้นเกล็ด ตรงยอดจั่วประดับกาแลไม้แกะสลักอ่อนโค้งงดงาม เชิงชายเองก็แกะสลักลวดลายฉลุรายรอบ
ตัวเรือนบางด้านประดับด้วยรูปแกะสลักสัตว์ชั้นสูงอย่างช้าง ราชสีห์ฯ เพื่อบ่งบอกยศถาบรรดาศักดิ์เจ้าของหมู่เรือนนี้ ตามแบบช่างฝีมือประณีตของเวียงสีปันจา
ร่างสูงสง่าของเจ้าราชบุตรก้าวมาถึงข่วงบ้าน บ่าวไพร่ที่กำลังเดินผ่านไปมายอบตัวแสดงความเคารพ จนกระทั่งเขาก้าวขึ้นบันไดของเรือนแฝดหลังใหญ่
ชานหน้าเรือนที่เปิดโล่งมี *3ฮ้านน้ำ อยู่ด้านข้าง ส่วนของเติ๋นหรือโถงเรือนที่เปิดโล่งเช่นกันแต่อยู่ภายใต้ชายคา พื้นไม้ยังคงวาววับเพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากบ่าวไพร่
สิ่งที่ปรากฏในสายตาของชายหนุ่มยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หัวใจหวั่นไหวร้อนรุ่มของเขาในวันนี้ต่างหาก ที่มันทำให้ทุกอย่างดูแปลกตาไป
“เจ้าราชบุตรมาถึงแล้วหรือเจ้า” หมอหลวงที่พึ่งออกมาจากห้องบรรทมของเจ้าหลวง ซึ่งอยู่ด้านในรีบยอบตัวลงขณะเอ่ย
“เจ้าพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอหลวง” เจ้าของร่างสูงสง่าถามขณะชะลอเท้า
“เอ่อ... ข้าน้อยว่าเจ้าน้อยเข้าไปดูเองจะดีกว่าเจ้า” หมอหลวงตอบอย่างกริ่งเกรง พลางก้มหน้าหลบสายตาคมกล้า เพียงเท่านั้นเจ้าน้อยปิ่นเมืองก็เร่งสาวเท้าก้าวเข้าไปยังห้องที่ เจ้าหลวงแสนเมืองจายไจยวงษ์สา ทรงพำนักอยู่ในทันที
ในห้องบรรทมขนาดใหญ่ มีหน้าต่างรายรอบเปิดไว้เพื่อถ่ายเทอากาศ แท่นบรรทมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลางห้อง ผ้าม่านบางเบาทิ้งตัวลงมาจากบนเพดานคลุมแท่นใหญ่นั้นเอาไว้ กั้นกลางระหว่างผู้ซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นกับผู้คนที่คอยเฝ้าไข้อยู่รายรอบข้าง
ตรงโต๊ะข้างแท่นบรรทมมีสตรีร่างค่อนข้างอวบ วัยประมาณหกสิบกว่าปีต้นๆ สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน สาบเสื้อป้ายไปทางด้านขวาปักด้วยไหมทองเป็นรูปดอกไม้ นุ่งผ้าซิ่นไหมลายดอกยาวกรอมเท้า
ห่มสไบปักลวดลายงดงามไม่แพ้กัน ผมเกล้ามวยไว้ตรงท้ายทอยประดับด้วยปิ่นทอง อีกทั้งเครื่องประดับบนลำคอ หู ข้อมือ และนิ้วก็ดูมีราคาไม่ต่างกัน บ่งบอกถึงสถานะที่เป็นอยู่กับผู้ที่พึ่งพบเห็นได้เป็นอย่างดี
“เจ้าแม่” เจ้าราชบุตรเรียก
เจ้าของร่างที่ง่วนอยู่กับการจัดข้าวของบนโต๊ะ หันมามองทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย บ่าวไพร่ซึ่งนั่งอยู่บนพื้นต่างแสดงความเคารพผู้มาใหม่
ก่อนที่เจ้าราชบุตรจะยกมือเป็นสัญญาณให้กับคนสนิททั้งสอง ช่วยพาบ่าวไพร่เหล่านั้นออกไปจากห้องจนหมด เพราะต้องการอยู่เพียงลำพังกับมารดานั่นเอง
“เจ้าน้อย... เจ้าน้อยลูกแม่” ร่างค่อนข้างอวบของ เจ้านางหลวง หรือ เทวีเจ้าแว่นทิพย์ ตรงมาต้อนรับเจ้าราชบุตรของตนด้วยความดีใจเป็นยิ่งนัก
เจ้าน้อยปิ่นเมืองเองก็รีบรุดสาวเท้าเข้าไปหามารดา ทรุดตัวลงกราบแทบเท้า เจ้านางหลวงแว่นทิพย์รั้งร่างของบุตรชายให้ลุกขึ้น แล้วทั้งคู่ก็โอบกอดกัน
“แม่ดีใจเหลือเกินที่เจ้าน้อยกลับมาเสียที” ผู้เป็นมารดาเอ่ยเสียงเครือ
“ลูกก็ดีใจนักที่ได้กลับมาบ้านเรา แล้วนี่เจ้าพ่อเป็นอย่างไรบ้างเจ้าแม่” เจ้าน้อยปิ่นเมืองถามถึงอาการผู้เป็นบิดาในตอนท้าย
“ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยเจ้าน้อย แม่เองใจไม่ดีเลย” เจ้านางหลวงที่คอยเฝ้าอาการพระสวามีอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดเอ่ยขึ้น
ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น นับแต่เจ้าหลวงแสนเมืองจายล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว ภายในคุ้มหลวงจึงมีแต่กระไอความวิตกทุกข์ร้อนครอบคลุมไปทั่ว
เจ้าน้อยปิ่นเมืองผละจากอกมารดา ค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปยังแท่นบรรทมที่ตั้งอยู่กลางห้อง เขาแหวกผ้าม่านออกอย่างเบามือ ภาพตรงหน้าทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มถึงกับนิ่งงัน เจ้าพ่อ ของเขานอนหลับตานิ่งไม่รับรู้สิ่งใดๆ อยู่บนนั้น
ปกติเจ้าหลวงแสนเมืองจายมีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ มาบัดนี้กลับผอมกะหร่องจนเห็นกระดูก ใบหน้าที่เคยเต็มอิ่มสมบูรณ์ ดังคนกินดีอยู่ดีทั่วไป กลับซูบตอบไม่มีเค้าโครงเดิมเหลืออยู่เลย ผมยาวสีดอกเลานั้นก็แห้งดังซังหญ้าในฤดูแล้ง
“เจ้าพ่อ ลูกกลับมาแล้ว” เสียงที่เปล่งออกมาสั่นไหวตามแรงอารมณ์สั่นสะเทือนข้างในอก เจ้าราชบุตรหนุ่มพนมมือกราบลงบนอกของเจ้าพ่อ ก่อนเอื้อมไปจับมือผอมเกร็งที่ไม่ไหวติงแล้วบีบเบาๆ
“เจ้าพ่ออย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะ ลูกจะหาหนทางมาบำบัดรักษาเจ้าพ่อให้จงได้ เจ้าพ่อต้องอยู่ต่อไป ได้โปรดอย่าทิ้งลูก อย่าทิ้งเจ้าแม่ อย่าทิ้งชาวเมืองสีปันจาไป แข็งใจเอาไว้นะเจ้าพ่อ” พร้อมรำพัน น้ำตาของลูกผู้ชายรินไหลลงมาอย่างไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้
“แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วเจ้าน้อย แม่กลัวนัก กลัวเหลือเกินว่าเจ้าพ่อจะจากเราไป... ” เจ้านางหลวงแว่นทิพย์เอ่ยขึ้นผสมเสียงสะอื้นไห้
ทำให้เจ้าน้อยปิ่นเมืองต้องรีบปาดน้ำตาทิ้ง และบอกกับตัวเองว่า เขาจะต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด เพราะตอนนี้เขาเท่านั้นที่เป็นความพึ่งพิงของทุกคน ก่อนจะหันมาทางมารดาและโอบกอดร่างสั่นเทานั้นเอาไว้อีกครั้ง
“เจ้าแม่ทำใจดีๆ เอาไว้เถิด ลูกเข้าใจดีว่าที่ผ่านมาเจ้าแม่ต้องแบกรับสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมายเพียงใด ลูกกราบขอสูมาอภัยที่มิอาจแบ่งเบาเจ้าแม่ได้” เขาปลอบพร้อมขออภัยอยู่ในที ด้วยเข้าใจดีว่ามารดาต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้างตลอดเวลานับจากบิดาล้มป่วยลง
“อย่าโทษตัวเองเลยเจ้าน้อย แม่ต่างหากที่ผิด ไม่ยอมให้คนส่งข่าวไปบอกเจ้าน้อยตั้งแต่แรก แม่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้” เจ้านางหลวงใช้ผ้าสไบเช็ดน้ำตาที่รินไหล
“ลูกเข้าใจการตัดสินใจของเจ้าแม่และทุกคนดี ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการหาหนทางบำบัดรักษาเจ้าพ่อ ลูกจะพยายามหาหนทางให้ได้ในเร็ววันนี้ เจ้าแม่อย่าได้กังวล” เจ้านางหลวงแว่นทิพย์พยักหน้า
ดวงตาคู่นั้นของเจ้านางหลวงมีประกายแห่งความหวังขึ้นมา ไม่ว่าสิ่งที่บุตรชายกล่าวมาจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่หัวใจก็อุ่นขึ้นมากนัก เพราะมีคนร่วมแบ่งเบาความทุกข์กังวลเพิ่มขึ้นมาอีกคนนั่นเอง
“แล้วนี่เจ้าย่ากับเจ้านางน้อยไปไหนเสียเล่า” เจ้าน้อยปิ่นเมืองถามถึงคนสำคัญในครอบครัวอีกสองคน ที่เขายังไม่เห็นหน้าเลยตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในคุ้มหลวง และมันก็เป็นเรื่องผิดปกติยิ่งนัก
“ไปทำบุญที่อารามหลวงกัน เห็นว่าคืนนี้จะค้างที่นั่นด้วย คงจะกลับมาตอนสายๆ พรุ่งนี้ ที่พึ่งทางใจของเราก็มีเพียงเท่านั้นแหล่ะลูกเอ๋ย”
