15 กุมภาพันธ์ 2558 เกือบเจ็ดโมงเช้า ยืนรอปล่อยตัวอยู่ที่หน้าวัดพระธาตุจอมทองมองไปรอบๆตัวแล้วก็คิดว่า เออ เรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง วันนี้เมื่อปีที่แล้วอย่าว่าแต่ปั่นจักรยานขึ้นดอยที่สูงที่สุดของประเทศห้าสิบกิโลเลย แค่ห้ากิโลทางเรียบยังไม่คิดจะปั่น นี่เริ่มปั่นเมื่อกลางๆตุลาปีก่อน เหิมเกริมร่วมทริปที่จัดว่าหินที่สุดทริปหนึ่งของนักปั่นซะแล้ว แต่ถ้าไม่ทำเสียวันนี้จะเริ่มวันไหน ชีวิตมีเวลาเหลืออีกกี่วันก็ไม่มีใครรู้ ก็เหมือนกับตอนที่เริ่มปั่นได้สองอาทิตย์กว่าแล้วน้าๆอาๆที่กลุ่มให้ปั่นขึ้นเขาใหญ่ด้วยกันก็ตามเค้าไปด้วยกะว่าไม่ไหวก็เลี้ยวลง แต่ก็ต้องแปลกใจกับตัวเองที่ขึ้นได้ถึงที่ทำการอุทยานแบบเท้าไม่แตะพื้น หลังจากนั้นอีกอาทิตย์กว่าพี่ที่กลุ่มบอกว่าจะไปขึ้นดอยอินทนนท์ก็บอกว่าขอไปด้วยคน ดอยอินทนนท์สูงแค่ไหนไม่รู้ จ่ายเงินจองโรงแรมจองตั๋วเครื่องบินแล้วถึงมาเปิดยูทูบดู ช็อคไปสามตลบ ทำไมมันสูงมันโหดอย่างนั้น มีเวลาเหลืออีกเกือบสามเดือนจะขึ้นได้มั้ยเนี่ย จักรยานก็ยังไม่มีเป็นของตัวเอง จะเอาอะไรขี้นดอยละ
ช่วงเวลาที่เหลือก็พยายามซ้อมปั่น หาข้อมูลดูว่าขึ้นเขายาวๆต้องปั่นยังไง ยิ่งหาข้อมูลก็ยิ่งผวา ยังไงก็เข็นแหงๆ มีเพื่อนคนนึงที่เคยขึ้นดอยอินทนนท์สองสามรอบบอกว่า ยังไงก็ขึ้นไม่ได้หรอก เลยเถียงว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ก่อน เค้าเลยพนันว่า จากด่านสิบห้ากิโลถึงน้ำตกสิริธารยังไงก็ไม่ถึง ตอนนี้เป้าหมายก็เลยเหลือว่าถ้าผ่านตรงนั้นไปได้ที่เหลือคือกำไร
ทีนี้พอกลับไปอเมริกาก็เลยต้องหารถเป็นของตัวเองเพื่อกลับมาปั่นขึ้นดอย ไหนๆจะเสียเงินแล้วก็ขอให้ได้จักรยานในฝัน แต่ฝันของเราคงไม่เหมือนชาวบ้าน หาดูเท่าไรก็ไม่มีขาย พอดีมีคนรู้จักทำงานที่โรงงานทำจักรยานก็เลยขอซื้อแต่เฟรมมา ให้อีกร้านทำสีทำลวดลาย ตั้งใจว่าจะทำให้รถเบาที่สุดเพราะกะจะจูงขึ้นก็เลยใช้เฟรมคาร์บอน อุปกรณ์ที่เหลือก็สั่งมาจากที่ต่างๆชั่งน้ำหนักทุกชิ้น ลุ้นระทึกว่าเฟรมจะเสร็จทันมั้ย แล้วในที่สุดก็ได้รถคิตตี้ sweet ride มาก่อนบินกลับมาเมืองไทยก่อนวันงานขึ้นดอยสี่วัน ก่อนหน้านั้นก็ซ้อมโดยใช้รถเสือภูเขาเก่าๆหนักๆซื้อมาสี่ห้าปีไว้ซื้อกับข้าวซ้อมปั่นแถวบ้านที่ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย ปั่นเกือบทุกวัน แต่ได้ระยะไม่เยอะแค่ยี่สิบกิโลเพราะหนาวและเหงา ปั่นคนเดียวไม่สนุก อาศัยว่าเห็นเขาเล็กเขาน้อยก็เลี้ยวขึ้นให้หมด แต่ไม่ทรมาณตัวเอง เพราะถ้าปั่นจักรยานแล้วไม่มีความสุข จะทำให้ไม่อยากปั่น คนเรามีชีวิตอยู่ไม่นานต้องพยายามทำสิ่งที่มีความสุข
