ความจริงของกระแสโลกร้อน คือผลักให้มี BECCS กับ Carbon Tax ,,,?
ที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเห็นโพสเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนกันมาบ้าง ต้องขออภัยหากทำให้ไม่เข้าใจเพราะดิฉันเองเห็นอะไรที่น่าสนใจก็หยิบมาแชร์เพื่อค้นหาความจริงของกระแสโลกร้อน
การแชร์บทความต่างๆ แต่ล่ะครั้งทำให้ดิฉันเข้าใจว่าเมืองไทยเองก็ใส่ใจเรื่องนี้อยู่มาก แต่อาจจะเป็นเพราะกระแสมาจากต่างประเทศ จึงทำให้คนไทยหลายคนไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง
ก่อนอื่นอยากทำ ความเข้าใจก่อนว่า Global Warming กับ Climate Change เกี่ยวข้องกัน Global Warming หรือโลกร้อน เป็นเหตุทำให้ Climate สภาพอากาศ นั้น Change คือเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศถึงขั้น มนุษย์ เอาเป็นว่าสัตว์โลก ไม่สามารถปรับตัวได้ แต่ก็มีหลายความเห็นที่แย้งว่า สภาพอากาศที่จะเปลี่ยน เป็นสิ่งที่โลกกำหนดไว้แล้ว คือถึงเวลาหากโลกจะเปลี่ยนเค้าก็จะเปลี่ยนเพื่อหาความสมดุลย์
สาเหตุที่ทำให้โลกร้อนเป็นที่รู้ๆกัน คือ เป็นฝีมือของมนุษย์ เมื่อคนปล่อยมลพิษเข้าสู่อากาศมากๆ ทำให้โลกเราร้อนขึ้น เมื่อโลกร้อนขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศของโลกจะเกิดขึ้น ตรงนี้เป็นการอธิบายแบสั้นๆง่ายๆ ดังนั้น Global warming กับ Climate change จึงเกี่ยวข้องกัน
เหล่านี้คือกระแสของโลกร้อน เมื่อกระแสนี้เริ่มมีมูลความจริง คือเรารู้สึกว่า โลกร้อนขึ้นจริง ลมพายุที่ปรากฎเราสัมผัสถึงความรุนแรงจากความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้น ความแห้งแล้งที่ไทยเรากำลังประสพอยู่ ทำให้พวกเราเริ่มตระหนักถึงกระแสโลกร้อนว่า ในอนาคต คืออีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า โลกอาจมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ว่าไว้ !!
หากเรามองถึงปริมาณน้ำมันที่หลงเหลือบนโลกคือ 1,333 ล้านล้านบาร์เรล จากที่โลกเคยมีมากกว่านี้เป็นหลายๆเท่า นี้อาจเป็นสาเหตุหลักของการที่โลกมีคาร์บอนไดอ๊อกไซด์บรรจุในอากาศ ทำให้ชาวโลกต้องประสพกับปัญหา Global Warming หรือ ภาวะโลกร้อนที่แก้ไม่ตก
หากเรามองถึงปริมาณถ่านหินที่มนุษย์ใช้ คงไม่แปลกที่เราประสพภัยร้อนระอุ หรือสภาพอากาศที่ปั่นป่วน
หรือหากเราคำนวณปริมาณพลาสติกที่เราใช้ ตรงนี้ขออ้างถึงโพสเก่าๆที่เคยลง ดิฉันเชื่อว่า อนาคตลูกหลานเหลนของเรา อาจถึงขั้นที่เหล่านักวิทยาศาตร์เรียกว่า จุด Tipping Point
พฤติกรรมนี้ยังไม่ได้รวมถึงการเปิดแอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้กระดาษ จิปาถะ ที่รวมถึงพฤติกรรมฟุ้มเฟื้อ ไม่รู้จักรีไซเคิล / re-cycle