“ลูกเข้าใจ วันหน้าเราหาเวลาไปทำบุญร่วมกันที่อารามหลวง หรือไม่ก็นิมนต์พระมาเทศน์ที่คุ้มหลวงด้วยดีกว่า จะได้ต่อบุญกุศลให้กับเจ้าพ่อไปด้วย” เจ้านางหลวงยิ้มน้อยๆ ให้เจ้าราชบุตรอย่างเห็นด้วย เพียงแค่เห็นรอยยิ้มบางของมารดาก็ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มรู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง
จากนั้นทั้งสองแม่ลูกก็เรียกหมอหลวง และคนสนิทเจ้าราชบุตรเข้ามา ร่วมพูดคุยกันถึงเรื่องราวการล้มป่วยของเจ้าหลวง ผู้เป็นเจ้าฟ้ามหาชีวิตของเวียงสีปันจา พร้อมทั้งปรึกษาหารือเรื่องแนวทางการรักษาต่างๆ
*-*-*-*-*-*
เดิมทีนั้นเจ้าราชบุตรแห่งสีปันจา ได้เดินทางไกลไปศึกษาวิชาต่างๆ ตามหลักสูตรของลูกกษัตริย์ทั่วไปยังต่างเมืองตั้งแต่ยังเด็ก
จากเมืองหนึ่ง ไปยังอีกเมืองหนึ่ง จนกระทั่งเติบใหญ่ได้ปักหลักร่ำเรียนวิชาการต่างๆ อยู่ที่บ้านพี่เมืองน้องอย่าง เหราดิถี แล้วจึงกลับมาช่วยงานเจ้าหลวงอยู่ระยะหนึ่ง
แต่เพราะตำแหน่ง ‘เจ้าราชบุตร’ ผู้ที่จะสืบราชสมบัติและราชบัลลังก์ของสีปันจาองค์ต่อไป ทำให้เขาต้องถูกส่งตัวไปยังเมืองเหราดิถีอีกครั้ง เพื่อศึกษาวิชาทางด้านการปกครองต่างๆ เมื่อสองปีที่ผ่านมา กับครูบาอาจารย์ซึ่งเก่งกาจที่สุดในเมืองนี้ก็ว่าได้
ก่อนจะถูกเรียกตัวกลับมาในครั้งนี้ เพราะเจ้าหลวงแสนเมืองจายได้ล้มป่วยลงเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้ว ด้วยอาการหมดแรง เบื่ออาหาร และประคองตัวเองแทบไม่ไหว ร่างกายก็ซูบโทรมไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม
ทางเจ้านางหลวงแว่นทิพย์ไม่ยอมส่งข่าวให้บุตรชายตั้งแต่แรกเพราะคิดว่าคงไม่ร้ายแรง อีกทั้งเจ้าหลวงเองตอนที่ยังมีสติก็ได้ห้ามเอาไว้ เพราะกลัวบุตรชายจะเป็นห่วงจนเรียนไม่สำเร็จ
แต่พอเจ้าหลวงสิ้นสติไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าต้องรีบส่งข่าวไปถึงเจ้าราชบุตร เพื่อให้ชายหนุ่มรีบกลับมาในวาระสุดท้ายของเจ้าพ่อ ซึ่งอาจจะมาถึงในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้ เจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงรีบเดินทางกลับมาในที่สุด
แม้สภาพของบิดาจะทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มใจหาย เพราะอาการของเจ้าพ่อแปลกประหลาดเกินกว่าหมอใดๆ จะวินิจฉัยได้ ต่างได้แต่เพียงนั่งเฝ้ากันไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย
แต่ทว่าในความมืดมนเจ้าราชบุตรหนุ่มยังจุดไฟให้กับความหวังของตัวเอง เขาจะไม่ยอมแพ้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ชายหนุ่มได้เสวนากับ พ่อครูสิงห์แก้ว อาจารย์ผู้เก่งกาจ
ซึ่งเคยประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้กับเจ้าหลวงแสนเมืองจาย บิดาของเขา และตัวเจ้าราชบุตรปิ่นเมืองเองที่เมืองเหราดิถี พ่อครูสิงห์แก้วบอกว่าเจ้าพ่อไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่ถูกบดบังด้วยอาคมร้ายแรงจากผู้ไม่หวังดี
แต่หากแก้ไม่ทันจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เจ้าน้อยปิ่นเมืองได้ร้องขอพ่อครูที่เคารพรัก ซึ่งมีความหยั่งรู้ และมีบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่นให้ช่วยหาหนทางรักษา แต่พ่อครูของเขาได้แต่ถอนหายใจพลางบอกว่า
‘ข้าเองก็กำลังพยายามอยู่ เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายได้ในตอนนี้ เอาเป็นว่าข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดในส่วนของข้า เจ้ากลับไปดูแลเจ้าพ่อของเจ้าก่อนเถิด หากหนทางใดสามารถรักษาเจ้าพ่อของเจ้าได้ มันจะปรากฏตรงหน้าเจ้า