แล้วก็มาถึงวันนี้ ที่นับวันรอมาเป็นเดือนๆ รองเท้าผ้าใบก็ซื้อใหม่ มีเมมโมรี่โฟมบุด้านในเดินจูงแล้วนุ่มนิ่ม ไม่ใส่คลีทค่ะ เพราะได้ยินมาหลายครั้งแล้วว่าถ้าแรงหมดแล้วจะล้มตึงไปเฉยๆ เดี๋ยวเจ็บหนัก ไหนๆมีรถคิคตี้สีชมพูแหววแล้วก็ขอแต่งตัวให้เข้ากะรถซะหน่อย ปีหน้าจะได้มารึเปล่าก็ไม่รู้ ถึงไม่ถึงไม่ว่าขอบ้าไว้ก่อน อยากให้คนเห็นแล้วยิ้ม ทำให้คนมีความสุขเผื่อผลบุญจะส่งให้ปลิวขึ้นยอดดอย
ตอนเริ่มจะออกตัวเห็นน้องผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มที่มาด้วยกันยกรถหนีไปออกตัวด้านหน้า น้องอีกคนยกวิ่งตาม เออ นี่ขนาดเค้าไม่มีอันดับยังแข่งกันเองสนุกสนาน เราแข่งกับตัวเอง ให้ขาแรงเค้าไปก่อนละกัน แต่ขอแนะนำว่า ถ้าออกตัวได้แรกๆ ออกไปเลยค่ะ เพราะการจราจรช่วงหลังติดมาก ใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าจะเลี้ยวซ้ายเข้าทางไปดอย แล้วออกจากวัดพระธาตุให้ชิดขวาไว้ ไหล่ทางด้านซ้ายถนนไม่ดี
สิบกิโลแรกก่อนถึงด่านเก็บเงิน ปั่นแบบถนอมตัวเองมาก ช้ากว่าปกติ เพราะหนทางอีกยาวไกล พอเลยด่านเก็บเงินถึงเนินชันโค้งหักศอกขึ้นไป ที่เค้าเรียกว่าเนินคัดเกรด เลยรับผลลัพธ์ที่ไม่ออกตัวด้านหน้าเต็มๆ เพราะคนจูงขึ้นกันเต็มถนน การจราจรคับคั่ง ความชันประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ยังสดอยู่ก็เลยขึ้นแบบสบายๆ อาศัยขึ้นทางเลนขวาที่มีรถยนต์กำลังติดหนึบ จะได้ไม่ต้องเบียดคนที่จูงกันทางซ้ายความเสี่ยงสูง
หลังจากขึ้นเนินคัดเกรดแล้วก็ไปต่อ พยายามถนอมแรงขาเอาไว้ไม่ใช้เกียร์หนัก ไม่เร่ง ขึ้นเร็วขาดทุน ถึงก่อนลงก่อน จ่ายเงินไปแล้วขอปั่นนานๆ ตาก็มองไมล์ไว้ เมื่อไรไมล์ถึงสิบห้ากิโลหลังด่านชนะพนัน ปั่นชิลๆมาจนถึงกิโลเมตรที่ยี่สิบทีนี้ละเนินยาวเกือบสี่กิโลเมตรความชันคละกันไปสูงมากกว่า 10 % คนเริ่มลงจูงกันแล้ว ลองเช็คตัวเองยังเฉยๆอยู่ ร้องเพลงได้ แซวเพื่อนร่วมทางได้ ยังไหวอยู่ พอเลยน้ำตกสิริธาร ทีนี้รู้เลยว่าชนะพนันแน่ พอเข็มไมล์บอกว่าผ่านจุดพนันทีนี้ละโล่งเลย ไม่กดดันละ เห็นคนนั่งพักข้างทางเคี้ยวขนมกันหยึบหยับ นึกได้ว่าต้องเติมพลังให้ร่างกายละ เลยคว้าเพาเวอร์บาร์จากหลังเสื้อมาแกะทาน เห็นไอเดียจากรถคันอื่นเอาเพาเวอร์บาร์แปะเทปกะรถแล้วบอกตัวเองว่าต้องเลียนแบบคราวหน้า ใครเอาบาร์เอาเจลไปทาน ฉีกไปล่วงหน้านะคะ ถึงเวลาไม่ต้องลำบากแกะ ขอบอกว่าทานไปปั่นไป อิหลักอิเหลื่อไม่อร่อยอย่างแรง แต่ยังไงก็ต้องทาน เพราะเดี๋ยวไม่มีแรง ช่วงนี้เองที่ได้ข่าวว่ามีอุบัติเหตุผู้ชายล้มไปเฉยๆเพราะแรงหมด