มี IPCC กับองค์กรโลกต่างๆ ยอมรับแล้วว่าเราอาจจะเดินทางมาถึงจุด Tipping Point คือ ขั้นวิกฤติเร็วเกินตามความคาดหมาย หากพวกเรายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม และโพสครั้งล่าสุดคงจะเห็นว่า กว่าจะให้รัฐบาลโลก และหลายๆฝ่ายยอมรับว่า อุณหภูมิของโลกเราเพิ่มขึ้นจริง (World temperature is warmer.) กว่าจะมาตกลงกันที่ Global Warming ที่เกี่ยวข้องกับ Climate is changing. นั้นก็ใช้เวลานานนับสิบๆปี
ถึงแม้ว่าจะลงความเห็นกันที่ โลกร้อนครั้งนี้มนุษย์อาจจะเป็นต้นเหตุอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงแค่ 98% เท่านั้น เท่าที่แปลมาจากสื่อต่างประเทศ แต่มีความเห็นของคนไทยบางความเห็นว่า สื่อต่างประเทศก็มีเข้าใจผิดอยู่บ้าง ต้องลองเข้าไปอ่านใน IPCCโดยตรง ซึ่งเจ้าของบล๊อคได้เข้าไปอ่าน บอกตรงๆว่าข้อมูลเยอะมาก และคำศัพท์ยากสมาก จึงเข้าใจว่านักเขียนหลายท่านหยิบประเด็นที่ตนเองเข้าใจมาเผยแพร่ เท่าที่เจ้าของบล๊อคอ่านดูบทความหลายบทความกับข้อมูลที่ได้ จากข่าว จากwikipedia จากlivescience.com จากyoutube เมื่อพิมพ์ชื่อของนักวิชาการคนใด youtube มักจะให้วีดีโอที่นักวิชาการคนนั้นๆ พูดในสาธารณต่างๆ จึงขอแสดงความคิดเห็นที่ว่า กระแสภาวะโลกร้อนเป็นกระแสผลักดันให้ชาวโลก เห็นความสำคัญของ BECCS กับ CARBON TA
World temperature is warmer because of ,,,,, ไม่ว่าใครหรืออะไรจะเป็นสาเหตุก็ตาม ,,,, Global temperature is rising accordingly. ไม่ว่า Climate change กับ global warming เป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ the world climate is about to changed. ดังนั้นในขณะที่ไทยมีปัญหาภายในประเทศ มีหลายหน่วยงาน นักวิทยาศาสตร์หลายคน พยายามหาทางช่วยแก้ไขปัญหานี้ เพราะเชื่อว่า ปัญหาโลกร้อนนี้ สามารถแก้ไขได้ โดยการลด มลพิษในอากาศ 'เมื่อเพิ่มได้,,..,,ต้องลดได้' นักวิทยาศาตร์และหลายๆหน่วยงานจึง ใช้กราฟที่ให้ข้างล่าง เป็นตัวชี้ว่า หากเรามี BECCS และ ใช้ CARBON TAX เป็นตัวกำหนดการปล่อย CO2 จะทำให้โลกเรา กลับเวลาการมีอากาศบริสุทธิ์ให้เหมือนกับปี ค.ศ. 1980 ลงมา หากเราดูกราฟตามไปด้วยจะทำให้การอธิบายครั้งนี้ อ่านง่ายขึ้น