‘จงมองให้เห็นแล้วเปิดใจรับ มันจะยิ่งใหญ่กว่ามนตราใดๆ อย่างที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน มันคือความรัก จิตวิญญาณของบรรพบุรุษของเจ้านั่นเอง ที่จะปกป้อง คุ้มครองตัวเจ้า ครอบครัวเจ้า ประชาชน บ้านเมืองของเจ้า จงจำเอาไว้’
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อครูสิงห์แก้วพูดถึงคืออะไร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถ้อยคำเหล่านั้นก็ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มมีความหวัง
ซึ่งเขาก็จะหวังไปจนถึงวินาทีสุดท้าย หากที่สุดไม่สามารถทำสิ่งใดได้ แล้วเจ้าพ่อของเขาจากไปจริงๆ เจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงจะยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
*-*-*-*-*-*
ดึกแล้ว... เจ้าของร่างสูงสง่าผ่าเผย ก้าวไปตามทางเดินเท้าปูด้วยก้อนศิลาแลง มายังเรือนส่วนตัวซึ่งอยู่ด้านหลังพร้อมกับคนสนิท ท่ามกลางแสงสว่างจากคบไฟที่ตามไว้เป็นจุดๆ ตรงริมทางเดิน
กลิ่นดอกไม้กลางคืนกรุ่นอยู่ในบรรยากาศ เสียงแมลงกลางคืนกำลังร้องแข่งกัน แต่พอคนเดินผ่านมันก็เงียบเสียง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากรีดเสียงต่อเมื่อคนเดินผ่านไปแล้ว พอถึงบันไดเรือนยกพื้นสูงเพียงแค่ระดับเอว บ่าวหญิงคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามาเพื่อทำหน้าที่ล้างเท้าให้ แต่ชายหนุ่มยกมือห้าม
“ไม่ต้อง เราทำเองได้ เจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด นันตา เตวิน คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องคอยเฝ้าเวรยามหรอก มอบหมายให้พวกทหารคนอื่นทำแทนเสีย วันนี้เหนื่อยกันมานักแล้ว แยกย้ายกันไปพักเถิด” ตอนท้ายหันมาทางคนสนิทที่รอรับใช้ใกล้ชิด ซึ่งพำนักพักพิงอยู่ในเรือนบริวารของตนนั่นเอง ทั้งสองจึงรับคำ จากนั้นเจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงจัดการตักน้ำจากตุ่มข้างบันไดมาล้างเท้า แล้วก้าวขึ้นบันไดไป
ร่างสูงสง่าก้าวผ่านชานเรือนที่เปิดโล่ง ไปยังโถงเรือนด้านใน เรือนพักของเจ้าราชบุตรหนุ่มค่อนข้างเงียบ เพราะเขาไม่อยู่เรือนเสียนาน จึงมีแต่พวกบ่าวไพร่ผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าอยู่อีกด้าน
จนกระทั่งถึงห้องนอนซึ่งอยู่ด้านในสุด ในห้องนั้นจุดเทียนเล่มใหญ่ และตะเกียงน้ำมันมะพร้าวให้แสงสว่างอยู่หลายจุด บ่าวหญิงทั้งสองยังคงนั่งเฝ้าร่างที่อยู่บนเตียงตามคำสั่ง
“นางฟื้นขึ้นมาหรือยัง” เจ้าราชบุตรหนุ่มถาม
“เจ้า นางฟื้นเมื่อหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา แต่ก็มิได้พูดคุยอันใด ข้าเจ้าได้แต่ป้อนน้ำให้ แล้วนางก็หลับลงไปอีกครั้งเจ้า”
“เช่นนั้นรึ ดึกแล้วพวกเจ้าไปนอนเสียเถิด เดี๋ยวทางนี้เราจัดการเอง คืนนี้นางคงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกหรอก อ้อ... แล้วอย่าได้แพร่งพรายเรื่องแม่ญิงคนนี้กับผู้ใดเป็นอันขาด” ชายหนุ่มสั่ง
ปิ่นแก้วนครา ตอน สู่เวียงสีปันจา (2) โดย พิริตา
หมู่เรือนกาแลยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้สักทองสิบกว่าหลังคาเรือน มีเรือนแฝดหลังใหญ่เป็นประธานอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนเรือนที่มีขนาดย่อมกว่าอยู่ทางด้านหลัง