ไปได้อีกห้ากิโลก็ต้องขึ้นเนินยาวอีก ชันด้วย ทีนี้คนเริ่มจูงลงเดินเริ่มเยอะขึ้นทุกที ได้แซวให้กำลังใจกันสนุกสนานตลอดทาง คนจะทำหน้าแปลกใจเมื่อรู้ว่าบินมาจากอเมริกาเพื่อปั่นงานนี้โดยเฉพาะ ปั่นไปได้อีกพักก็แวะลงเท้าแตะพื้นเป็นครั้งแรกเพื่อล้างหน้าล้างตาเข้าห้องน้ำ เป็นผู้หญิงลำบากมาก เพราะห้องน้ำมีแค่สามจุดตลอดทาง เห็นผู้ชายจอดจักรยานแล้วเข้าข้างทางแสนจะอิจฉา ออกจากห้องน้ำมา อ้าว แว่นตาแขวนวางไว้ตรงแฮนด์รถหายไปละ ห่อเหี่ยวสุดๆ เพราะยังต้องไปอีกไกล แดดจ้ามาก ปรากฏว่ามีคนเอาไปวางไว้ที่อ่างล้างมือหน้าห้องน้ำชาย นี่ถ้าใส่แว่นแพงๆมาคงไปแล้วไปลับ เรื่องแว่นนี่ก็เหมือนกัน เอาแว่นไม่แพงมากมานะคะ น้องอีกคนล้มแว่นตาแตก บอกดีใจมากไม่ได้ใส่ Oakley มา แล้วเอาข้อต่อโซ่รถติดมาด้วยก็ดี เห็นคนโซ่ขาดกันเพียบ แต่อิชั้นถึงเอามาก็ทำไม่เป็น ได้แต่พึ่งพระพึ่งเจ้า สวดมนต์ขอพรก่อนมา ยางอย่าแตกโซ่อย่าขาด เพี้ยง
ปั่นต่อไปสักพักหลังกิโลเมตรที่สามสิบนิดๆ ทีนี้จะเป็นเนินวิวสวยแต่ชันแบบยาวและโหดอีกจุดหนึ่ง ยาวเกือบสามกิโล ก็ปั่นขึ้นไปเรื่อยๆบอกตัวเองว่าปั่นไปเถอะเดี๋ยวก็ถึง ตอนนี้เองที่บอกตัวเองว่าจะไม่จูงเด็ดขาด เลยมาครึ่งทางแล้ว ดูชาร์ตที่มีอยู่ก็รู้ว่าเดี๋ยวก็ถึงเนินพระธาตุที่หินที่สุดแล้ว ต้องหาที่ลงอีกครั้งเพื่อเตรียมรับศึกหนัก ยิ่งปั่นผ่านผู้ชายตัวบึ้กๆข้างทางที่พักอยู่บ้าง จูงอยู่บ้างแล้วเค้ายกนิ้วโป้งให้ ยิ่งฮึกเหิม แรงใจยิ่งมาถึงแรงขาจะหาย พอเลยช่วงเนินต้นสนสวยแต่โหด ก็จะเห็นเจดีย์วัดอยู่รำไร แต่อีกหลายรอบขาแหละกว่าจะถึง แวะพักดื่มน้ำทานกล้วยที่เขาแจกข้างทางแล้วยืดขาประมาณสามสี่นาทีแล้วไปต่อ น้ำที่เอามากระปุกนึง กลัวว่าจะไม่พอกลับเหลือ เพราะจุดแจกน้ำมีหลายจุด ใครให้อะไรรับให้หมดเลยนะคะ อย่าเล่นตัว ร่างกายต้องการพลังงานมาก
พักเสร็จปั่นต่อ ยิ่งใกล้เนินพระธาตุยิ่งชัน มองไปไม่มีที่สิ้นสุด ยาวสามกิโลกว่า เห็นคนเดินจูงข้างทางเยอะแยะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะลงไปจูงด้วย ตั้งใจไว้แล้วก็ต้องทำให้ได้ ปั่นไปก็คุยกับสองขาไป ไหวมั้ย ไหว งั้นไปต่อ พอเห็นเนินพระธาตุสุดแสนจะดีใจ เสียดายที่ไม่ทันตัวมาสคอตที่ทีมมิสเตอร์วีไบค์ นครนายก นำมาสร้างสีสัน ไม่เป็นไร ความผิดของเรา เราปั่นช้าเอง
