สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาป-
*สถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีนักเลง ๒
พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง เกิดความบาดหมางกัน
ทะเลาะกัน วิวาทกัน ประหัตประหารกันและกัน ด้วยฝ่า มือบ้าง ด้วยก้อนดิน
บ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง นักเลงเหล่านั้นถึงความตายในที่นั้นบ้าง
ถึงความทุกข์ปางตายบ้าง ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้าภิกษุมากรูปด้วยกัน นุ่งแล้ว
ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ ครั้นเที่ยวบิณฑบาตใน
พระนครราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ในพระนคร
ราชคฤห์ มีนักเลง ๒ พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง ...
ถึงความตายในที่นั้นบ้าง ถึงความทุกข์ปางตายบ้าง พระเจ้าข้า ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
เบญจกามคุณ ที่บุคคลถึงแล้วและที่บุคคลจะพึงถึง ทั้งสอง
นี้เกลื่อนกล่นแล้วด้วยธุลี คือ ราคะ แต่บุคคลผู้เร่าร้อน
สำเหนียกตามอยู่ อนึ่ง การศึกษาอันเป็นสาระ ศีล พรต ชีวิต
พรหมจรรย์ การอุปัฏฐากอันเป็นสาระ นี้เป็นส่วนสุดที่ ๑
อนึ่ง การประกอบตนพัวพันด้วยความสุขในกาม ของบุคคลผู้ที่
กล่าวอย่างนี้ว่า โทษในกามไม่มี นี้เป็นส่วนสุดที่ ๒ ส่วนสุด
ทั้งสองนี้เป็นที่เจริญแห่งตัณหาและอวิชชาอย่างนี้ ตัณหาและ
อวิชชาย่อมยังทิฐิให้เจริญ สมณพราหมณ์บางพวกไม่รู้ส่วน
สุดทั้งสองนั้น ย่อมจมอยู่ (ในสงสารด้วยอำนาจการถือมั่น
สัสสตทิฐิ) สมณพราหมณ์บางพวกย่อมแล่นไป (ด้วยอำนาจ
การถือมั่นอุจเฉททิฐิ) ส่วนท่านผู้ที่รู้ส่วนสุดทั้งสองนั้นแล้ว
เป็นผู้ไม่ตกไปในส่วนสุดทั้งสองนั้น และได้สำคัญด้วยการ
ละส่วนสุดทั้งสองนั้น วัฏฏะของท่านผู้ที่ดับไม่มีเชื้อเหล่านั้น
ย่อมไม่มีเพื่อจะบัญญัติ ฯ
จบสูตรที่ ๘
เราเป็นผู้เมาแล้วด้วยผิวพรรณ รูปสมบัติ ความสวยงาม บริวารสมบัติ
และความเป็นสาว มีจิตกระด้าง ดูหมิ่นหญิงอื่นๆ ประดับร่างกายงดงาม
วิจิตร สำหรับลวงบุรุษผู้โง่เขลา ได้ยืนอยู่ที่ประตูบ้านหญิงแพศยา ดุจ
นายพรานที่คอยดักเนื้อ ฉะนั้น เราได้แสดงเครื่องประดับต่างๆ และ
อวัยวะที่ควรปกปิดเป็นอันมากให้ปรากฏแก่บุรุษ กระทำมายาหลายอย่าง
ให้ชายเป็นอันมากยินดี วันนี้เรามีศีรษะโล้น ห่มผ้าสังฆาฏิเที่ยว
บิณฑบาต แล้วมานั่งที่โคนต้นไม้ เป็นผู้ได้ฌานอันไม่มีวิตก เราตัด
เครื่องเกาะเกี่ยว ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ได้ทั้งหมด และ
ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เป็นผู้มีจิตใจเยือกเย็น ดับสนิทแล้ว.
ว่าด้วยมีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง ...
*สถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีนักเลง ๒
พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง เกิดความบาดหมางกัน
ทะเลาะกัน วิวาทกัน ประหัตประหารกันและกัน ด้วยฝ่า มือบ้าง ด้วยก้อนดิน
บ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง นักเลงเหล่านั้นถึงความตายในที่นั้นบ้าง
ถึงความทุกข์ปางตายบ้าง ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้าภิกษุมากรูปด้วยกัน นุ่งแล้ว
ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ ครั้นเที่ยวบิณฑบาตใน
พระนครราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ในพระนคร
ราชคฤห์ มีนักเลง ๒ พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง ...
ถึงความตายในที่นั้นบ้าง ถึงความทุกข์ปางตายบ้าง พระเจ้าข้า ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
เบญจกามคุณ ที่บุคคลถึงแล้วและที่บุคคลจะพึงถึง ทั้งสอง
นี้เกลื่อนกล่นแล้วด้วยธุลี คือ ราคะ แต่บุคคลผู้เร่าร้อน
สำเหนียกตามอยู่ อนึ่ง การศึกษาอันเป็นสาระ ศีล พรต ชีวิต
พรหมจรรย์ การอุปัฏฐากอันเป็นสาระ นี้เป็นส่วนสุดที่ ๑
อนึ่ง การประกอบตนพัวพันด้วยความสุขในกาม ของบุคคลผู้ที่
กล่าวอย่างนี้ว่า โทษในกามไม่มี นี้เป็นส่วนสุดที่ ๒ ส่วนสุด
ทั้งสองนี้เป็นที่เจริญแห่งตัณหาและอวิชชาอย่างนี้ ตัณหาและ
อวิชชาย่อมยังทิฐิให้เจริญ สมณพราหมณ์บางพวกไม่รู้ส่วน
สุดทั้งสองนั้น ย่อมจมอยู่ (ในสงสารด้วยอำนาจการถือมั่น
สัสสตทิฐิ) สมณพราหมณ์บางพวกย่อมแล่นไป (ด้วยอำนาจ
การถือมั่นอุจเฉททิฐิ) ส่วนท่านผู้ที่รู้ส่วนสุดทั้งสองนั้นแล้ว
เป็นผู้ไม่ตกไปในส่วนสุดทั้งสองนั้น และได้สำคัญด้วยการ
ละส่วนสุดทั้งสองนั้น วัฏฏะของท่านผู้ที่ดับไม่มีเชื้อเหล่านั้น
ย่อมไม่มีเพื่อจะบัญญัติ ฯ
จบสูตรที่ ๘
เราเป็นผู้เมาแล้วด้วยผิวพรรณ รูปสมบัติ ความสวยงาม บริวารสมบัติ
และความเป็นสาว มีจิตกระด้าง ดูหมิ่นหญิงอื่นๆ ประดับร่างกายงดงาม
วิจิตร สำหรับลวงบุรุษผู้โง่เขลา ได้ยืนอยู่ที่ประตูบ้านหญิงแพศยา ดุจ
นายพรานที่คอยดักเนื้อ ฉะนั้น เราได้แสดงเครื่องประดับต่างๆ และ
อวัยวะที่ควรปกปิดเป็นอันมากให้ปรากฏแก่บุรุษ กระทำมายาหลายอย่าง
ให้ชายเป็นอันมากยินดี วันนี้เรามีศีรษะโล้น ห่มผ้าสังฆาฏิเที่ยว
บิณฑบาต แล้วมานั่งที่โคนต้นไม้ เป็นผู้ได้ฌานอันไม่มีวิตก เราตัด
เครื่องเกาะเกี่ยว ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ได้ทั้งหมด และ
ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เป็นผู้มีจิตใจเยือกเย็น ดับสนิทแล้ว.