จากกราฟ ปริมาณ CO2 ในอากาศตอนนี้ แต่ะไปที่เลข 40 มองตรงที่กราฟขาตั้งทางด้านซ้าย และเหลือบสายตาไปที่ 2014 Estimate นั้นหมายถึง โลกเราได้ปล่อย มลพิษที่มาจาก Fossil fuel กับ cement ไปแล้ว 400ppm จำนวนปริมาณนี้ได้ถูกวัดในปี 2014 คือปี พ.ศ. 2557 --ปีที่เขียน 2015-- จากเส้นที่เป็นสีแดง แสดงถึงแนวโน้มปริมาณของมลพิษ คาดว่าในปี 2100 จะเป็นปีที่เราจะถึงจุด Tipping Point คือจุดมหันตภัยที่ร้ายแรง หากพวกเราชาวโลกยังช่วยกันเพิ่ม CO2 คือมลพิษ เข้าสู่โลก เส้นสีฟ้าคือจุดที่ รัฐบาลของโลกต้องการให้โลกเราลด CO2 หรือมลพิษต่าง ๆ ลดลงไปให้เหมือนกับปี ค.ศ. 1980 ลงไป คือให้โลกมีมลพิษน้อยที่สุด การเสนอโครงการที่ชื่อว่า BECCS สถานีดูด CO2 กลับเข้าไปสู่โลก แล้วฝั่ง CO2 ให้อยู่ใต้โลกลึกลงไปกว่า 2 กิโลเมตร พร้อมทั้งให้โลกมี ภาษีที่เรียกว่า Carbon Tax คือภาษีมลพิษ จึงเป็นแนวโน้มที่รัฐบาลกำลังพิจารณา
มารู้จักกับ BECCS ตามภาพ เป็นนวัตกรรมตัวใหม่ที่จะดูดเอา CO2 ในอากาศ แล้วน้ำไปฝั่งลึกลงไปใต้ดิน ชื่อเต็มของ BECCS คือ Bio-Energy with Carbon Capture and storage ภาพข้างล่างนี้คือการทำงานของ BECCS ตอนนี้เป็นที่เข้าใจว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
หากใครติดตามโพสที่ผ่านๆมา จะเห็นโพสที่ชื่อ“ OTEC อาจช่วยโลก” OTEC เป็นอีกสถานีหนึ่งที่ผลิตไฟฟ้าจากคลื่นทะเล แสงอาทิตย์และลม ซึ่งคาดว่าจะมาแทนการผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนที่มาจากถ่านหิน ซึ่งตอนนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า นอกจากการเผาผลาญน้ำมันแล้ว การเผาถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้านั้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โลกร้อน
อีกเทคโนโลยีหนึ่งที่จะมาแทนการผลิตกระแสไฟฟ้า คือการใช้ Nuclear Power Plants คือการใช้พลังงานนิวเคลียร์ มาผลิตกระแสไฟฟ้าแทนถ่านหิน ตรงนี้เจ้าของบล๊อคไม่ขอให้ความเห็น เพราะเข้าใจและได้ยินผลภัยของพลังงานนิวเคลียร์ จึงอยกาเชื่อว่าหากรัฐบาลโลก นำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ คงสร้างความปลอดภัยก่อนใช้ไม่น้อย —แค่อยากจะเชื่อ--
หาก BECCS สามารถดูดเอา CO2 ออกจากอากาศ แล้วฝั่ง CO2 ลงไปใต้ดินได้ อะไรๆก็สามารถเป็นไปได้ เชื่อว่า BECCS จะเก็บ CO2 ได้ต่อครั้ง ประมาณ 2-10 gigatons (พันล้านล้าน) \*\*\* ตรงนี้หากใครรู้เรื่องนี้ แสดงความคิดเห็นได้เลยคะ\*\*\*
อีกข้อมูลที่อยากแชร์ เพราะได้มาจากสื่อที่หามาว่า ทะเลตอนนี้ได้ทำหน้าที่ดูดซึมและเก็บ CO2 ได้ถึง 9 gigatons ต่อปี และดินกับต้นไม้เก็บได้ถึง 10 gigatons ต่อปี \*\*\*ข้อมูลนี้ได้มาจาก livescience.com แต่หากจะเพิ่มเติ่มยินดีคะ\*\*\* ทำให้ดิฉันนึกถึง ความคิดเห็นของคนไทยหลายคนที่มุ่งประเด็นไปที่ การเพิ่มจำนวนต้นไม้ให้มีมากขึ้น ในเมื่อต้นไม้กับทะเลทำหน้าที่กักเก็บมลภาวะได้ สิ่งที่เราต้องเพิ่มคือ ปลูกต้นไม้ ทำไมเราไม่หาพื้นที่ว่างๆปลูกต้นไม้กัน หรือเหล่าผู้มีอำนาจเกรงว่า พื้นที่ปลูกต้นไม้ เป็นพื้นที่ไม่ทำกำไร คือ ทำกินไม่ได้ การสร้าง BECCS จึงเป็นคำตอบ เพราะ BECCS สร้างรายได้ สร้างงาน สร้างความมั่นคง
อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องรู้คือ Carbon Tax หรือ ภาษีมลพิษ ประมาณปี 2013 ประเทศออสเตรเลีย เกือบตกลงให้มีการเก็บภาษีมลพิษ เพราะหลายฝ่ายเชื่อว่า โลกจะเจอะกับจุด Tipping point คือขั้นวิกฤต ดังนั้นหากรัฐบาลเพิ่ม ภาษีอีกภาษีหนึ่งที่เก็บจาก การปล่อยมลพิษได้ จะช่วยให้คนออสเตรเลียลดการฟุ้มเฟื้อ และหันมาใส่ใจธรรมชาติมากขึ้น โชคดีที่รัฐบาลออสเตรเลียขอใช้เวลาในการพิจารณา จนกระทั่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา แต่หากประเทศออสเตรเลียให้กฎของการเก็บภาษีมลพิษ หรือ CARBON TAX ผ่าน ประชากรในประเทศออสเตรเลีย ต้องมีเครื่องวัดมลพิษในแต่ล่ะบ้าน ซึ่งเครื่องนี้เป็นที่เข้าใจว่า ประชากรต้องซื้อหากันเอง ( ตรงนี้เหมือน Scam คือ คนที่ประดิษฐ์เครื่องวัดมลพิษ มีทางเลือก 2 ทางคือ ไม่เป็น millionaire ก็คงเป็น Billionaire ) และนอกจากจ่ายภาษี VAT หรือ GST ที่ตอนนี้เป็นภาษีปกติแล้ว ต้องจ่ายเพิ่ม CT คือ CARBON TAX อีก นั้นหมายความว่า สมมุติ เราเคยจ่ายค่ารองเท้าคู่ล่ะ 500 บาท ราคานี้รวมภาษี VAT แล้ว หากมี CT เราต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งจะไม่ใช่ตัวเลข 500 อีกต่อไป นอกจากสินค้าต่างๆจะขึ้น ค่ายา ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและการใช้ไฟฟ้า เมื่อของแพงอะไรๆก็จะแพงไปด้วยรวมทั้งค่าบริการ
มาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งที่ดิฉันโพสไป หากทำให้สับสน ต้องขออภัย แต่ทุกโพส ทุกคำพูด มาจากความหวังดี ที่ดิฉันอยากเห็นคนไทยใช้วิจารณญาน ในการบริโภคข้อมูลแต่ล่ะครั้ง เพื่อให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อข้อมูลอีกต่อไป สิ่งที่เราไม่รู้ หากเราให้เวลา อาจนำพาซึ่งความเข้าใจกับความจริง การโพสครั้งนี้ใช่ว่าจะลงเอยด้วย การลงความเห็นว่ากระแสนี้เป็นมูลของ Scam เพียงแต่การที่เรานำเอาอนาคตของเด็กมาแลกกับผลพลอยได้ในระยะสั้น เจ้าของบล๊อคคิดว่า มนุษย์เห็นแก่ตัวเกินไป ใช่คะเราต้องกินต้องใช้ทุกวัน แต่หากเริ่มแบ่งปัน และรู้จักพอเพื่อให้คนอื่นมีโอกาสได้บ้าง เราคงไม่ต้องมีกระแสภาวะโลกร้อนจนถึงทุกวันนี้
^^^ไม่ได้ขยันเพียงแต่คิดว่า หากคนไม่ช่วยคนด้วยกัน ใครจะมาช่วยเรา การเริ่มต้นที่ตัวดิฉันเพื่อให้ส่วนรวมเห็นประโยชน์แก่ส่วนรวม จะให้เขียนผิดร้อยครั้งเพื่อหาข้อเท็จจริงของโลกร้อน ดิฉันขอเป็นส่วนร่วมในครั้งนี้^^^
ความจริงกระแสโลกร้อน คือผลักดันให้มี BECCS กับ CARBON TAX,,,?
