ปี 2557 ประเทศไทยมีแรงงานภาคเกษตรจำนวนประมาณ 12.73 ล้านคน ลงลงลงมาเรื่อยๆ จากปีก่อนหน้า โดยในปี 2554 มีแรงงานภาคเกษตรอยู่ประมาณ 14.88 ล้านคน เท่ากับว่า ปัจจุบัน แรงงานภาคเกษตรหายไปประมาณ 2 แสนคน
เจ้าสัวธนินท์เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปอีสาน คนหนุ่มสาวหายหมด ไม่ค่อยมีใครอยากกลับมาทำอาชีพเกษตรกร เพราะลำบาก ความเสี่ยงสูง
ธรรมชาติของมนุษย์ แน่นอนไม่มีใครอยากจะมาทำอาชีพที่ลำบากและมีความเสี่ยง
เมื่อเก่าไป...แต่ใหม่ไม่มา เกษตรกรที่ยังคงหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินผลิตอาหารให้พวกเราทุกคนจึงแก่ลงทุกวันๆ
จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติพบว่า เมื่อปี 2523 เกษตกรไทยมีอายุเฉลี่ยที่ 33 ปี และมีแนวโน้มอายุมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2550 อายุเฉลี่ยของเกษตรกรเพิ่มขึ้นมาเป็น 51 ปี
จากเดิมที่เป็นวัยกลางคน วันนี้อาจกล่าวได้ว่า ภาคเกษตรไทยกำลังเข้าสู่วัยชรา...
อย่างนี้แล้วคุณลุง คุณป้า ชาวนาชาวไร่ที่เรี่ยวแรงถดถอยลงทุกวันจะสามารถผลิตอาหารพอเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีไปได้นานแค่ไหน?
เราต้องหาทางแก้ไขกันแล้ว...
ถ้าจะให้สามารถผลิตอาหารเลี้ยงประชากรได้มากขึ้น ด้วยจำนวนเกษตรกรที่ลดลง...ทางเลือกที่เจ้าสัวธนินท์พูดถึงก็คือ
สร้างเกษตรกรคนเก่ง (Smart Farmer) ขึ้นมา
ประสบการณ์ของเจ้าสัวบอกว่า คนเราเก่งไม่เท่ากัน...
เจ้าสัวธนินท์เล่าย้อนหลังไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่ไปสอนชาวนาให้เพาะปลูกอย่างถูกวิธีพบว่า ถึงจะเรียนมาเหมือนกันแต่ออกมาเก่งไม่เท่ากัน ชาวนาที่ดินติดกัน ยังปลูกข้าวได้ผลผลิตไม่เท่ากัน ไม่ต่างอะไรจากเด็กนักเรียนที่มีคนสอบได้ที่ 1 และมีคนสอบได้ที่สุดท้าย
ดังนั้นถ้าให้ชาวนาที่ได้ที่ 1 มาปลูกข้าวให้ชาวนาทั้งหมู่บ้าน จากที่ทำได้ผลผลิตสูงเพียงคนเดียว กลายมาเป็นทำให้ได้ผลผลิตสูงทั้งหมู่บ้าน จากนั้นก็แบ่งรายได้กัน แบบนี้น่าจะดีกว่าไหม
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเกษตรกรที่เหลือจะไปทำอะไร?
เกษตรกรที่เหลือสามารถไปทำงานอื่นได้ จะเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิต หรืออุตสาหกรรมการบริการก็ได้แล้วแต่ความถนัดและความชอบ
ถ้าทำอย่างนี้ เขาก็จะมีรายได้ 2 ทาง คือ ส่วนแบ่งรายได้จากผลผลิต และรายได้จากงานอื่นๆ
เกษตรกรคนเก่งได้ใช้ความสามารถเต็มที่
เกษตรกรคนอื่นๆ มีรายได้ 2 ทาง
อุตสาหกรรมมีแรงงานเข้ามาในระบบ
...ทุกคนได้ประโยชน์
ในมุมมองของผู้เขียน การสร้างเกษตรกรคนเก่งนั้น ต้องสร้างเขาให้เก่งทำ คือ มีความรู้เชิงวิชาการเกษตรและสามารถประยุกต์ใช้ได้
และเก่งบริหาร คือ การจัดการต้นทุน-กำไรได้อย่างเหมาะสม เพราะเกษตรกรก็เป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง ถ้าปลูกเก่งอย่างเดียว แต่ไม่เคยคิดถึงต้นทุนเลย ขายขาดทุน ก็อยู่ไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นการบริหารจัดการก็เป็นสิ่งสำคัญ
หากเราสร้างเกษตรกรคนเก่ง (Smart Farmer) ที่ทั้ง “เก่งทำ” และ “เก่งบริหาร” ได้ ต่อไป เกษตรกรคนเก่ง 1 คน ก็จะสามารถขยาย Scale จากไม่กี่สิบไร่ เป็นทำฟาร์มขนาดร้อยไร่ พันไร่ สามารถผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงคนทั้งประเทศได้มากขึ้น
การทำฟาร์มขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ประเทศต่างๆ ในโลกทำกันมานานแล้วและหลายประเทศก็มีแนวโน้มที่จะทำให้มีขนาดใหญ่มากขึ้นด้วย
การทำฟาร์มขนาดใหญ่จะเอื้อให้สามารถนำเทคโนโลยีเครื่องจักรมาช่วยให้การทำการเกษตรมีความแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดความผิดพลาดอันเกิดจากมนุษย์ได้ และเกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale)
เช่น การดำนา ลองนึกภาพว่า ให้คนลงไปหยอดต้นกล้าทีละต้นจะเสียเวลามากขนาดไหน ถ้าทำเองไม่ไหว จ้างคนมาช่วยดำ ก็ต้องเสียค่าจ้างแรงงานเพิ่มอีก แต่ละคนปักดำต้นกล้า ก็เว้นระยะห่างไม่เท่ากัน ห่างเกินไปก็เปลืองที่ ชิดเกินไปข้าวก็ไม่โต แต่ถ้าเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ เอาเครื่องจักรใหญ่มาลง ต้นกล้าเต็มท้องนาเพียงไม่กี่อึดใจ แถมระยะห่างยังสม่ำเสมอกันด้วย
เร็ว เที่ยงตรง แม่นยำ จึงมีประสิทธิภาพมากกว่า...