กำลังปั่นขึ้นเนินพระธาตุก็ได้ยินเสียงเชียร์”พี่น้ำสู้ๆ พี่น้ำสู้ๆ” น้องๆทีมที่มาด้วยกันนั่งรถสวนลงมา เชียร์ลั่นกันแบบไม่เกรงใจกันเลย ว่าจะลงพักซะหน่อยต้องปั่นต่อเดี๋ยวเสียฟอร์ม แวะรับสปอนเซอร์ตรงเนินพระธาตุ ดื่มไปนิด ปั่นขึ้นไปหน่อย ถนนกว้างแต่ดันมีคนจูงรถตัดหน้า (ถ้าใครได้ยินเสียงว้ายดังๆตอนนั้น เจ้าของเสียงอยู่นี่ค่ะ แหะ แหะ) คนตกใจกันใหญ่ มีหนุ่มวิ่งมาจะช่วยจับแต่เก้อ ( พอดีดูแล้วไม่ใช่สเปคเลยไม่แกล้งล้ม) เอาตัวรอดไปได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ล้ม ขอบคุณเพื่อนนักปั่นใจดีที่ช่วยนำกระป๋องสปอนเซอร์ไปทิ้งขยะให้ด้วยค่ะ
หลังจากเนินพระธาตุก็ถึงห้ากิโลเมตรสุดท้าย ตรงนี้เองที่เค้าบอกว่า ก่อนเนินพระธาตุใช้แรงขี้น หลังจากนั้นใช้ใจขึ้น เนินตรงหอดูดาวโหดสุดๆ เกือบหนึ่งกิโลเมตรแต่ชันมหากาฬ ความชันที่บอกไว้บางชาร์ตบอก 15% บางชาร์ตว่ากว่า20 % จากความรู้สึกนี่มันมากกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน ตอนนี้ขาเริ่มล้ามาก คุยกะขาตัวเองเหมือนคนเพี้ยน “ shut up legs” “เดี๋ยวถึงแล้ว อีกนิดเดียว” ไปตลอด มองขึ้นไปมีคนปั่นขึ้นไม่กี่คน แต่เดินขึ้นกันเป็นสายยาว บอกตัวเองว่าไม่จูง ไม่ลง เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ทนเอาหน่อย ยิ่งเจอพี่ผู้ชายคนนึงขาเสียใช้จักรยานที่ใช้แขนปั่นขึ้น ยิ่งทำให้กัดฟันสู้ พี่เค้าขาใช้ไม่ได้ยังสู้ เรามีสองขาดีๆจะยอมแพ้ได้อย่างไร กว่าขาจะหมุนไปได้สักรอบเหนื่อยสุดๆ ถึงตรงนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องรักษารอบขากันแล้ว ขายังหมุนไปได้ก็บุญ พออดทนปั่นเลยช่วงนั้นมาได้ รู้เลยว่ารอดแล้ว เหลืออีกสามกิโลก็รอดแล้ว หัวใจขึ้นไปรอที่ยอดดอยตั้งแต่ก่อนเนินพระธาตุ ตอนนี้ตัวจะตามไปบ้าง ร่างกายเริ่มออกอาการ เนินเตี้ยๆ ยังต้องใช้เกียร์ต่ำ พอใกล้ถึงเส้นชัย เป็นทางค่อนข้างราบ ไม่รู้แรงมาจากไหน เร่งปั่นแซงคนไปอีกสองสามคน เข้าเส้นชัยแบบลัลล้าสุดๆ
มีคนชี้บอกให้ไปรับของที่ระลึกเป็นแผ่นป้ายผู้พิชิตอินทนนท์ พอมือสัมผัสกะป้าย น้ำตาแทบไหล ตั้งหน้าตั้งตารอมาเป็นเดือนๆ ซ้อมขึ้นเขาเป็นสิบๆลูกก็เพื่อวินาทีนี้นี่เอง เพื่อให้รู้ว่าตัวเองสามารถผ่านขีดจำกัดของร่างกายไปได้ เพื่อให้รู้ว่าถ้าตั้งใจจริงทุกๆสิ่งก็เป็นไปได้ เพื่อให้รู้ว่าทุกเป้าหมายมีโอกาสทำให้สำเร็จ เพื่อให้รู้ว่าอย่าดูถูกตัวเอง ชีวิตยังมีอีกหลายอย่างมากมายที่เราไม่รู้ว่าสามารถทำได้
คนตัวเล็กๆ หัวใจดวงเล็กๆ ก็สามารถทำความฝันที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นจริงได้
Life is a sweet ride. Enjoy it!