ทั้งหมดเป็นหมู่เรือนซึ่งแยกส่วนต่างๆ ออกจากกันอย่างชัดเจน แต่ตัวเรือนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้จากบริเวณส่วนที่เป็นชาน ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมต่อทุกเรือนเข้าด้วยกัน จากเรือนหนึ่งไปยังเรือนหนึ่งและอีกเรือนต่อๆ กันไป
ทุกหลังคาเรือนมุงด้วยไม้แป้นเกล็ด ตรงยอดจั่วประดับกาแลไม้แกะสลักอ่อนโค้งงดงาม เชิงชายเองก็แกะสลักลวดลายฉลุรายรอบ
ตัวเรือนบางด้านประดับด้วยรูปแกะสลักสัตว์ชั้นสูงอย่างช้าง ราชสีห์ฯ เพื่อบ่งบอกยศถาบรรดาศักดิ์เจ้าของหมู่เรือนนี้ ตามแบบช่างฝีมือประณีตของเวียงสีปันจา
ร่างสูงสง่าของเจ้าราชบุตรก้าวมาถึงข่วงบ้าน บ่าวไพร่ที่กำลังเดินผ่านไปมายอบตัวแสดงความเคารพ จนกระทั่งเขาก้าวขึ้นบันไดของเรือนแฝดหลังใหญ่
ชานหน้าเรือนที่เปิดโล่งมี *3ฮ้านน้ำ อยู่ด้านข้าง ส่วนของเติ๋นหรือโถงเรือนที่เปิดโล่งเช่นกันแต่อยู่ภายใต้ชายคา พื้นไม้ยังคงวาววับเพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากบ่าวไพร่
สิ่งที่ปรากฏในสายตาของชายหนุ่มยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หัวใจหวั่นไหวร้อนรุ่มของเขาในวันนี้ต่างหาก ที่มันทำให้ทุกอย่างดูแปลกตาไป
“เจ้าราชบุตรมาถึงแล้วหรือเจ้า” หมอหลวงที่พึ่งออกมาจากห้องบรรทมของเจ้าหลวง ซึ่งอยู่ด้านในรีบยอบตัวลงขณะเอ่ย
“เจ้าพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอหลวง” เจ้าของร่างสูงสง่าถามขณะชะลอเท้า
“เอ่อ... ข้าน้อยว่าเจ้าน้อยเข้าไปดูเองจะดีกว่าเจ้า” หมอหลวงตอบอย่างกริ่งเกรง พลางก้มหน้าหลบสายตาคมกล้า เพียงเท่านั้นเจ้าน้อยปิ่นเมืองก็เร่งสาวเท้าก้าวเข้าไปยังห้องที่ เจ้าหลวงแสนเมืองจายไจยวงษ์สา ทรงพำนักอยู่ในทันที
ในห้องบรรทมขนาดใหญ่ มีหน้าต่างรายรอบเปิดไว้เพื่อถ่ายเทอากาศ แท่นบรรทมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลางห้อง ผ้าม่านบางเบาทิ้งตัวลงมาจากบนเพดานคลุมแท่นใหญ่นั้นเอาไว้ กั้นกลางระหว่างผู้ซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นกับผู้คนที่คอยเฝ้าไข้อยู่รายรอบข้าง
ตรงโต๊ะข้างแท่นบรรทมมีสตรีร่างค่อนข้างอวบ วัยประมาณหกสิบกว่าปีต้นๆ สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน สาบเสื้อป้ายไปทางด้านขวาปักด้วยไหมทองเป็นรูปดอกไม้ นุ่งผ้าซิ่นไหมลายดอกยาวกรอมเท้า
ห่มสไบปักลวดลายงดงามไม่แพ้กัน ผมเกล้ามวยไว้ตรงท้ายทอยประดับด้วยปิ่นทอง อีกทั้งเครื่องประดับบนลำคอ หู ข้อมือ และนิ้วก็ดูมีราคาไม่ต่างกัน บ่งบอกถึงสถานะที่เป็นอยู่กับผู้ที่พึ่งพบเห็นได้เป็นอย่างดี
“เจ้าแม่” เจ้าราชบุตรเรียก
เจ้าของร่างที่ง่วนอยู่กับการจัดข้าวของบนโต๊ะ หันมามองทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย บ่าวไพร่ซึ่งนั่งอยู่บนพื้นต่างแสดงความเคารพผู้มาใหม่
ก่อนที่เจ้าราชบุตรจะยกมือเป็นสัญญาณให้กับคนสนิททั้งสอง ช่วยพาบ่าวไพร่เหล่านั้นออกไปจากห้องจนหมด เพราะต้องการอยู่เพียงลำพังกับมารดานั่นเอง
“เจ้าน้อย... เจ้าน้อยลูกแม่” ร่างค่อนข้างอวบของ เจ้านางหลวง หรือ เทวีเจ้าแว่นทิพย์ ตรงมาต้อนรับเจ้าราชบุตรของตนด้วยความดีใจเป็นยิ่งนัก
เจ้าน้อยปิ่นเมืองเองก็รีบรุดสาวเท้าเข้าไปหามารดา ทรุดตัวลงกราบแทบเท้า เจ้านางหลวงแว่นทิพย์รั้งร่างของบุตรชายให้ลุกขึ้น แล้วทั้งคู่ก็โอบกอดกัน
“แม่ดีใจเหลือเกินที่เจ้าน้อยกลับมาเสียที” ผู้เป็นมารดาเอ่ยเสียงเครือ