วันนี้โลกกำลังเปลี่ยน สังคมไทยก็กำลังเปลี่ยน ผู้คนทิ้งไร่ทิ้งนามาหางานทำในเมือง ชาวไร่ชาวนาแก่ลงทุกวันๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า ถึงเวลาที่ภาคเกษตรไทยต้องปรับตัวแล้ว
เปลี่ยนจากภาคเกษตรวัยชรา... มาเป็นเกษตรกรคนเก่งที่แสนกระฉับกระเฉง
ถึงวันนั้นเกษตรกรจะไม่ใช่อาชีพที่ใครๆ ก็ส่ายหน้า แต่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีฐานะไม่แพ้อาชีพอื่นๆ เหมือนกัน
ปล. 1 ขอขอบคุณข้อมูลจาก (1) ธนาคารแห่งประเทศไทย
http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=638&language=th (2) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
http://www.nstda.or.th/news/15430-smartfarmer-camp-2013 และ (3) ธนาคารโลก
http://data.worldbank.org
ปล. 2 เนื้อหาในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดของเจ้าสัวให้กับนักธุรกิจ SMEs และผู้ที่สนใจในด้านนโยบายสาธารณะ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานของตน ดังนั้น ผู้เขียนของดพูดถึงประเด็นขัดแย้งทางสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัว และ CP ในกระทู้นี้ค่ะ ^^
The Side Story
FB:
https://www.facebook.com/Dhaninsidestory
ทางรอดเกษตรไทย...ในยุควัยชรา
เจ้าสัวธนินท์เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปอีสาน คนหนุ่มสาวหายหมด ไม่ค่อยมีใครอยากกลับมาทำอาชีพเกษตรกร เพราะลำบาก ความเสี่ยงสูง
ธรรมชาติของมนุษย์ แน่นอนไม่มีใครอยากจะมาทำอาชีพที่ลำบากและมีความเสี่ยง
เมื่อเก่าไป...แต่ใหม่ไม่มา เกษตรกรที่ยังคงหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินผลิตอาหารให้พวกเราทุกคนจึงแก่ลงทุกวันๆ
จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติพบว่า เมื่อปี 2523 เกษตกรไทยมีอายุเฉลี่ยที่ 33 ปี และมีแนวโน้มอายุมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2550 อายุเฉลี่ยของเกษตรกรเพิ่มขึ้นมาเป็น 51 ปี
จากเดิมที่เป็นวัยกลางคน วันนี้อาจกล่าวได้ว่า ภาคเกษตรไทยกำลังเข้าสู่วัยชรา...
อย่างนี้แล้วคุณลุง คุณป้า ชาวนาชาวไร่ที่เรี่ยวแรงถดถอยลงทุกวันจะสามารถผลิตอาหารพอเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีไปได้นานแค่ไหน?
เราต้องหาทางแก้ไขกันแล้ว...
ถ้าจะให้สามารถผลิตอาหารเลี้ยงประชากรได้มากขึ้น ด้วยจำนวนเกษตรกรที่ลดลง...ทางเลือกที่เจ้าสัวธนินท์พูดถึงก็คือ
สร้างเกษตรกรคนเก่ง (Smart Farmer) ขึ้นมา
ประสบการณ์ของเจ้าสัวบอกว่า คนเราเก่งไม่เท่ากัน...
