ที่สุดของความทรงจำ กับจักรยาน ของคุณเป็นแบบไหน?

กระทู้สนทนา
ที่สุดของความทรงจำ กับจักรยาน ของคุณเป็นแบบไหนกันบ้าง?

    ผมไม่เคยได้ปั่นจักรยานจริงจังครับ ตอนเด็กๆก็ปั่นเล่นๆกับเพื่อนอย่างมาก ไม่เกิน 5 กิโล เพราะ

เป็นหอบ หืด ครับ ตอนนี้มาเริ่มปั่นจักรยานได้ประมาณ 1 ปี เริ่มเมื่อเดือนเมษา ปี57 เป้าหมายแรกและเป้าหมาย
เดียวที่ตั้งไว้คือ การปั่นพิชิตดอยอินทนนท์ปี 58 แบบไม่ต้องเข็น( พ่อผมปั่นจักรยานครับแกเคยไปมาแล้ว
แต่ผมไม่เคยไปดอยอินทนนท์ ตอนนั่งมองภาพ นั่งคิด มันช่างปั่นขึ้นง่ายดายเสียเหลือเกิน 55)
    
    จากนั้นผมจึงเริ่มออกซ้อมปั่นครั้งแรกกับพ่อ โดยการ ยืม จักรยาน (น่าจะเป็น เสือภูเขา trek ไม่แน่ใจรุ่น)
และขอปั่นไปทางที่มีเนินยาว แต่ไม่ชันมาก (ตามประสามือใหม่นิ้งๆอยากขึ้นเนิน)

ระยะทางวนไปกลับจากบ้านน่าจะประมาณ50กิโล
ก็เริ่มปั่นไป เป็นครั้งแรกที่ปั่นจักรยาน(ยืม)แบบครบชุดครับ รถ หมวก เสื้อ ผ้าบัฟ ปลอกแขน ถุงมือ (แต่กางเกงขาสั้น/รองเท้าผ้าใบผมเอง)

ครั้งแรกที่ก้มดูไมล์ตื่นเต้นเพราะไม่เคยปั่นจริงจังแบบนี้ speed ช่วง5กิโลแรก น่าจะราวๆ 20km/h
(หลังจากนั้น ก็ลดลง จนจบทริป 5555) เหนื่อยสิครับ ปกติแค่เดินขึ้นบันไดยังปวดขา
ผมนี่ดื่มน้ำเป็นว่าเล่น แต่ก็ปั่นไปเรื่อยๆ ไปพักอีกทีก่อนขึ้นเนินครับ

ประมาณ25 กิโลก็ถึงเนิน (ความชันไม่รู้ว่ากี่% แต่เป็นแบบเดียวกับตอนขึ้นสะพานปกติทั่วไปยาวเกือบ 2กิโล)

ก็ปั่นขึ้นไป มีเสือหมอบปั่นขึ้นชิวๆกันอยู่ด้านหน้าไกลๆ ก็สนุกครับคิดว่าเหมือนมีคู่แข่ง แต่พอปั่นไปได้ราวๆแค่ไม่ถึง200เมตร
เหมือน วิญญาณจะออกจากร่างให้ได้ครับ มันเหนื่อยมาก หายใจแทบไม่ทัน ขาหนัก ร้อน กระหายน้ำ
เกียร์ที่มีก็ดันสุดจนจะพังแล้ว 55 มีน้ำเท่าไหร่อัดเข้าไป ผลคือ จุก จะอ๊อกให้ได้ วิงเวียน สารพัด ลงสิครับปั่นไม่ได้แล้ว

นั่งคิดถึงสปอนเซอร์ มันกระหายอยากกินจริงๆครับทั้งที่จุกจนต้องงอตัว อินทนนท์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ

จากที่ มโนไปว่าปั่นขึ้นดอยนั้น ค่อยๆปั่นไป ชิวๆ ตอนนี้ เหมือนมหาสงครามชัดๆ หลังจากนั่น
พอได้นั่งพักแล้ว ก็ค่อยๆปั่นขึ้นไปถึงยอดแล้วก็ปั่นกลับบ้าน หลังจากนั้นสำหรับคนที่ไม่เคยปั่น
ไม่ได้ฟิตติ้งจักรยาน ไม่ได้เตรียมกายใจ โบนัสที่ตามมาก็แน่นอนครับ ก็ปวดขา เข่า หลัง บ่า คอ
ไปอีกหลายวัน - -" ส่วนพ่อผมเดินไปมาชิวๆ

