ความเป็นมนุษย์ท่ามกลางความแตกต่างกันในความเชื่อทางศาสนา และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

กระทู้สนทนา
ในสมัยก่อนความขัดแย้งในความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ กับศาสนจักร ค่อนข้างรุนแรง ถึงขนาดเอาชีวิตกันเมื่อความเชื่อในเรื่องหนึ่งเรื่องใดต่างกัน เช่น ความเชื่อในเรื่องโลกกลม โลกแบน เป็นต้น แม้กระทั่งในระหว่างต่างศาสนาก็มีความรุนแรงก่อให้เกิดศึกสงครามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สังเวยชีวิตคนแต่ละฝ่ายนับไม่ถ้วนที่ความคิดความเชื่อมีความขัดแย้งแตกต่างกัน ปัจจุบันคนนับถือศาสนาต่างๆมีมากมาย ไม่นับถือศาสนาใดเลยก็เยอะ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนำมาซึ่งความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ความขัดแย้งในทางศาสนานับวันจะรุนแรงขึ้น แม้กระทั่งในศาสนาเดียวกันก็ยังขัดแย้งกัน ความพยายามในการก่อตั้งศาสนาใหม่ ลัทธิใหม่ เพื่อตอบสนองต่อความเป็นหนึ่งเหนือความคิด ลัทธิ หรือศาสนาอื่น หรือในศาสนาเดียวกัน บางคนตั้งตนเป็นศาสดา หรือผู้นำทางจิตวิญญาณใหม่ ผู้คนที่ประสบกับความทุกข์มักตั้งความหวังกับสิ่งเร้นลับ หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ มากกว่าการค้นคว้า หรือพิสูจน์ความจริงด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถทดสอบได้ในการล่วงทุกข์นั้นๆ แต่เนื่องจากวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทดสอบในเรื่องที่มาและที่ไปของการเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างชัดเจน ประกอบกับมนุษย์นั้นเมื่อเกิดมามีความหวาดกลัวที่จะสูญเสียความสุขที่ตนดำรงอยู่ ไม่อยากลำบาก ไม่อยากตายจากไปจากความจริงที่ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย หรือบางคนเลือกที่จะตายจากโลกนี้ไปเพราะความทุกข์มันรุมเร้าอยู่จนทนไม่ไหว วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายในเรื่องเหล่านั้น ความเชื่อในทางศาสนาในเรื่องภพ เรื่องชาติ การเวียนว่ายตายเกิด จึงเข้ามาแทรก หรือพยายามอธิบายที่มาที่ไปของความเป็นมนุษย์ดังกล่าว มนุษย์ชอบที่จะรู้อนาคตที่ดีจึงฝากความหวังไว้ที่นักพยากรณ์ ทำอย่างไรชีวิตในอนาคตจึงจะดีมีความสุข แก้กรรม ผูกดวงชะตาต่างๆนาๆ บางศาสนาก็เชื่อในเรื่องของการทำบุญทำกุศลแล้วชีวิตจะดีจะเป็นสุขในภพหน้าที่ตนเองเชื่อว่ามี คนที่เชื่อทางวิทยาศาสตร์ก็มักจะมองว่าล้าหลัง คนที่เชื่อในทางตรงข้ามก็จะอ้างหลักฐานจากตำราคำสอนทางศาสนาของตนเองมาแย้งบ้างเป็นที่พบเห็นกันทั่วทุกแห่ง มีสิ่งเดียวที่กิดขึ้นอยู่เสมอๆคือ ความขัดแย้งในการอยู่ร่วมกันในฐานะเพื่อนมนุษญ์ หรือศัตรูมนุษย์ในโลกนี้นั่นเอง ทำไมมนุษย์จึงไม่ดำเนินชีวิตตามแนวทางของวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันยังคงเคารพในความเชื่อซึ่งกันและกัน ยอมรับความแตกต่างในความคิดความเชื่อทางศาสนา เมื่อไหร่เราจะไม่เบียดเบียนกัน เลิกคิดว่าของคนอื่นผิด ของตนเองถูก เราเหนือกว่าเขาเป็นต้น ลองตรองดูว่าเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วมนุษย์จะไปมาหาสู่กันแสนจะยากเย็น คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะความแตกต่างกันในภาษาและวิธีการสื่อสาร แต่ปัจจุบันด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีเครื่องบิน มีรถไฟฟ้า มีดาวเทียม มีสมาร์ทโฟน มีอินเตอร์เนต การไปมาหาสู่ สื่อสารกัน แทบจะลัดนิ้วมือเดียว ถ้าคนสมัยก่อนพบเห็นเรื่องเหล่านี้ก็อาจจะมองว่าเป้นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไม่แน่ว่าในอนาคตอันไกลโพ้น มนุษย์อาจจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้มาก หรือมนุษย์อาจจะรู้อนาคต หรือไขปริศนาของภพ ของ ชาติ ของการเวียนว่ายตายเกิดได้ตามความเชื่อที่มีในแต่ละศาสนาได้ แต่ความเป็นมนุษย์ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันตามหัวข้อกระทู้คือ จงเป็นมนุษย์ ที่ตั้งมั่นอยู่ในความจริง อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งมวล ถ้าเรามัวมาปล่อยให้ความคิดความเชื่อมาถ่วงหรือสะดุดภายใต้ความขัดแย้งนี้ เรื่องราวของความก้าวหน้าของมนุษย์ในทางวิทยาศาสตร์ก็อาจจะไขปริศนาต่างๆช้าลงไปเป็นเงาตามตัว หรือไม่เราก็คงจะประหัตประหารกันต่อไปอีกนับชั่วคนเพื่อสังเวยให้กับความคิดความเชื่อที่แตกต่างกัน หรือว่านี่คือธรรมชาติของมนุษย์ จงตรองดูเถิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่