“ลูกก็ดีใจนักที่ได้กลับมาบ้านเรา แล้วนี่เจ้าพ่อเป็นอย่างไรบ้างเจ้าแม่” เจ้าน้อยปิ่นเมืองถามถึงอาการผู้เป็นบิดาในตอนท้าย
“ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยเจ้าน้อย แม่เองใจไม่ดีเลย” เจ้านางหลวงที่คอยเฝ้าอาการพระสวามีอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดเอ่ยขึ้น
ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น นับแต่เจ้าหลวงแสนเมืองจายล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว ภายในคุ้มหลวงจึงมีแต่กระไอความวิตกทุกข์ร้อนครอบคลุมไปทั่ว
เจ้าน้อยปิ่นเมืองผละจากอกมารดา ค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปยังแท่นบรรทมที่ตั้งอยู่กลางห้อง เขาแหวกผ้าม่านออกอย่างเบามือ ภาพตรงหน้าทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มถึงกับนิ่งงัน เจ้าพ่อ ของเขานอนหลับตานิ่งไม่รับรู้สิ่งใดๆ อยู่บนนั้น
ปกติเจ้าหลวงแสนเมืองจายมีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ มาบัดนี้กลับผอมกะหร่องจนเห็นกระดูก ใบหน้าที่เคยเต็มอิ่มสมบูรณ์ ดังคนกินดีอยู่ดีทั่วไป กลับซูบตอบไม่มีเค้าโครงเดิมเหลืออยู่เลย ผมยาวสีดอกเลานั้นก็แห้งดังซังหญ้าในฤดูแล้ง
“เจ้าพ่อ ลูกกลับมาแล้ว” เสียงที่เปล่งออกมาสั่นไหวตามแรงอารมณ์สั่นสะเทือนข้างในอก เจ้าราชบุตรหนุ่มพนมมือกราบลงบนอกของเจ้าพ่อ ก่อนเอื้อมไปจับมือผอมเกร็งที่ไม่ไหวติงแล้วบีบเบาๆ
“เจ้าพ่ออย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะ ลูกจะหาหนทางมาบำบัดรักษาเจ้าพ่อให้จงได้ เจ้าพ่อต้องอยู่ต่อไป ได้โปรดอย่าทิ้งลูก อย่าทิ้งเจ้าแม่ อย่าทิ้งชาวเมืองสีปันจาไป แข็งใจเอาไว้นะเจ้าพ่อ” พร้อมรำพัน น้ำตาของลูกผู้ชายรินไหลลงมาอย่างไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้
“แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วเจ้าน้อย แม่กลัวนัก กลัวเหลือเกินว่าเจ้าพ่อจะจากเราไป... ” เจ้านางหลวงแว่นทิพย์เอ่ยขึ้นผสมเสียงสะอื้นไห้
ทำให้เจ้าน้อยปิ่นเมืองต้องรีบปาดน้ำตาทิ้ง และบอกกับตัวเองว่า เขาจะต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด เพราะตอนนี้เขาเท่านั้นที่เป็นความพึ่งพิงของทุกคน ก่อนจะหันมาทางมารดาและโอบกอดร่างสั่นเทานั้นเอาไว้อีกครั้ง
“เจ้าแม่ทำใจดีๆ เอาไว้เถิด ลูกเข้าใจดีว่าที่ผ่านมาเจ้าแม่ต้องแบกรับสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมายเพียงใด ลูกกราบขอสูมาอภัยที่มิอาจแบ่งเบาเจ้าแม่ได้” เขาปลอบพร้อมขออภัยอยู่ในที ด้วยเข้าใจดีว่ามารดาต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้างตลอดเวลานับจากบิดาล้มป่วยลง
“อย่าโทษตัวเองเลยเจ้าน้อย แม่ต่างหากที่ผิด ไม่ยอมให้คนส่งข่าวไปบอกเจ้าน้อยตั้งแต่แรก แม่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้” เจ้านางหลวงใช้ผ้าสไบเช็ดน้ำตาที่รินไหล
“ลูกเข้าใจการตัดสินใจของเจ้าแม่และทุกคนดี ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการหาหนทางบำบัดรักษาเจ้าพ่อ ลูกจะพยายามหาหนทางให้ได้ในเร็ววันนี้ เจ้าแม่อย่าได้กังวล” เจ้านางหลวงแว่นทิพย์พยักหน้า
ดวงตาคู่นั้นของเจ้านางหลวงมีประกายแห่งความหวังขึ้นมา ไม่ว่าสิ่งที่บุตรชายกล่าวมาจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่หัวใจก็อุ่นขึ้นมากนัก เพราะมีคนร่วมแบ่งเบาความทุกข์กังวลเพิ่มขึ้นมาอีกคนนั่นเอง
