การฝึกฌานโดยกำหนดดวงนิมิตไม่ถูกต้องจริงหรือ และการฝึกเดินจงกลม ตอน 1

การฝึกฌานโดยกำหนดดวงนิมิตไม่ถูกต้องจริงหรือ  และการฝึกเดินจงกลม ตอน 1

             ดังได้เคยกล่าวในตอนที่ผ่าน ๆ มาแล้วว่าการที่จะพิจารณาว่าผู้ฝึกฝนสามารถฝึกได้อยู่ในขั้นใดในเวลาที่ตนฝึกอยู่นี้  จะต้องมีหลักเกณฑ์  มีเกณฑ์ในการพิจารณา  เรารู้แล้วว่าการฝึกสมาธิมีอยู่สองทางที่มนุษย์คิดค้นได้ในปัจจุบันนี้  คือ  ทางหนึ่งคือสมถกรรมฐาน  อีกทางหนึ่งคือวิปัสสนากรรมฐาน  ในส่วนสมถกรรมฐานมนุษย์คิดค้นและฝึกฝนได้มาก่อนวิปัสสนาฌาน  มีด้วยกันแปดชั้น  แต่การฝึกสมถกรรมฐานสามารถฝึกได้โดยไม่ต้องมีวิปัสสนาเป็นปัจจัย  แต่วิปัสสนาฌานต้องมีสมถกรรมฐานเป็นพื้นฐานก่อนเพื่อกำหนดฌานในวิปัสสนาต่อไป  มาถึงตอนนี้อาจมีผู้คัดค้านว่าการฝึกวิปัสสนาฌานโดยไม่ฝึกสมถกรรมฐานก่อนก็สามารถทำได้  นั้น  ก็เป็นความจริง  แต่พระอริยะบุคคลเช่นนี้จะไม่มีอภิญญา  หรืออิทธิฤทธิ์เลย  มาถึงจุดนี้ทำให้เป็นจุดด้อยให้ผู้ที่รู้ความจริงในข้อนี้หาประโยชน์โดยอ้างว่าตนเองเป็นพระอรหันต์อย่างมากมาย  มีอรหันต์อุปโหลก  อรหันต์โกหกมดเท็จเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เรา  ชาวพุทธต้องปรงสังเวชท้อแท้ว่าศาสนาของเราถึงคราวอับจนแล้วหรือ  เช่นนี้  พอเราถามถึงว่าท่านพิจารณาธรรมเช่นไรเขาก็จะตอบได้  แต่จะไม่มีการพลิกแพลงอธิบายตามประสบการณ์จริงได้   เพราะพระธรรมมีบันทึกอยู่ทุกข้อ  และมีเรียนพระกรรมฐานในทางทฤษฎีจนถึงปริญญาโทที่มหาจุฬา  แต่ครั้นให้แสดงอิทธิฤทธิเขาจะอ้างเป็นสองประการ  คือ  ประการหนึ่งอ้างว่าพระพุทธองค์ทรงห้ามไว้แสดงไม่ได้  และ  ผิดศีล  สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อของภิกษุ  อีกประการหนึ่งก็จะอ้างได้ว่าตัวเขาฝึกวิปัสสนามาเป็นพระอรหันต์ที่ไม่มีอิทธิฤทธิ  จึงแสดงฤทธิไม่ได้  ด้วยประการฉะนี้  พวกเราจึงต้องโดนหลอกกันอยู่ตลอดเวลาจนทุกวันนี้  จริง ๆ แล้วในสมัยพุทธการเมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่กับพระสาวกวันหนึ่งเกิดพายุฝนหนักมีน้ำป่าไหลหลากมาจะท่วมที่พักของพระพุทธองค์  ทรงเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้น้ำจะท่วมที่พักอาจทำให้พระสาวกถูกน้ำท่วมเป็นอันตรายถึงชีวิตได้  พระองค์จึงทรงให้พระควัมปติไปเปลี่ยนทางน้ำให้ไหลไปทางอื่นก็พ้นจากอันตรายในคราวนั้นได้  อีกคราวหนึ่งในการเดินทางก็ทรงให้พระโมคคัลลาน  ทรงใช้อิทธิฤทธิกำหลาบพยานาคที่ทำฤทธิขวางหนทางเสด็จ  และมีปรากฏหลายครั้งหลายคราวแต่ด้วยเหตุผลง่าย ๆ  ที่กล่าวแล้วเหตุผลต่าง ๆ  ก็ไร้ความหมาย