Sweet ride ปั่นสุดใจพิชิตดอยอินทนนท์ครั้งแรก
ช่วงเวลาที่เหลือก็พยายามซ้อมปั่น หาข้อมูลดูว่าขึ้นเขายาวๆต้องปั่นยังไง ยิ่งหาข้อมูลก็ยิ่งผวา ยังไงก็เข็นแหงๆ มีเพื่อนคนนึงที่เคยขึ้นดอยอินทนนท์สองสามรอบบอกว่า ยังไงก็ขึ้นไม่ได้หรอก เลยเถียงว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ก่อน เค้าเลยพนันว่า จากด่านสิบห้ากิโลถึงน้ำตกสิริธารยังไงก็ไม่ถึง ตอนนี้เป้าหมายก็เลยเหลือว่าถ้าผ่านตรงนั้นไปได้ที่เหลือคือกำไร
ทีนี้พอกลับไปอเมริกาก็เลยต้องหารถเป็นของตัวเองเพื่อกลับมาปั่นขึ้นดอย ไหนๆจะเสียเงินแล้วก็ขอให้ได้จักรยานในฝัน แต่ฝันของเราคงไม่เหมือนชาวบ้าน หาดูเท่าไรก็ไม่มีขาย พอดีมีคนรู้จักทำงานที่โรงงานทำจักรยานก็เลยขอซื้อแต่เฟรมมา ให้อีกร้านทำสีทำลวดลาย ตั้งใจว่าจะทำให้รถเบาที่สุดเพราะกะจะจูงขึ้นก็เลยใช้เฟรมคาร์บอน อุปกรณ์ที่เหลือก็สั่งมาจากที่ต่างๆชั่งน้ำหนักทุกชิ้น ลุ้นระทึกว่าเฟรมจะเสร็จทันมั้ย แล้วในที่สุดก็ได้รถคิตตี้ sweet ride มาก่อนบินกลับมาเมืองไทยก่อนวันงานขึ้นดอยสี่วัน ก่อนหน้านั้นก็ซ้อมโดยใช้รถเสือภูเขาเก่าๆหนักๆซื้อมาสี่ห้าปีไว้ซื้อกับข้าวซ้อมปั่นแถวบ้านที่ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย ปั่นเกือบทุกวัน แต่ได้ระยะไม่เยอะแค่ยี่สิบกิโลเพราะหนาวและเหงา ปั่นคนเดียวไม่สนุก อาศัยว่าเห็นเขาเล็กเขาน้อยก็เลี้ยวขึ้นให้หมด แต่ไม่ทรมาณตัวเอง เพราะถ้าปั่นจักรยานแล้วไม่มีความสุข จะทำให้ไม่อยากปั่น คนเรามีชีวิตอยู่ไม่นานต้องพยายามทำสิ่งที่มีความสุข
แล้วก็มาถึงวันนี้ ที่นับวันรอมาเป็นเดือนๆ รองเท้าผ้าใบก็ซื้อใหม่ มีเมมโมรี่โฟมบุด้านในเดินจูงแล้วนุ่มนิ่ม ไม่ใส่คลีทค่ะ เพราะได้ยินมาหลายครั้งแล้วว่าถ้าแรงหมดแล้วจะล้มตึงไปเฉยๆ เดี๋ยวเจ็บหนัก ไหนๆมีรถคิคตี้สีชมพูแหววแล้วก็ขอแต่งตัวให้เข้ากะรถซะหน่อย ปีหน้าจะได้มารึเปล่าก็ไม่รู้ ถึงไม่ถึงไม่ว่าขอบ้าไว้ก่อน อยากให้คนเห็นแล้วยิ้ม ทำให้คนมีความสุขเผื่อผลบุญจะส่งให้ปลิวขึ้นยอดดอย