“แล้วนี่เจ้าย่ากับเจ้านางน้อยไปไหนเสียเล่า” เจ้าน้อยปิ่นเมืองถามถึงคนสำคัญในครอบครัวอีกสองคน ที่เขายังไม่เห็นหน้าเลยตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในคุ้มหลวง และมันก็เป็นเรื่องผิดปกติยิ่งนัก
“ไปทำบุญที่อารามหลวงกัน เห็นว่าคืนนี้จะค้างที่นั่นด้วย คงจะกลับมาตอนสายๆ พรุ่งนี้ ที่พึ่งทางใจของเราก็มีเพียงเท่านั้นแหล่ะลูกเอ๋ย”
“ลูกเข้าใจ วันหน้าเราหาเวลาไปทำบุญร่วมกันที่อารามหลวง หรือไม่ก็นิมนต์พระมาเทศน์ที่คุ้มหลวงด้วยดีกว่า จะได้ต่อบุญกุศลให้กับเจ้าพ่อไปด้วย” เจ้านางหลวงยิ้มน้อยๆ ให้เจ้าราชบุตรอย่างเห็นด้วย เพียงแค่เห็นรอยยิ้มบางของมารดาก็ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มรู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง
จากนั้นทั้งสองแม่ลูกก็เรียกหมอหลวง และคนสนิทเจ้าราชบุตรเข้ามา ร่วมพูดคุยกันถึงเรื่องราวการล้มป่วยของเจ้าหลวง ผู้เป็นเจ้าฟ้ามหาชีวิตของเวียงสีปันจา พร้อมทั้งปรึกษาหารือเรื่องแนวทางการรักษาต่างๆ
*-*-*-*-*-*
เดิมทีนั้นเจ้าราชบุตรแห่งสีปันจา ได้เดินทางไกลไปศึกษาวิชาต่างๆ ตามหลักสูตรของลูกกษัตริย์ทั่วไปยังต่างเมืองตั้งแต่ยังเด็ก
จากเมืองหนึ่ง ไปยังอีกเมืองหนึ่ง จนกระทั่งเติบใหญ่ได้ปักหลักร่ำเรียนวิชาการต่างๆ อยู่ที่บ้านพี่เมืองน้องอย่าง เหราดิถี แล้วจึงกลับมาช่วยงานเจ้าหลวงอยู่ระยะหนึ่ง
แต่เพราะตำแหน่ง ‘เจ้าราชบุตร’ ผู้ที่จะสืบราชสมบัติและราชบัลลังก์ของสีปันจาองค์ต่อไป ทำให้เขาต้องถูกส่งตัวไปยังเมืองเหราดิถีอีกครั้ง เพื่อศึกษาวิชาทางด้านการปกครองต่างๆ เมื่อสองปีที่ผ่านมา กับครูบาอาจารย์ซึ่งเก่งกาจที่สุดในเมืองนี้ก็ว่าได้
ก่อนจะถูกเรียกตัวกลับมาในครั้งนี้ เพราะเจ้าหลวงแสนเมืองจายได้ล้มป่วยลงเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้ว ด้วยอาการหมดแรง เบื่ออาหาร และประคองตัวเองแทบไม่ไหว ร่างกายก็ซูบโทรมไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม
ทางเจ้านางหลวงแว่นทิพย์ไม่ยอมส่งข่าวให้บุตรชายตั้งแต่แรกเพราะคิดว่าคงไม่ร้ายแรง อีกทั้งเจ้าหลวงเองตอนที่ยังมีสติก็ได้ห้ามเอาไว้ เพราะกลัวบุตรชายจะเป็นห่วงจนเรียนไม่สำเร็จ
แต่พอเจ้าหลวงสิ้นสติไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าต้องรีบส่งข่าวไปถึงเจ้าราชบุตร เพื่อให้ชายหนุ่มรีบกลับมาในวาระสุดท้ายของเจ้าพ่อ ซึ่งอาจจะมาถึงในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้ เจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงรีบเดินทางกลับมาในที่สุด
แม้สภาพของบิดาจะทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มใจหาย เพราะอาการของเจ้าพ่อแปลกประหลาดเกินกว่าหมอใดๆ จะวินิจฉัยได้ ต่างได้แต่เพียงนั่งเฝ้ากันไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย
แต่ทว่าในความมืดมนเจ้าราชบุตรหนุ่มยังจุดไฟให้กับความหวังของตัวเอง เขาจะไม่ยอมแพ้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ชายหนุ่มได้เสวนากับ พ่อครูสิงห์แก้ว อาจารย์ผู้เก่งกาจ
ซึ่งเคยประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้กับเจ้าหลวงแสนเมืองจาย บิดาของเขา และตัวเจ้าราชบุตรปิ่นเมืองเองที่เมืองเหราดิถี พ่อครูสิงห์แก้วบอกว่าเจ้าพ่อไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่ถูกบดบังด้วยอาคมร้ายแรงจากผู้ไม่หวังดี