          ทีนี้มาถึงดวงนิมิตในพระกรรมฐาน  เราเข้าใจแล้วว่าดวงนิมิตในพระกรรมฐานมีอยู่สามลักษณะ  คือ  ดวงอุคคหนิมิต   ดวงปฏิภาคนิมิต  และดวงฌาน  อีกทั้งในสมาปัชชนวสี  ก็กล่าวถึงปฏิภาคนิมิตไว้โดยชัดเจน  ว่าชำนาญในการยกดวงฌานจากดวงปฏิภาคได้โดยไม่เนิ่นช้า  หากท่านไม่มีดวงนิมิตแล้วจะเข้าสู่ดวงปฏิภาคแล้วจะยกเข้าสู่ดวงฌานได้อย่างไร  และกรรมฐานทั้งหมดทุกวิธีการสำเร็จต้องมีฌาน  ไม่ยกเว้นแม้วิปัสสนาฌานก็มีฌานเช่นกัน  ถ้าท่านบอกว่ายังไม่เห็นฌานในวิปัสสนาก็แสดงว่าท่านยังไม่สำเร็จ  เพราะวิปัสสนา  นั้น  มีถึงห้าฌานที่จะต้องกำหนดพร้อมกันจึงจะได้   การฝึกโดยกำหนดนิมิตเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการฝึกฌานการกำหนดนิมิตไม่ผิด  ความผิดมีอยู่สองอย่าง  คือ  กำหนดไม่ได้แล้วบอกว่ากำหนดได้  กับทิ้งดวงนิมิตในเวลาที่ไม่ควรจะทิ้ง  เพราะเข้าใจว่าดวงนิมิตนี้ไม่เที่ยงไม่ยอมกำหนดให้บังเกิดดวงนิมิต  แท้จริงแล้วดวงนิมิตนี้เกิดจากพลังสมาธิบันดาลให้บังเกิดขึ้นไม่ใช่กำเนิดมาจากความคิดของปุถุชน  เมื่อพลังสมาธิแก่กล้าพอ  ดวงนิมิตก็จะเกิดขึ้นจากการกำหนดให้เกิดขึ้นของผู้ฝึกเอง   แต่เมื่อสำเร็จฌานดวงนิมิตก็จะหายไปจากการกำหนดของเรา   ในส่วนของดวงนิมิตนี้ตั้งแต่ฌานสี่เป็นต้นไปจะไม่มีอีก  คงมีแต่ดวงฌาน  สำหรับวิปัสสนาฌานนั้นไม่มีดวงนิมิตเพราะฌานที่สำเร็จเป็นลักษณะอรูปฌานอย่างหนึ่ง  เป็นแต่การฝึกฝนเป็นคนละแบบกับอรูปฌานของสมถกรรมฐานครับ  ผลที่ได้รับจึงแตกต่างกัน   กล่าวให้ง่ายเพื่อความเข้าใจก็คือสิ่งเหล่านี้ไม่มีทั้งสิ้น  แต่ที่ต้องกำหนดให้มีขึ้นนี้เป็นวิธีที่มนุษย์สมมุตติขึ้นเพื่อง่ายแก่การฝึกฝนในชั้นที่สูงขึ้นเท่านั้น  ไม่ว่าจะเป็นนิมิตก็ดีดวงฌานก็ดีแท้จริงแล้วไม่มีทั้งสิ้น   ยกตัวอย่างเหมือนการเรียนหนังสือก็กำหนดชั้นประถม  แต่เดิมมีเจ็ดชั้น  มัธยมต้นมีสี่ชั้น  มัธยมปลายมีสองชั้นก็เรียนกันมาได้  ต่อมามีนักวิชาการเปลี่ยนเป็นประถมหกชั้น  มัธยมต้นมีสามชั้น  มัธยมปลายมีสามชั้นเช่นทุกวันนี้เป็นการกำหนดหลักสูตรของการเรียนว่าปฐมต้องเรียนแบบนี้  มัธยมต้องเรียนแบบนี้แบบนี้เพียงเท่านั้น  จุดสำคัญก็เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการที่จะเรียนในชั้นที่สูงขึ้นได้เท่านั้น  ต่อไปอาจเปลี่ยนเป็นแบบอื่นอีกก็ได้ไม่ใช่ข้อสำคัญแต่อย่างไร  สิ่งเหล่านี้บังเกิดจากพลังสมาธิเท่านั้นที่บันดาลให้บังเกิด  จึงได้มีผู้ที่ฝึกได้โดยเป็นวิธีของตนเอง  ยกตัวอย่างเช่นหลวงพ่อสดวัดปากน้ำเป็นต้น   ก็เป็นวิธีที่ท่านคิดขึ้นมาใหม่ซึ่งถือเป็นสมถกรรมฐานชนิดหนึ่งเช่นกัน  หรืออีกตัวอย่างหนึ่งยกตัวอย่างถนนสายจากกระบี่ไปสุราษฏร์ธานีเดิมก็เดินทางสายเก่า  มาปัจจุบันมีทางลัดเขาก็เปลี่ยนมาเดินทางสายใหม่เพราะใกล้และสะดวกกว่าเป็นต้น  แต่ตราบใดที่เราไม่มีบุญญาบารมีที่จะทำทางสายใหม่เองได้ก็คงใช้เส้นทางเดิมที่ท่านทั้งหลายสร้างไว้  ช้าเร็วก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้  ข้อสำคัญไม่ใช่วิธีการแต่เป็นว่าเราเดินทางถึงเป้าหมายได้โดยสวัสดิภาพต่างหาก  หวังว่าคงพอจะเข้าใจนะครับ   ส่วนการทำความชั่วในรูปแบบต่าง  ๆ  เป็นความรู้สึกนึกคิดของปุถุชนที่มีความโลภจนเกินสมควรมีความหลงที่ข่มเสียไม่ได้  จึงทำสิ่งที่ไม่สมควรจะทำ  ทุกวันนี้คนนับถือพระเก่ง  แต่หาพระเก่งนับถือได้ยาก  