เจ้าสัวธนินท์เล่าย้อนหลังไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่ไปสอนชาวนาให้เพาะปลูกอย่างถูกวิธีพบว่า ถึงจะเรียนมาเหมือนกันแต่ออกมาเก่งไม่เท่ากัน ชาวนาที่ดินติดกัน ยังปลูกข้าวได้ผลผลิตไม่เท่ากัน ไม่ต่างอะไรจากเด็กนักเรียนที่มีคนสอบได้ที่ 1 และมีคนสอบได้ที่สุดท้าย
ดังนั้นถ้าให้ชาวนาที่ได้ที่ 1 มาปลูกข้าวให้ชาวนาทั้งหมู่บ้าน จากที่ทำได้ผลผลิตสูงเพียงคนเดียว กลายมาเป็นทำให้ได้ผลผลิตสูงทั้งหมู่บ้าน จากนั้นก็แบ่งรายได้กัน แบบนี้น่าจะดีกว่าไหม
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเกษตรกรที่เหลือจะไปทำอะไร?
เกษตรกรที่เหลือสามารถไปทำงานอื่นได้ จะเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิต หรืออุตสาหกรรมการบริการก็ได้แล้วแต่ความถนัดและความชอบ
ถ้าทำอย่างนี้ เขาก็จะมีรายได้ 2 ทาง คือ ส่วนแบ่งรายได้จากผลผลิต และรายได้จากงานอื่นๆ
เกษตรกรคนเก่งได้ใช้ความสามารถเต็มที่
เกษตรกรคนอื่นๆ มีรายได้ 2 ทาง
อุตสาหกรรมมีแรงงานเข้ามาในระบบ
...ทุกคนได้ประโยชน์
ในมุมมองของผู้เขียน การสร้างเกษตรกรคนเก่งนั้น ต้องสร้างเขาให้เก่งทำ คือ มีความรู้เชิงวิชาการเกษตรและสามารถประยุกต์ใช้ได้
และเก่งบริหาร คือ การจัดการต้นทุน-กำไรได้อย่างเหมาะสม เพราะเกษตรกรก็เป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง ถ้าปลูกเก่งอย่างเดียว แต่ไม่เคยคิดถึงต้นทุนเลย ขายขาดทุน ก็อยู่ไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นการบริหารจัดการก็เป็นสิ่งสำคัญ
หากเราสร้างเกษตรกรคนเก่ง (Smart Farmer) ที่ทั้ง “เก่งทำ” และ “เก่งบริหาร” ได้ ต่อไป เกษตรกรคนเก่ง 1 คน ก็จะสามารถขยาย Scale จากไม่กี่สิบไร่ เป็นทำฟาร์มขนาดร้อยไร่ พันไร่ สามารถผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงคนทั้งประเทศได้มากขึ้น
การทำฟาร์มขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ประเทศต่างๆ ในโลกทำกันมานานแล้วและหลายประเทศก็มีแนวโน้มที่จะทำให้มีขนาดใหญ่มากขึ้นด้วย
การทำฟาร์มขนาดใหญ่จะเอื้อให้สามารถนำเทคโนโลยีเครื่องจักรมาช่วยให้การทำการเกษตรมีความแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดความผิดพลาดอันเกิดจากมนุษย์ได้ และเกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale)
เช่น การดำนา ลองนึกภาพว่า ให้คนลงไปหยอดต้นกล้าทีละต้นจะเสียเวลามากขนาดไหน ถ้าทำเองไม่ไหว จ้างคนมาช่วยดำ ก็ต้องเสียค่าจ้างแรงงานเพิ่มอีก แต่ละคนปักดำต้นกล้า ก็เว้นระยะห่างไม่เท่ากัน ห่างเกินไปก็เปลืองที่ ชิดเกินไปข้าวก็ไม่โต แต่ถ้าเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ เอาเครื่องจักรใหญ่มาลง ต้นกล้าเต็มท้องนาเพียงไม่กี่อึดใจ แถมระยะห่างยังสม่ำเสมอกันด้วย
เร็ว เที่ยงตรง แม่นยำ จึงมีประสิทธิภาพมากกว่า...
วันนี้โลกกำลังเปลี่ยน สังคมไทยก็กำลังเปลี่ยน ผู้คนทิ้งไร่ทิ้งนามาหางานทำในเมือง ชาวไร่ชาวนาแก่ลงทุกวันๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า ถึงเวลาที่ภาคเกษตรไทยต้องปรับตัวแล้ว
เปลี่ยนจากภาคเกษตรวัยชรา... มาเป็นเกษตรกรคนเก่งที่แสนกระฉับกระเฉง
ถึงวันนั้นเกษตรกรจะไม่ใช่อาชีพที่ใครๆ ก็ส่ายหน้า แต่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีฐานะไม่แพ้อาชีพอื่นๆ เหมือนกัน
ปล. 1 ขอขอบคุณข้อมูลจาก (1) ธนาคารแห่งประเทศไทย http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=638&language=th (2) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ http://www.nstda.or.th/news/15430-smartfarmer-camp-2013 และ (3) ธนาคารโลก http://data.worldbank.org
ปล. 2 เนื้อหาในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดของเจ้าสัวให้กับนักธุรกิจ SMEs และผู้ที่สนใจในด้านนโยบายสาธารณะ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานของตน ดังนั้น ผู้เขียนของดพูดถึงประเด็นขัดแย้งทางสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัว และ CP ในกระทู้นี้ค่ะ ^^
The Side Story
FB: https://www.facebook.com/Dhaninsidestory