เรื่องอินทนนท์นี่ ผมพับไว้เลยนะครับ เพราะได้รู้
แล้วว่า การเตรียมกาย ใจ มาไม่พอ ไม่สามารถพิชิตยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยได้แน่นอน

หลังจากนั้น ผมเริ่มหาข้อมูลลลลลลล หาๆๆ ทั้งเรื่อง ตารางการซ้อม รอบขา การปรับจักรยาน
อาหารการกินเพื่อให้ร่างกายดึงพลังงานมาใช้ และสำคัญมากๆสำหรับผมที่เจอมาตอนขึ้นเนินแรก
ก็คือ การใช้เกียร์ให้ถูก เหล่านี้จึงเป็นที่มาของ ทริปสุดประทับใจที่สุดในการปั่นที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ครับ
    

    ผ่านไปประมาณ 4 เดือนกำลังเริ่มอยู่ตัว ก็ตั้งใจไว้ว่าก่อนจะขึ้นพิชิตดอยอินทนนท์ ควรจะพิชิต
ดอยสุเทพ ให้ได้ซะก่อน ราวๆเดือนสิงหาคม57 จึงตั้งใจว่าจะปั่นขึ้นดอยสุเทพ เป็นทริปที่คิดว่า
จะไปคนเดียว เพราะแลดูคล่องตัวและสะดวกกว่าไปหลายคน(อยากพักตรงไหนก็พัก ปั่นเร็วแค่
ไหนก็แค่นั้น) นั่นเป็นเพราะว่า ผมจะปั่นจากที่บ้าน คือ ลำปาง - ขึ้นดอยสุเทพ ระยะทางก็ราวๆ ร้อยกว่ากิโล

เมื่อได้ ฤกษ์ อากาศดีๆ ก็เตรียมของ อุปกรณ์ เตรียมตัว แล้วก็บอกกล่าวคนที่บ้าน    
ตามคาด พ่อจะปั่นไปด้วย เพราะคิดว่า จะได้คอยช่วยเหลือกันเวลามีปัญหา อืมม นั่นพ่ออาจจะคิดผิด
เพราะที่ผมคิดไว้อีกขั้นนึงคือ ผมจะออกซัก ตี4 หลังจากขึ้นดอยสุเทพ แล้วผมจะปั่นกลับบ้านเลย ฮ่ะๆ

    วันหยุด อากาศเย็น ท้องฟ้าสดใสเต็มไปด้วยหมู่ดาวไม่มีเมฆ ลมพัดสบายๆ ฤกษ์ดี แต่ออกสาย
ไปนิด ราวๆตี5กว่าๆ ก็ออกปั่นครับ ไปเรื่อยๆ 20+km/hจากเมืองลำปาง ไปถึงทางขึ้นดอยขุนตาล
ทางเส้นนี้ เสือหลายๆท่านก็อยากมาลอง หรือได้ลองกันบ่อยๆ เป็นทางชันไม่มากเท่าไหร่
ยาวหลายกิโลเมตร ก็ขึ้นไปได้ครึ่งทาง เจ็บครับ น่าจะเอ็นหลังหัวเข่าขวา จี๊ดๆแปล๊บๆ ไปเรื่อยๆ
ถึงจุดสูงสุดที่ศาลเจ้าพ่อฯ นวดยาครับ สารภาพเลยว่า ถ้ามาคนเดียว
ผมวกรถกลับบ้านแน่นอน เพราะกายไม่อำนวยอย่างแรง แต่ในเมื่อมากับบัดดี้ มีอะไรก็พึ่งพากันได้
ผมจึงปั่นต่อไป มันก็เจ็บสะสมขึ้นเรื่อยๆครับ เริ่มพักบ่อยขึ้น จนกระทั่ง 12.00น. ถึงหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ซึ่งเป็นจุดที่ จะเริ่มปั่นขึ้นดอยสุเทพ ผมประเมินไว้เลยว่า มีเข็นแน่นอน555