พอได้ข่าวว่ามีที่ไหนก็เฮโรกันไปจนแน่นขนัด  โดยไม่พิจารณาตามความเป็นจริง  จากข้อเขียนของข้าพเจ้ามุ่งที่จะให้รู้หลักในการพิจารณา  อธิบายด้วยเหตุและผล   ว่ากันตามจริงแล้ว  ผู้รู้ก็มีมากแต่ไม่กล่าวตามหลักความจริงเพราะถ้าคนรู้มากเข้าใจมากก็จะหลอกไม่ได้  เช่นนี้หรือเปล่า   ข้าพเจ้าเคยถามเพื่อนที่เรียนจบมาจากวิทยาลัยเกษตรกรรมว่า  วิทยาลัยเกษตรบ้านเรามีอยู่ทุกจังหวัดทำไมการเกษตรบ้านเราจึงไม่เจริญเท่าที่ควร  คนที่ออกมามีข่าวว่าประสบความสำเร็จทางการเกษตรส่วนใหญ่จบแค่  ปอสี่  ก็ได้รับคำตอบว่าคนที่เรียนตามหนังสือสู้คนที่ลงมือทำด้วยตนเองไม่ได้  อุปมาก็เป็นเช่นนี้นี่เอง  

          เพื่อให้บทความนี้มีความสมบูรณ์  เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะนำไปใช้ฝึกสมาธิได้อย่างจริงจัง  ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงการฝึกเดินจงกลม   ในลำดับต่อไป  การเดินจงกลมมีความสำคัญมากในการฝึกสมาธิ  พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญไว้มากกล่าวคือ  ทำให้อาหารที่กินแล้วย่อยง่าย  ทำให้หายเมื่อยขบจากการนั่งสมาธิอยู่กับที่เป็นเวลานาน  แต่ที่สำคัญก็คือมันสามารถทำลายนิมิตที่ไม่พึงประสงค์ได้  เช่นตัวหนัก  ตัวเบา  หรือเห็นภาพต่าง ๆ  ที่ไม่ควรเห็นขณะฝีกฝนอยู่    ข้าพเจ้าเคยแวะไปสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งในจังหวัดกระบี่  มีผู้ไปปฏิบัติธรรมนุ่งขาวห่มขาวอยู่หลายคน  สอบถามว่าท่านปฏิบัติธรรมกันอย่างไร  นั่งสมาธิเดินจงกลมกำหนดอย่างไร  เขาตอบว่าเดินไปแล้วภาวนาว่าพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เวลาก็เดินไม่ถูกมั่วไปหมด  ข้าพเจ้าก็ต้องจบแค่นั้น  การฝึกสมาธินี้เขาฝึกกันมาก่อนพระพุทธเจ้า  แล้วจะมีพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ได้อย่างไร   การเดินจงกลมนี้ชัดเจนว่าคือวิธีฝึกของสมถกรรมฐานอย่างแท้จริง  ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงยอมรับการฝึกนี้  เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการฝึกในชั้นวิบัสสนาต่อไป  และการภาวนาแบบนี้ข้าพเจ้าก็เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต  ที่หนักไปกว่านี้อีกที่จังหวัดตรังเป็นที่ปฏิบัติธรรมในถ้ำ  ข้าพเจ้าถามว่าเขารู้จักพระโมคคัลาน  พระสาริบุตรหรือไม่  เขาตอบว่าไม่รู้จัก  ทั้งที่ตอนนั้นเขากวาดใบไม้อยู่หน้าพระประธาน  มีพระสาวกครบทั้งซ้ายขวา  ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นว่าที่คอเขาแขวนพระสมเด็จโชว์ไว้นอกเสื้อเลย  ข้าพเจ้าจึงลองถามว่าแล้วสมเด็จพุทธาจารย์โตเขารู้จักไหม   ได้รับคำตอบว่าไม่รู้จักอีกเช่นกัน  และแม้แต่ญาติสนิททางภรรยาของข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักพระอรหันต์สาวกเลย  แสดงให้เห็นว่าศาสนาของเรานี้ย่อหย่อนในการให้การศึกษาพระพุทธประวัติเป็นอย่างมาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่