แต่หากแก้ไม่ทันจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เจ้าน้อยปิ่นเมืองได้ร้องขอพ่อครูที่เคารพรัก ซึ่งมีความหยั่งรู้ และมีบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่นให้ช่วยหาหนทางรักษา แต่พ่อครูของเขาได้แต่ถอนหายใจพลางบอกว่า
‘ข้าเองก็กำลังพยายามอยู่ เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายได้ในตอนนี้ เอาเป็นว่าข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดในส่วนของข้า เจ้ากลับไปดูแลเจ้าพ่อของเจ้าก่อนเถิด หากหนทางใดสามารถรักษาเจ้าพ่อของเจ้าได้ มันจะปรากฏตรงหน้าเจ้า
‘จงมองให้เห็นแล้วเปิดใจรับ มันจะยิ่งใหญ่กว่ามนตราใดๆ อย่างที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน มันคือความรัก จิตวิญญาณของบรรพบุรุษของเจ้านั่นเอง ที่จะปกป้อง คุ้มครองตัวเจ้า ครอบครัวเจ้า ประชาชน บ้านเมืองของเจ้า จงจำเอาไว้’
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อครูสิงห์แก้วพูดถึงคืออะไร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถ้อยคำเหล่านั้นก็ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มมีความหวัง
ซึ่งเขาก็จะหวังไปจนถึงวินาทีสุดท้าย หากที่สุดไม่สามารถทำสิ่งใดได้ แล้วเจ้าพ่อของเขาจากไปจริงๆ เจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงจะยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
*-*-*-*-*-*
ดึกแล้ว... เจ้าของร่างสูงสง่าผ่าเผย ก้าวไปตามทางเดินเท้าปูด้วยก้อนศิลาแลง มายังเรือนส่วนตัวซึ่งอยู่ด้านหลังพร้อมกับคนสนิท ท่ามกลางแสงสว่างจากคบไฟที่ตามไว้เป็นจุดๆ ตรงริมทางเดิน
กลิ่นดอกไม้กลางคืนกรุ่นอยู่ในบรรยากาศ เสียงแมลงกลางคืนกำลังร้องแข่งกัน แต่พอคนเดินผ่านมันก็เงียบเสียง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากรีดเสียงต่อเมื่อคนเดินผ่านไปแล้ว พอถึงบันไดเรือนยกพื้นสูงเพียงแค่ระดับเอว บ่าวหญิงคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามาเพื่อทำหน้าที่ล้างเท้าให้ แต่ชายหนุ่มยกมือห้าม
“ไม่ต้อง เราทำเองได้ เจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด นันตา เตวิน คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องคอยเฝ้าเวรยามหรอก มอบหมายให้พวกทหารคนอื่นทำแทนเสีย วันนี้เหนื่อยกันมานักแล้ว แยกย้ายกันไปพักเถิด” ตอนท้ายหันมาทางคนสนิทที่รอรับใช้ใกล้ชิด ซึ่งพำนักพักพิงอยู่ในเรือนบริวารของตนนั่นเอง ทั้งสองจึงรับคำ จากนั้นเจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงจัดการตักน้ำจากตุ่มข้างบันไดมาล้างเท้า แล้วก้าวขึ้นบันไดไป
ร่างสูงสง่าก้าวผ่านชานเรือนที่เปิดโล่ง ไปยังโถงเรือนด้านใน เรือนพักของเจ้าราชบุตรหนุ่มค่อนข้างเงียบ เพราะเขาไม่อยู่เรือนเสียนาน จึงมีแต่พวกบ่าวไพร่ผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าอยู่อีกด้าน
จนกระทั่งถึงห้องนอนซึ่งอยู่ด้านในสุด ในห้องนั้นจุดเทียนเล่มใหญ่ และตะเกียงน้ำมันมะพร้าวให้แสงสว่างอยู่หลายจุด บ่าวหญิงทั้งสองยังคงนั่งเฝ้าร่างที่อยู่บนเตียงตามคำสั่ง
“นางฟื้นขึ้นมาหรือยัง” เจ้าราชบุตรหนุ่มถาม
“เจ้า นางฟื้นเมื่อหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา แต่ก็มิได้พูดคุยอันใด ข้าเจ้าได้แต่ป้อนน้ำให้ แล้วนางก็หลับลงไปอีกครั้งเจ้า”
“เช่นนั้นรึ ดึกแล้วพวกเจ้าไปนอนเสียเถิด เดี๋ยวทางนี้เราจัดการเอง คืนนี้นางคงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกหรอก อ้อ... แล้วอย่าได้แพร่งพรายเรื่องแม่ญิงคนนี้กับผู้ใดเป็นอันขาด” ชายหนุ่มสั่ง