ทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะยากดีมีจน รวยล้นฟ้าขนาดไหนก็ต้องมีความทุกข์กันทั้งนั้น
มหาเศรษฐีอาจจะทุกข์เพราะหุ้นตก ทำกำไรไม่ได้มากอย่างที่ตั้งเป้าหมาย ทุกข์เพราะลูกสาวลูกชายมัวสำมะเลเทเมา ใช้เงินเป็นเบี้ย คอยแต่พึ่งพาอาศัยพ่อแม่
ยาจกอาจจะทุกข์เพราะหิวข้าว หิวน้ำ ทุกข์ที่ต้องทำงานหนัก ตื่นมาต้องเผชิญกับความเหนื่อยยากในชีวิต จนบางคนอาจจะไม่อยากตื่นมาอีกต่อไป
พ่อแม่ก็เป็นทุกข์เมื่อลูกอยู่ไกลหูไกลตา ทุกข์เมื่อไม่รู้ความเป็นไปของลูก ทุกข์เพราะคาดหวังว่าลูกจะได้ดี มีชีวิตที่ดี
ลูกบางคนก็ทุกข์เพราะมีพ่อแม่คอยจ้ำจี้จำไช คอยวุ่นวายกับชีวิต ปิดกั้นเสรีภาพทางความคิด จนรู้สึกเหมือนถูกขังไว้ในกรอบของความสัมพันธ์
หนุ่มสาวหลายๆ คนทุกข์เพราะความรัก เมื่อความรักไม่เป็นไปอย่างที่หวัง ความผิดหวังก็นำมาซึ่งความทุกข์ใจ จนบานปลายกลายเป็นความทุกข์กาย เมื่อทุกข์ทั้งใจและกาย หลายต่อหลายคนเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง เพื่อหนีพ้นจากความทุกข์ที่เผชิญ ถ้าเขาเหล่านั้นรู้จักวิธีจัดการความทุกข์ การคิดสั้นที่อยู่ตรงหน้าก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
เราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ทุกข์เพราะความรัก เมื่ออยู่ดีๆ ความรักที่ปกติสุขก็พลันพังทลายอย่างไม่คาดคิด แผนการมากมายล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งเรื่องแผนแต่งงาน แผนซื้อบ้าน แผนซื้อรถ แผนการก่อหนี้ แผนการฮันนีมูน ฯลฯ แล้วจะรับมือมันอย่างไรดี เราเริ่มจากการทำความเข้าใจปัญหาที่ผ่านมา อาศัยหลักคิด เรื่อง "อิทัปปัจจยตา - เพราะมีสิ่งนั้น จึงมีสิ่งนี้" ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่เคยได้รู้ได้เห็นสมัยบวชเรียน ตอนนั้นฟังผ่านๆ และไม่ได้พยายามทำความเข้าใจอะไรมากมาย เพราะไม่เคยคิดว่าชีวิตจะเจอเรื่องรุนแรงเท่าที่เพิ่งผ่านมา
และเมื่อความไม่เที่ยงเกิดเป็นรูปธรรมต่อหน้า สติเราก็เตลิดเปิดเปิงหายไปพักใหญ่ ใช้เวลาแรมเดือนกว่าจะรวบรวมเศษเสี้ยวของสติกลับมาประกอบกันเข้าเป็นหัวใจได้อีกครั้ง เมื่อปัจจุบันไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง หัวใจก็ต้องเยียวยาตัวมันเอง
เราเอาหลัก อิทัปปัจจยตา มาจับปัญหาความรัก เราถามตัวเองด้วยคำถามพื้นๆ ว่า "ทำไมเราถึงอกหัก" มองย้อนกลับไปด้วยความมีสติก็จะเห็นสาเหตุมากมาย โดยไม่ต้องโทษคนอื่น ปัจจัยต่างๆ ก่อตัวจากการตัดสินใจของเราเองทั้งสิ้น มันมีเหตุผลที่ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในเวลานี้ เราเข้าใจเหตุผลดังกล่าวดี มันจึงพอจะคลายความทุกข์ลงไปได้บ้าง
อีกหลักการหนึ่งซึ่งเรายังทำไม่ได้คือการปล่อยวาง "ไม่มีตัวกู ของกู" เพียงแค่ทำใจปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ก็จะไม่มีกล้ำกรายอีกต่อไป แต่อย่างที่รู้กันว่ามันเป็นเรื่องยากเหลือหลายจนอาจจะเกินความสามารถของปุถุชนเช่นเราท่าน เพราะเรารักเราจึงยึดมั่นถือมั่นว่าเราสองคนต้องลงเอยด้วยกัน (เป็นความหลงที่ยังก่อทุกข์อยู่ร่ำไป)
แต่ทุกข์เองก็เป็นอนิจจัง ความทุกข์ไม่สามารถอยู่เราไปได้ตลอด ต่อให้วันนี้เราทุกข์ใจแค่ไหน ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าพรุ่งนี้เราจะไม่มีความสุข และต่อให้พรุ่งนี้สุขล้นเพียงใด ก็ไม่แน่ว่ามะรืนจะกลับมาทุกข์อีกครั้งหรือไม่? ทุกอย่างมาแล้วก็ไป เราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย แม้แต่หัวใจของเราเอง เรายังสั่งให้รักหรือหยุดรักใครไม่ได้ แม้แต่ท้องของเราเอง เรายังสั่งให้หยุดหิวสักวันก็ไม่ได้
เราทำได้เพียงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์อย่างมีความสุข