ตอนเริ่มจะออกตัวเห็นน้องผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มที่มาด้วยกันยกรถหนีไปออกตัวด้านหน้า น้องอีกคนยกวิ่งตาม เออ นี่ขนาดเค้าไม่มีอันดับยังแข่งกันเองสนุกสนาน เราแข่งกับตัวเอง ให้ขาแรงเค้าไปก่อนละกัน แต่ขอแนะนำว่า ถ้าออกตัวได้แรกๆ ออกไปเลยค่ะ เพราะการจราจรช่วงหลังติดมาก ใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าจะเลี้ยวซ้ายเข้าทางไปดอย แล้วออกจากวัดพระธาตุให้ชิดขวาไว้ ไหล่ทางด้านซ้ายถนนไม่ดี
สิบกิโลแรกก่อนถึงด่านเก็บเงิน ปั่นแบบถนอมตัวเองมาก ช้ากว่าปกติ เพราะหนทางอีกยาวไกล พอเลยด่านเก็บเงินถึงเนินชันโค้งหักศอกขึ้นไป ที่เค้าเรียกว่าเนินคัดเกรด เลยรับผลลัพธ์ที่ไม่ออกตัวด้านหน้าเต็มๆ เพราะคนจูงขึ้นกันเต็มถนน การจราจรคับคั่ง ความชันประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ยังสดอยู่ก็เลยขึ้นแบบสบายๆ อาศัยขึ้นทางเลนขวาที่มีรถยนต์กำลังติดหนึบ จะได้ไม่ต้องเบียดคนที่จูงกันทางซ้ายความเสี่ยงสูง
หลังจากขึ้นเนินคัดเกรดแล้วก็ไปต่อ พยายามถนอมแรงขาเอาไว้ไม่ใช้เกียร์หนัก ไม่เร่ง ขึ้นเร็วขาดทุน ถึงก่อนลงก่อน จ่ายเงินไปแล้วขอปั่นนานๆ ตาก็มองไมล์ไว้ เมื่อไรไมล์ถึงสิบห้ากิโลหลังด่านชนะพนัน ปั่นชิลๆมาจนถึงกิโลเมตรที่ยี่สิบทีนี้ละเนินยาวเกือบสี่กิโลเมตรความชันคละกันไปสูงมากกว่า 10 % คนเริ่มลงจูงกันแล้ว ลองเช็คตัวเองยังเฉยๆอยู่ ร้องเพลงได้ แซวเพื่อนร่วมทางได้ ยังไหวอยู่ พอเลยน้ำตกสิริธาร ทีนี้รู้เลยว่าชนะพนันแน่ พอเข็มไมล์บอกว่าผ่านจุดพนันทีนี้ละโล่งเลย ไม่กดดันละ เห็นคนนั่งพักข้างทางเคี้ยวขนมกันหยึบหยับ นึกได้ว่าต้องเติมพลังให้ร่างกายละ เลยคว้าเพาเวอร์บาร์จากหลังเสื้อมาแกะทาน เห็นไอเดียจากรถคันอื่นเอาเพาเวอร์บาร์แปะเทปกะรถแล้วบอกตัวเองว่าต้องเลียนแบบคราวหน้า ใครเอาบาร์เอาเจลไปทาน ฉีกไปล่วงหน้านะคะ ถึงเวลาไม่ต้องลำบากแกะ ขอบอกว่าทานไปปั่นไป อิหลักอิเหลื่อไม่อร่อยอย่างแรง แต่ยังไงก็ต้องทาน เพราะเดี๋ยวไม่มีแรง ช่วงนี้เองที่ได้ข่าวว่ามีอุบัติเหตุผู้ชายล้มไปเฉยๆเพราะแรงหมด
ไปได้อีกห้ากิโลก็ต้องขึ้นเนินยาวอีก ชันด้วย ทีนี้คนเริ่มจูงลงเดินเริ่มเยอะขึ้นทุกที ได้แซวให้กำลังใจกันสนุกสนานตลอดทาง คนจะทำหน้าแปลกใจเมื่อรู้ว่าบินมาจากอเมริกาเพื่อปั่นงานนี้โดยเฉพาะ ปั่นไปได้อีกพักก็แวะลงเท้าแตะพื้นเป็นครั้งแรกเพื่อล้างหน้าล้างตาเข้าห้องน้ำ เป็นผู้หญิงลำบากมาก เพราะห้องน้ำมีแค่สามจุดตลอดทาง เห็นผู้ชายจอดจักรยานแล้วเข้าข้างทางแสนจะอิจฉา