"แรกๆ ตัณหาพาปฏิบัติ"

แรกแรกตัณหา พาปฏิบัติ
.......................................................



แรกแรกตัณหา พาปฏิบัติ                     คิดกำจัด รัก โลภ โกรธ และหลง
เริ่มทำบุญ ทำทาน ใจตั้งธง                  ว่านี่คงสะสมไว้ ใกล้นิพพาน
พอยิ่งทำ ก็ยิ่งไกล ไกลกาล                 กลับยิ่งพาล สร้างตัวตน กอดความดี
ยิ่งทำดี ก็ยิ่งคิดว่า "กูนี้ดี"                   ชีวิตนี้ คงห่างไกล ไกลความทุกข์

แล้วความจริง กลับปรากฏอยู่ที่ใจ           ทุกข์เล็กใหญ่ ยังคงตามบีบคั้นจิต
งั้นเอาเลย จัดการไปที่จิต                     หวังทำฌาน อาจหยุดความคิดได้
ถ้าหยุดคิด อาจหยุดทุกข์ในใจ            ทุ่มเทใจ ฝึกตน จนสงบ
ทุกข์สยบ ทุกข์เบา ทุกข์เหือดหาย          จึงปักใจว่านี่คงเป็น ทางนี้แน่

พอครั้น ลืมตาตื่นขึ้น โลกกระทบใจ         แต่ทำไมทุกข์ยังตาม ไม่ห่างจิต
กลับมาคิด คิดดู อย่างไรแน่                  อันใดแท้ ที่พุทธองค์ ทรงกล่าวไว้
มรรคมีองค์แปดนี้เองพาเปนไท            พาให้ใจอยู่เหนือโลก คืนตัณหา
งั้นเริ่มมา ออกเดินต่อบนมรรคคา            อันมีองค์พระศาสดาชี้ทางไว้

หมั่นกำหนดสติรู้ ลมหายใจ                   ละความคิดไม่พอใจ คิดเบียดเบียน
ละคำหยาบ คำเท็จ คำส่อเสียด            ไม่เบียดเบียนทั้งตน และคนอื่น
สติตื่นคอยเตือน ไม่ห่างลม                   หายใจเข้า หายใจออก เกาะกุศล
มีความเพียรละภพ อกุศลจิต                  อาศัยมิตร คือลม พาขึ้นฝั่ง

อันมรรคแปดนั้นแสนอัศจรรย์                 ทางสายกลางนั้น ในวิถีปกติ
มรรคคานี้ถอดถอนเหง้ากิเลส                 ให้พ้นเจตนาพาลงต่ำ
มรรคแปดนี้ที่พุทธองค์นั้นทรงชี้            ให้เพียรมีลติระลึก ถึงลมนั้น
กุศลจะเกิด อกุศลนั้นดับพลัน                 จิตตั้งมั่น พร้อมเห็นความจริงโลก
และพ้นโลก พ้นไปไกลความโศก            จะเห็นโลกไม่มีสิ่งใดเที่ยง

มีแค่เพียงสรรพสิ่งล้วนเกิดดับ                เราแค่หลง ไปนับเอาเป็นเรา
หาเดินมรรคตามอย่างพุทธองค์            เราทุกคนคงเห็น ความจริงได้
อยู่ไหนหนอที่ว่ากู ของกูนี้                   แท้ที่จริงเป็นแค่ขันธ์ นั้นเกิดดับ
จะหวังไปใย ให้ถาวรไม่กลอกกลับ          อย่างนี้นับเป็นเรา ได้ที่ไหน
ขันธ์เกิด ขันธ์ดับ บังคับยังไง                 จักสิ้นไปความคิดว่ามี "กู"

หากได้เห็นความจริง ของสิ่งนี้                สิ่งที่เคยยึดมั่น พลันสลาย
กลับเห็นโลก ตรงความจริงอย่างสบาย     เห็นความตายว่าไม่พ้นจากกายนี้
และถ้าเกิดอะไรขึ้น มาอีกในชีวิต            จะไม่คิดว่าสิ่งนั้น มั่นคงเที่ยง
เพราะมันมีสภาพทุกข์ มิอาจเลี่ยง            เห็นเป็นเพียงธรรมชาติไหลเรื่อยไป

หากบุคคลใดใด เห็นตามนี้                   ทุกข์ที่มีในชีวิต เหลือแค่ไหน
แค่เศษดินที่ปลายเล็บ ใช่หรือไม่            ทุกข์ในใจพลันดับลง เพราะมรรคคา


         

.......................................................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่