ที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเห็นโพสเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนกันมาบ้าง ต้องขออภัยหากทำให้ไม่เข้าใจเพราะดิฉันเองเห็นอะไรที่น่าสนใจก็หยิบมาแชร์เพื่อค้นหาความจริงของกระแสโลกร้อน
การแชร์บทความต่างๆ แต่ล่ะครั้งทำให้ดิฉันเข้าใจว่าเมืองไทยเองก็ใส่ใจเรื่องนี้อยู่มาก แต่อาจจะเป็นเพราะกระแสมาจากต่างประเทศ จึงทำให้คนไทยหลายคนไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง
ก่อนอื่นอยากทำ ความเข้าใจก่อนว่า Global Warming กับ Climate Change เกี่ยวข้องกัน Global Warming หรือโลกร้อน เป็นเหตุทำให้ Climate สภาพอากาศ นั้น Change คือเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศถึงขั้น มนุษย์ เอาเป็นว่าสัตว์โลก ไม่สามารถปรับตัวได้ แต่ก็มีหลายความเห็นที่แย้งว่า สภาพอากาศที่จะเปลี่ยน เป็นสิ่งที่โลกกำหนดไว้แล้ว คือถึงเวลาหากโลกจะเปลี่ยนเค้าก็จะเปลี่ยนเพื่อหาความสมดุลย์
สาเหตุที่ทำให้โลกร้อนเป็นที่รู้ๆกัน คือ เป็นฝีมือของมนุษย์ เมื่อคนปล่อยมลพิษเข้าสู่อากาศมากๆ ทำให้โลกเราร้อนขึ้น เมื่อโลกร้อนขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศของโลกจะเกิดขึ้น ตรงนี้เป็นการอธิบายแบสั้นๆง่ายๆ ดังนั้น Global warming กับ Climate change จึงเกี่ยวข้องกัน
เหล่านี้คือกระแสของโลกร้อน เมื่อกระแสนี้เริ่มมีมูลความจริง คือเรารู้สึกว่า โลกร้อนขึ้นจริง ลมพายุที่ปรากฎเราสัมผัสถึงความรุนแรงจากความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้น ความแห้งแล้งที่ไทยเรากำลังประสพอยู่ ทำให้พวกเราเริ่มตระหนักถึงกระแสโลกร้อนว่า ในอนาคต คืออีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า โลกอาจมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ว่าไว้ !!
หากเรามองถึงปริมาณน้ำมันที่หลงเหลือบนโลกคือ 1,333 ล้านล้านบาร์เรล จากที่โลกเคยมีมากกว่านี้เป็นหลายๆเท่า นี้อาจเป็นสาเหตุหลักของการที่โลกมีคาร์บอนไดอ๊อกไซด์บรรจุในอากาศ ทำให้ชาวโลกต้องประสพกับปัญหา Global Warming หรือ ภาวะโลกร้อนที่แก้ไม่ตก
หากเรามองถึงปริมาณถ่านหินที่มนุษย์ใช้ คงไม่แปลกที่เราประสพภัยร้อนระอุ หรือสภาพอากาศที่ปั่นป่วน
หรือหากเราคำนวณปริมาณพลาสติกที่เราใช้ ตรงนี้ขออ้างถึงโพสเก่าๆที่เคยลง ดิฉันเชื่อว่า อนาคตลูกหลานเหลนของเรา อาจถึงขั้นที่เหล่านักวิทยาศาตร์เรียกว่า จุด Tipping Point
พฤติกรรมนี้ยังไม่ได้รวมถึงการเปิดแอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้กระดาษ จิปาถะ ที่รวมถึงพฤติกรรมฟุ้มเฟื้อ ไม่รู้จักรีไซเคิล / re-cycle