ออกจากห้องน้ำมา อ้าว แว่นตาแขวนวางไว้ตรงแฮนด์รถหายไปละ ห่อเหี่ยวสุดๆ เพราะยังต้องไปอีกไกล แดดจ้ามาก ปรากฏว่ามีคนเอาไปวางไว้ที่อ่างล้างมือหน้าห้องน้ำชาย นี่ถ้าใส่แว่นแพงๆมาคงไปแล้วไปลับ เรื่องแว่นนี่ก็เหมือนกัน เอาแว่นไม่แพงมากมานะคะ น้องอีกคนล้มแว่นตาแตก บอกดีใจมากไม่ได้ใส่ Oakley มา แล้วเอาข้อต่อโซ่รถติดมาด้วยก็ดี เห็นคนโซ่ขาดกันเพียบ แต่อิชั้นถึงเอามาก็ทำไม่เป็น ได้แต่พึ่งพระพึ่งเจ้า สวดมนต์ขอพรก่อนมา ยางอย่าแตกโซ่อย่าขาด เพี้ยง
ปั่นต่อไปสักพักหลังกิโลเมตรที่สามสิบนิดๆ ทีนี้จะเป็นเนินวิวสวยแต่ชันแบบยาวและโหดอีกจุดหนึ่ง ยาวเกือบสามกิโล ก็ปั่นขึ้นไปเรื่อยๆบอกตัวเองว่าปั่นไปเถอะเดี๋ยวก็ถึง ตอนนี้เองที่บอกตัวเองว่าจะไม่จูงเด็ดขาด เลยมาครึ่งทางแล้ว ดูชาร์ตที่มีอยู่ก็รู้ว่าเดี๋ยวก็ถึงเนินพระธาตุที่หินที่สุดแล้ว ต้องหาที่ลงอีกครั้งเพื่อเตรียมรับศึกหนัก ยิ่งปั่นผ่านผู้ชายตัวบึ้กๆข้างทางที่พักอยู่บ้าง จูงอยู่บ้างแล้วเค้ายกนิ้วโป้งให้ ยิ่งฮึกเหิม แรงใจยิ่งมาถึงแรงขาจะหาย พอเลยช่วงเนินต้นสนสวยแต่โหด ก็จะเห็นเจดีย์วัดอยู่รำไร แต่อีกหลายรอบขาแหละกว่าจะถึง แวะพักดื่มน้ำทานกล้วยที่เขาแจกข้างทางแล้วยืดขาประมาณสามสี่นาทีแล้วไปต่อ น้ำที่เอามากระปุกนึง กลัวว่าจะไม่พอกลับเหลือ เพราะจุดแจกน้ำมีหลายจุด ใครให้อะไรรับให้หมดเลยนะคะ อย่าเล่นตัว ร่างกายต้องการพลังงานมาก
พักเสร็จปั่นต่อ ยิ่งใกล้เนินพระธาตุยิ่งชัน มองไปไม่มีที่สิ้นสุด ยาวสามกิโลกว่า เห็นคนเดินจูงข้างทางเยอะแยะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะลงไปจูงด้วย ตั้งใจไว้แล้วก็ต้องทำให้ได้ ปั่นไปก็คุยกับสองขาไป ไหวมั้ย ไหว งั้นไปต่อ พอเห็นเนินพระธาตุสุดแสนจะดีใจ เสียดายที่ไม่ทันตัวมาสคอตที่ทีมมิสเตอร์วีไบค์ นครนายก นำมาสร้างสีสัน ไม่เป็นไร ความผิดของเรา เราปั่นช้าเอง
กำลังปั่นขึ้นเนินพระธาตุก็ได้ยินเสียงเชียร์”พี่น้ำสู้ๆ พี่น้ำสู้ๆ” น้องๆทีมที่มาด้วยกันนั่งรถสวนลงมา เชียร์ลั่นกันแบบไม่เกรงใจกันเลย ว่าจะลงพักซะหน่อยต้องปั่นต่อเดี๋ยวเสียฟอร์ม แวะรับสปอนเซอร์ตรงเนินพระธาตุ ดื่มไปนิด ปั่นขึ้นไปหน่อย ถนนกว้างแต่ดันมีคนจูงรถตัดหน้า (ถ้าใครได้ยินเสียงว้ายดังๆตอนนั้น เจ้าของเสียงอยู่นี่ค่ะ แหะ แหะ) คนตกใจกันใหญ่ มีหนุ่มวิ่งมาจะช่วยจับแต่เก้อ ( พอดีดูแล้วไม่ใช่สเปคเลยไม่แกล้งล้ม) เอาตัวรอดไปได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ล้ม ขอบคุณเพื่อนนักปั่นใจดีที่ช่วยนำกระป๋องสปอนเซอร์ไปทิ้งขยะให้ด้วยค่ะ