หลับเมื่อง่วง กินเมื่อหิว ทุกข์เมื่อทุกข์ สุขเมื่อสุข และรัก เมื่อเวลานั้นมาถึง
อย่าทุกข์อยู่ร่ำไป
มหาเศรษฐีอาจจะทุกข์เพราะหุ้นตก ทำกำไรไม่ได้มากอย่างที่ตั้งเป้าหมาย ทุกข์เพราะลูกสาวลูกชายมัวสำมะเลเทเมา ใช้เงินเป็นเบี้ย คอยแต่พึ่งพาอาศัยพ่อแม่
ยาจกอาจจะทุกข์เพราะหิวข้าว หิวน้ำ ทุกข์ที่ต้องทำงานหนัก ตื่นมาต้องเผชิญกับความเหนื่อยยากในชีวิต จนบางคนอาจจะไม่อยากตื่นมาอีกต่อไป
พ่อแม่ก็เป็นทุกข์เมื่อลูกอยู่ไกลหูไกลตา ทุกข์เมื่อไม่รู้ความเป็นไปของลูก ทุกข์เพราะคาดหวังว่าลูกจะได้ดี มีชีวิตที่ดี
ลูกบางคนก็ทุกข์เพราะมีพ่อแม่คอยจ้ำจี้จำไช คอยวุ่นวายกับชีวิต ปิดกั้นเสรีภาพทางความคิด จนรู้สึกเหมือนถูกขังไว้ในกรอบของความสัมพันธ์
หนุ่มสาวหลายๆ คนทุกข์เพราะความรัก เมื่อความรักไม่เป็นไปอย่างที่หวัง ความผิดหวังก็นำมาซึ่งความทุกข์ใจ จนบานปลายกลายเป็นความทุกข์กาย เมื่อทุกข์ทั้งใจและกาย หลายต่อหลายคนเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง เพื่อหนีพ้นจากความทุกข์ที่เผชิญ ถ้าเขาเหล่านั้นรู้จักวิธีจัดการความทุกข์ การคิดสั้นที่อยู่ตรงหน้าก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
เราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ทุกข์เพราะความรัก เมื่ออยู่ดีๆ ความรักที่ปกติสุขก็พลันพังทลายอย่างไม่คาดคิด แผนการมากมายล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งเรื่องแผนแต่งงาน แผนซื้อบ้าน แผนซื้อรถ แผนการก่อหนี้ แผนการฮันนีมูน ฯลฯ แล้วจะรับมือมันอย่างไรดี เราเริ่มจากการทำความเข้าใจปัญหาที่ผ่านมา อาศัยหลักคิด เรื่อง "อิทัปปัจจยตา - เพราะมีสิ่งนั้น จึงมีสิ่งนี้" ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่เคยได้รู้ได้เห็นสมัยบวชเรียน ตอนนั้นฟังผ่านๆ และไม่ได้พยายามทำความเข้าใจอะไรมากมาย เพราะไม่เคยคิดว่าชีวิตจะเจอเรื่องรุนแรงเท่าที่เพิ่งผ่านมา
และเมื่อความไม่เที่ยงเกิดเป็นรูปธรรมต่อหน้า สติเราก็เตลิดเปิดเปิงหายไปพักใหญ่ ใช้เวลาแรมเดือนกว่าจะรวบรวมเศษเสี้ยวของสติกลับมาประกอบกันเข้าเป็นหัวใจได้อีกครั้ง เมื่อปัจจุบันไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง หัวใจก็ต้องเยียวยาตัวมันเอง
เราเอาหลัก อิทัปปัจจยตา มาจับปัญหาความรัก เราถามตัวเองด้วยคำถามพื้นๆ ว่า "ทำไมเราถึงอกหัก" มองย้อนกลับไปด้วยความมีสติก็จะเห็นสาเหตุมากมาย โดยไม่ต้องโทษคนอื่น ปัจจัยต่างๆ ก่อตัวจากการตัดสินใจของเราเองทั้งสิ้น มันมีเหตุผลที่ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในเวลานี้ เราเข้าใจเหตุผลดังกล่าวดี มันจึงพอจะคลายความทุกข์ลงไปได้บ้าง
อีกหลักการหนึ่งซึ่งเรายังทำไม่ได้คือการปล่อยวาง "ไม่มีตัวกู ของกู" เพียงแค่ทำใจปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ก็จะไม่มีกล้ำกรายอีกต่อไป แต่อย่างที่รู้กันว่ามันเป็นเรื่องยากเหลือหลายจนอาจจะเกินความสามารถของปุถุชนเช่นเราท่าน เพราะเรารักเราจึงยึดมั่นถือมั่นว่าเราสองคนต้องลงเอยด้วยกัน (เป็นความหลงที่ยังก่อทุกข์อยู่ร่ำไป)
แต่ทุกข์เองก็เป็นอนิจจัง ความทุกข์ไม่สามารถอยู่เราไปได้ตลอด ต่อให้วันนี้เราทุกข์ใจแค่ไหน ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าพรุ่งนี้เราจะไม่มีความสุข และต่อให้พรุ่งนี้สุขล้นเพียงใด ก็ไม่แน่ว่ามะรืนจะกลับมาทุกข์อีกครั้งหรือไม่? ทุกอย่างมาแล้วก็ไป เราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย แม้แต่หัวใจของเราเอง เรายังสั่งให้รักหรือหยุดรักใครไม่ได้ แม้แต่ท้องของเราเอง เรายังสั่งให้หยุดหิวสักวันก็ไม่ได้
เราทำได้เพียงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์อย่างมีความสุข
หลับเมื่อง่วง กินเมื่อหิว ทุกข์เมื่อทุกข์ สุขเมื่อสุข และรัก เมื่อเวลานั้นมาถึง