มี IPCC กับองค์กรโลกต่างๆ ยอมรับแล้วว่าเราอาจจะเดินทางมาถึงจุด Tipping Point คือ ขั้นวิกฤติเร็วเกินตามความคาดหมาย หากพวกเรายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม และโพสครั้งล่าสุดคงจะเห็นว่า กว่าจะให้รัฐบาลโลก และหลายๆฝ่ายยอมรับว่า อุณหภูมิของโลกเราเพิ่มขึ้นจริง (World temperature is warmer.) กว่าจะมาตกลงกันที่ Global Warming ที่เกี่ยวข้องกับ Climate is changing. นั้นก็ใช้เวลานานนับสิบๆปี
ถึงแม้ว่าจะลงความเห็นกันที่ โลกร้อนครั้งนี้มนุษย์อาจจะเป็นต้นเหตุอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงแค่ 98% เท่านั้น เท่าที่แปลมาจากสื่อต่างประเทศ แต่มีความเห็นของคนไทยบางความเห็นว่า สื่อต่างประเทศก็มีเข้าใจผิดอยู่บ้าง ต้องลองเข้าไปอ่านใน IPCCโดยตรง ซึ่งเจ้าของบล๊อคได้เข้าไปอ่าน บอกตรงๆว่าข้อมูลเยอะมาก และคำศัพท์ยากสมาก จึงเข้าใจว่านักเขียนหลายท่านหยิบประเด็นที่ตนเองเข้าใจมาเผยแพร่ เท่าที่เจ้าของบล๊อคอ่านดูบทความหลายบทความกับข้อมูลที่ได้ จากข่าว จากwikipedia จากlivescience.com จากyoutube เมื่อพิมพ์ชื่อของนักวิชาการคนใด youtube มักจะให้วีดีโอที่นักวิชาการคนนั้นๆ พูดในสาธารณต่างๆ จึงขอแสดงความคิดเห็นที่ว่า กระแสภาวะโลกร้อนเป็นกระแสผลักดันให้ชาวโลก เห็นความสำคัญของ BECCS กับ CARBON TA
World temperature is warmer because of ,,,,, ไม่ว่าใครหรืออะไรจะเป็นสาเหตุก็ตาม ,,,, Global temperature is rising accordingly. ไม่ว่า Climate change กับ global warming เป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ the world climate is about to changed. ดังนั้นในขณะที่ไทยมีปัญหาภายในประเทศ มีหลายหน่วยงาน นักวิทยาศาสตร์หลายคน พยายามหาทางช่วยแก้ไขปัญหานี้ เพราะเชื่อว่า ปัญหาโลกร้อนนี้ สามารถแก้ไขได้ โดยการลด มลพิษในอากาศ 'เมื่อเพิ่มได้,,..,,ต้องลดได้' นักวิทยาศาตร์และหลายๆหน่วยงานจึง ใช้กราฟที่ให้ข้างล่าง เป็นตัวชี้ว่า หากเรามี BECCS และ ใช้ CARBON TAX เป็นตัวกำหนดการปล่อย CO2 จะทำให้โลกเรา กลับเวลาการมีอากาศบริสุทธิ์ให้เหมือนกับปี ค.ศ. 1980 ลงมา หากเราดูกราฟตามไปด้วยจะทำให้การอธิบายครั้งนี้ อ่านง่ายขึ้น