หลังจากเนินพระธาตุก็ถึงห้ากิโลเมตรสุดท้าย ตรงนี้เองที่เค้าบอกว่า ก่อนเนินพระธาตุใช้แรงขี้น หลังจากนั้นใช้ใจขึ้น เนินตรงหอดูดาวโหดสุดๆ เกือบหนึ่งกิโลเมตรแต่ชันมหากาฬ ความชันที่บอกไว้บางชาร์ตบอก 15% บางชาร์ตว่ากว่า20 % จากความรู้สึกนี่มันมากกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน ตอนนี้ขาเริ่มล้ามาก คุยกะขาตัวเองเหมือนคนเพี้ยน “ shut up legs” “เดี๋ยวถึงแล้ว อีกนิดเดียว” ไปตลอด มองขึ้นไปมีคนปั่นขึ้นไม่กี่คน แต่เดินขึ้นกันเป็นสายยาว บอกตัวเองว่าไม่จูง ไม่ลง เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ทนเอาหน่อย ยิ่งเจอพี่ผู้ชายคนนึงขาเสียใช้จักรยานที่ใช้แขนปั่นขึ้น ยิ่งทำให้กัดฟันสู้ พี่เค้าขาใช้ไม่ได้ยังสู้ เรามีสองขาดีๆจะยอมแพ้ได้อย่างไร กว่าขาจะหมุนไปได้สักรอบเหนื่อยสุดๆ ถึงตรงนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องรักษารอบขากันแล้ว ขายังหมุนไปได้ก็บุญ พออดทนปั่นเลยช่วงนั้นมาได้ รู้เลยว่ารอดแล้ว เหลืออีกสามกิโลก็รอดแล้ว หัวใจขึ้นไปรอที่ยอดดอยตั้งแต่ก่อนเนินพระธาตุ ตอนนี้ตัวจะตามไปบ้าง ร่างกายเริ่มออกอาการ เนินเตี้ยๆ ยังต้องใช้เกียร์ต่ำ พอใกล้ถึงเส้นชัย เป็นทางค่อนข้างราบ ไม่รู้แรงมาจากไหน เร่งปั่นแซงคนไปอีกสองสามคน เข้าเส้นชัยแบบลัลล้าสุดๆ
มีคนชี้บอกให้ไปรับของที่ระลึกเป็นแผ่นป้ายผู้พิชิตอินทนนท์ พอมือสัมผัสกะป้าย น้ำตาแทบไหล ตั้งหน้าตั้งตารอมาเป็นเดือนๆ ซ้อมขึ้นเขาเป็นสิบๆลูกก็เพื่อวินาทีนี้นี่เอง เพื่อให้รู้ว่าตัวเองสามารถผ่านขีดจำกัดของร่างกายไปได้ เพื่อให้รู้ว่าถ้าตั้งใจจริงทุกๆสิ่งก็เป็นไปได้ เพื่อให้รู้ว่าทุกเป้าหมายมีโอกาสทำให้สำเร็จ เพื่อให้รู้ว่าอย่าดูถูกตัวเอง ชีวิตยังมีอีกหลายอย่างมากมายที่เราไม่รู้ว่าสามารถทำได้
คนตัวเล็กๆ หัวใจดวงเล็กๆ ก็สามารถทำความฝันที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นจริงได้
Life is a sweet ride. Enjoy it!