แต่ผิดคาดครับ จากหน้ามช. ขึ้นไปถึงยอดดอย จอดนวดยา 2 ครั้งเท่านั้นก็ไปถึงยอดได้ แต่น่าจะ
ใช้เวลาไป ราวๆ 1.30 ชั่วโมง เรียกได้ว่าคลานไปดีกว่า ไปถึงแล้วก็พักขา นวดยา พอได้หายเจ็บ
ราวๆ14.00 ก็ลงไปทานข้าวที่หน้า มช.ครับ ขากลับตอนดาวน์ลง พักนานไปหน่อย เส้นตึง ขาตึง
พอเริ่มปั่น เจ็บเอ็นขามาก จนกระทั่งถึงร้านข้าวมันไก่หน้ามช. ก็นั่งทานข้าวนวดขาอีก

ซักพักก่อนปั่นกลับ ฉุกคิดได้ครับ มัวแต่ ปวดขาๆ เลยลืมไหว้พระ(ธาตุ)ดอยสุเทพ เสียสนิทเลย จึงยกมือ
ไหว้ขอขมาอภัยขึ้นไปแล้วแต่ไม่ได้ไหว้ อธิษฐานขอให้พระคุ้มครองครับ

   ไม่รู้ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด สิ่งใด อย่างไร พอผมขึ้นรถปั่นกลับ ..ผมไม่เจ็บเอ็นขาแม้แต่นิดเดียว
ครับ หลังเลี้ยวผ่านแยก รินคำ ผมลองปั่นด้วยความเร็ว 25+ ได้จนถึงอุโมงค์ทางลอดโดยไม่มี
อาการเจ็บปวดเอ็นขาแต่อย่างใด แต่หลังจากนั้นก็ลดความเร็วปั่นกลับบ้านชิวๆไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้
ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็นึกขอบคุณไว้ก่อนฮ่ะๆ ผมไม่ต้องนวดยา แล้ว สบาย...

แต่ไม่ตลอดครับ พอเข้าเขต ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดลำพูน เท่านั้นแหล่ะ เอ็นมันเจ็บจี๊ด เหมือนตอนปั่นลงดอยสุเทพ
ครับ คิดในใจตายล่ะวา เหลือเนิน ใหญ่ๆอีก 2 เนิน (เนินแม่ทา กับ ขุนตาล) เหอๆ เรียกได้ว่า ขาลากครับ
เจ็บเหมือนขาจะขาด ต้องพักบ่อยๆ ไปจนกระทั่งถึง ยอดดอยขุนตาล จากนั้นก็พักแล้ว
ดาวน์ลง อ่อเวลาขณะนั้นคงราวๆ สองทุ่ม ครับ เห็นใจพ่อที่ปั่นมาด้วยมากมาย แต่ทุกอย่างก็ต้อง
ดำเนินต่อไปให้จบครับ ลงมาถึงศูนย์ฝึกลูกช้าง ไปต่อไม่ไหวจริงๆครับ แค่ขยับขาก็คล้ายจะขาดจากกัน

จึงปรึกษาว่าจะโทรหาพี่ชายให้มารับเพราะอยู่ไม่ไกลมากแล้ว คุณพ่อก็ใจดีมากครับ
บอกว่าพี่ชายไปอบรมต่างจังหวัดค่อยๆปั่นประคองต่อไปอีกหน่อยละกัน 55 ผมนี่ยืนยิ้มเลย
จึงบอกไปว่าขอลองแลกจักรยานปั่นหน่อยคับ ชีวิตน่าจะดีขึ้น เพราะสรีระมันอาจจะเข้ากันได้ดีกว่าคันเดิม
ตามคาดครับ เปลี่ยนจักรยานแล้ว สามารถปั่นกลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพทั้งคู่ กลับมาถึง เวลา 21.30น. ครับ
   
      ระยะทางทั้งหมด ราวๆ 225กิโลเมตร จาก ลำปาง - ขุนตาล - ดอยสุเทพ - ลำปาง ใช้เวลาทั้งหมด 16ชั่วโมง โดยไม่มีการเข็น

แล้วประสบการณ์ ที่สุดของความทรงจำของ ท่านๆ เป็นแบบไหนครับ เผื่อทริปไหนน่าสนใจ จะได้เป็นแนวทางให้กันต่อไปครับ

P.s. คนเคยเป็นหอบหืด อย่างผมก็ปั่นช้าๆ ไปกลับ จอมทอง - ดอยอินทนนท์ โดยไม่เข็นตามเป้าหมายได้แล้วนะครับ ขึ้นไป  4.50ช.ม.เชียว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่