จากกราฟ ปริมาณ CO2 ในอากาศตอนนี้ แต่ะไปที่เลข 40 มองตรงที่กราฟขาตั้งทางด้านซ้าย และเหลือบสายตาไปที่ 2014 Estimate นั้นหมายถึง โลกเราได้ปล่อย มลพิษที่มาจาก Fossil fuel กับ cement ไปแล้ว 400ppm จำนวนปริมาณนี้ได้ถูกวัดในปี 2014 คือปี พ.ศ. 2557 --ปีที่เขียน 2015-- จากเส้นที่เป็นสีแดง แสดงถึงแนวโน้มปริมาณของมลพิษ คาดว่าในปี 2100 จะเป็นปีที่เราจะถึงจุด Tipping Point คือจุดมหันตภัยที่ร้ายแรง หากพวกเราชาวโลกยังช่วยกันเพิ่ม CO2 คือมลพิษ เข้าสู่โลก เส้นสีฟ้าคือจุดที่ รัฐบาลของโลกต้องการให้โลกเราลด CO2 หรือมลพิษต่าง ๆ ลดลงไปให้เหมือนกับปี ค.ศ. 1980 ลงไป คือให้โลกมีมลพิษน้อยที่สุด การเสนอโครงการที่ชื่อว่า BECCS สถานีดูด CO2 กลับเข้าไปสู่โลก แล้วฝั่ง CO2 ให้อยู่ใต้โลกลึกลงไปกว่า 2 กิโลเมตร พร้อมทั้งให้โลกมี ภาษีที่เรียกว่า Carbon Tax คือภาษีมลพิษ จึงเป็นแนวโน้มที่รัฐบาลกำลังพิจารณา
มารู้จักกับ BECCS ตามภาพ เป็นนวัตกรรมตัวใหม่ที่จะดูดเอา CO2 ในอากาศ แล้วน้ำไปฝั่งลึกลงไปใต้ดิน ชื่อเต็มของ BECCS คือ Bio-Energy with Carbon Capture and storage ภาพข้างล่างนี้คือการทำงานของ BECCS ตอนนี้เป็นที่เข้าใจว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
หากใครติดตามโพสที่ผ่านๆมา จะเห็นโพสที่ชื่อ“ OTEC อาจช่วยโลก” OTEC เป็นอีกสถานีหนึ่งที่ผลิตไฟฟ้าจากคลื่นทะเล แสงอาทิตย์และลม ซึ่งคาดว่าจะมาแทนการผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนที่มาจากถ่านหิน ซึ่งตอนนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า นอกจากการเผาผลาญน้ำมันแล้ว การเผาถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้านั้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โลกร้อน
อีกเทคโนโลยีหนึ่งที่จะมาแทนการผลิตกระแสไฟฟ้า คือการใช้ Nuclear Power Plants คือการใช้พลังงานนิวเคลียร์ มาผลิตกระแสไฟฟ้าแทนถ่านหิน ตรงนี้เจ้าของบล๊อคไม่ขอให้ความเห็น เพราะเข้าใจและได้ยินผลภัยของพลังงานนิวเคลียร์ จึงอยกาเชื่อว่าหากรัฐบาลโลก นำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ คงสร้างความปลอดภัยก่อนใช้ไม่น้อย —แค่อยากจะเชื่อ--
หาก BECCS สามารถดูดเอา CO2 ออกจากอากาศ แล้วฝั่ง CO2 ลงไปใต้ดินได้ อะไรๆก็สามารถเป็นไปได้ เชื่อว่า BECCS จะเก็บ CO2 ได้ต่อครั้ง ประมาณ 2-10 gigatons (พันล้านล้าน) \*\*\* ตรงนี้หากใครรู้เรื่องนี้ แสดงความคิดเห็นได้เลยคะ\*\*\*
อีกข้อมูลที่อยากแชร์ เพราะได้มาจากสื่อที่หามาว่า ทะเลตอนนี้ได้ทำหน้าที่ดูดซึมและเก็บ CO2 ได้ถึง 9 gigatons ต่อปี และดินกับต้นไม้เก็บได้ถึง 10 gigatons ต่อปี \*\*\*ข้อมูลนี้ได้มาจาก livescience.com แต่หากจะเพิ่มเติ่มยินดีคะ\*\*\* ทำให้ดิฉันนึกถึง ความคิดเห็นของคนไทยหลายคนที่มุ่งประเด็นไปที่ การเพิ่มจำนวนต้นไม้ให้มีมากขึ้น ในเมื่อต้นไม้กับทะเลทำหน้าที่กักเก็บมลภาวะได้ สิ่งที่เราต้องเพิ่มคือ ปลูกต้นไม้ ทำไมเราไม่หาพื้นที่ว่างๆปลูกต้นไม้กัน หรือเหล่าผู้มีอำนาจเกรงว่า พื้นที่ปลูกต้นไม้ เป็นพื้นที่ไม่ทำกำไร คือ ทำกินไม่ได้ การสร้าง BECCS จึงเป็นคำตอบ เพราะ BECCS สร้างรายได้ สร้างงาน สร้างความมั่นคง
อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องรู้คือ Carbon Tax หรือ ภาษีมลพิษ ประมาณปี 2013 ประเทศออสเตรเลีย เกือบตกลงให้มีการเก็บภาษีมลพิษ เพราะหลายฝ่ายเชื่อว่า โลกจะเจอะกับจุด Tipping point คือขั้นวิกฤต ดังนั้นหากรัฐบาลเพิ่ม ภาษีอีกภาษีหนึ่งที่เก็บจาก การปล่อยมลพิษได้ จะช่วยให้คนออสเตรเลียลดการฟุ้มเฟื้อ และหันมาใส่ใจธรรมชาติมากขึ้น โชคดีที่รัฐบาลออสเตรเลียขอใช้เวลาในการพิจารณา จนกระทั่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา แต่หากประเทศออสเตรเลียให้กฎของการเก็บภาษีมลพิษ หรือ CARBON TAX ผ่าน ประชากรในประเทศออสเตรเลีย ต้องมีเครื่องวัดมลพิษในแต่ล่ะบ้าน ซึ่งเครื่องนี้เป็นที่เข้าใจว่า ประชากรต้องซื้อหากันเอง ( ตรงนี้เหมือน Scam คือ คนที่ประดิษฐ์เครื่องวัดมลพิษ มีทางเลือก 2 ทางคือ ไม่เป็น millionaire ก็คงเป็น Billionaire ) และนอกจากจ่ายภาษี VAT หรือ GST ที่ตอนนี้เป็นภาษีปกติแล้ว ต้องจ่ายเพิ่ม CT คือ CARBON TAX อีก นั้นหมายความว่า สมมุติ เราเคยจ่ายค่ารองเท้าคู่ล่ะ 500 บาท ราคานี้รวมภาษี VAT แล้ว หากมี CT เราต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งจะไม่ใช่ตัวเลข 500 อีกต่อไป นอกจากสินค้าต่างๆจะขึ้น ค่ายา ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและการใช้ไฟฟ้า เมื่อของแพงอะไรๆก็จะแพงไปด้วยรวมทั้งค่าบริการ
มาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งที่ดิฉันโพสไป หากทำให้สับสน ต้องขออภัย แต่ทุกโพส ทุกคำพูด มาจากความหวังดี ที่ดิฉันอยากเห็นคนไทยใช้วิจารณญาน ในการบริโภคข้อมูลแต่ล่ะครั้ง เพื่อให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อข้อมูลอีกต่อไป สิ่งที่เราไม่รู้ หากเราให้เวลา อาจนำพาซึ่งความเข้าใจกับความจริง การโพสครั้งนี้ใช่ว่าจะลงเอยด้วย การลงความเห็นว่ากระแสนี้เป็นมูลของ Scam เพียงแต่การที่เรานำเอาอนาคตของเด็กมาแลกกับผลพลอยได้ในระยะสั้น เจ้าของบล๊อคคิดว่า มนุษย์เห็นแก่ตัวเกินไป ใช่คะเราต้องกินต้องใช้ทุกวัน แต่หากเริ่มแบ่งปัน และรู้จักพอเพื่อให้คนอื่นมีโอกาสได้บ้าง เราคงไม่ต้องมีกระแสภาวะโลกร้อนจนถึงทุกวันนี้
^^^ไม่ได้ขยันเพียงแต่คิดว่า หากคนไม่ช่วยคนด้วยกัน ใครจะมาช่วยเรา การเริ่มต้นที่ตัวดิฉันเพื่อให้ส่วนรวมเห็นประโยชน์แก่ส่วนรวม จะให้เขียนผิดร้อยครั้งเพื่อหาข้อเท็จจริงของโลกร้อน ดิฉันขอเป็นส่วนร่วมในครั้งนี้^^^