พักนี้คนไทยทั้งประเทศจะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของขบวนการบางขบวนการที่ใช้ชื่อว่า “นักสิทธิมนุษยชน” โดยมีชื่อองค์กรหลายรูปแบบ หลายชื่อ หลายนาม
บ้างก็อ้างว่า เป็นองค์กรหรือหน่วยงานในประเทศไทย บ้างก็อ้างว่าเป็นองค์กรหรือหน่วยงานต่างประเทศที่มีตัวแทนหรือสำนักงานในประเทศไทย
สาธุ! ถ้าหากว่าการทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ทั้งหลายโดยไม่เลือกเพศวัย ไม่เลือกชนชาติหรือศาสนาไหน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ย่อมหวังประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์หรือผู้ด้อยโอกาสหรือผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งผอง ซึ่งเป็นความปรารถนาร่วมกันของชาวโลก
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมีการอ้างหรือแอบอ้างว่าเป็นนักสิทธิมนุษยชนหรือองค์กรสิทธิมนุษยชน แต่แท้จริงคือข้าทาสของต่างชาติที่ทำการเพื่อบ่อนทำลายหรือทำร้ายประเทศไทยของเรา หรือทำตัวเป็นหุ่นเชิดหรือกระบอกเสียงให้กับบางชาติที่ข่มเหงรังแกมุ่งร้ายทำลายไทย ดังที่เห็นๆกันอยู่
ดังนั้นเมื่อมีการเอ่ยอ้างว่าเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนหรือเป็นนักมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน ชาวไทยก็ต้องตั้งหลักปักใจให้มั่นว่า เป็นองค์กรหรือนักสิทธิมนุษยชนจริงแท้ หรือว่าเป็นองค์กรหรือนักสิทธิมนุษยชนทาสที่เป็นขี้ข้าต่างชาติ เป็นทาสต่างชาติ เพื่อมุ่งร้ายทำลายไทย
อย่างเช่นกรณีชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นพวกหลบหนีเข้าเมืองมายังประเทศไทย ซึ่งสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมีอำนาจหน้าที่ต้องจับกุมคุมตัวไว้ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และเมื่อจับกุมควบคุมตัวแล้วก็ยังต้องเลี้ยงดูให้ข้าวปลาอาหารและเสื้อผ้าเพื่อมนุษยธรรมซึ่งประเทศไทยได้ดูแลเลี้ยงดูชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ซึ่งมีประมาณ 400 คน มาเป็นเวลาร่วม 2 ปีแล้ว
เมื่อควบคุมตัวไว้แล้วก็ต้องตรวจพิสูจน์สัญชาติ เพื่อส่งกลับไปประเทศที่เป็นเจ้าสัญชาติอันเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อปฏิบัติระหว่างประเทศของสหประชาชาติ
ในระหว่าง 2 ปีมานี้ ก็มีการตรวจพิสูจน์สัญชาติอย่างต่อเนื่อง เมื่อผลการตรวจพิสูจน์สัญชาติว่าพวกหนึ่งมีสัญชาติตุรกี ประเทศไทยก็ต้องส่งกลับไปยังประเทศตุรกี ก็ไม่เห็นนักสิทธิมนุษยชนติเตียนว่ากล่าวประการใด ครั้นอีกพวกหนึ่งผลการพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นสัญชาติจีน ประเทศไทยก็ต้องส่งกลับไปยังประเทศจีน นักสิทธิมนุษยชนจำแลงก็แผลงฤทธิ์ ติเตียนรัฐบาลไทยและประเทศไทยว่าไร้มนุษยธรรม
กล่าวหาว่ารัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ไปให้รัฐบาลจีนทรมานหรือประหารชีวิต ทั้งๆ ที่คนที่พูดนั้นก็ไม่เคยสัมผัสรู้เห็นความเป็นจริงเกี่ยวกับเขตปกครองตนเองของชาวอุยกูร์ในประเทศจีน ซึ่งรัฐบาลจีนได้จัดตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษให้ปกครองกันเอง ไม่ว่าที่ซินเกียง กานซู หรือหนิงเซียะ ซึ่งมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขาอยู่กันด้วยความเรียบร้อย แต่นักสิทธิมนุษยชนพูดราวกับว่าชาวอุยกูร์ทั้งหมดถูกทำโทษทรมานจากรัฐบาลจีน
การพูดโดยไม่เคยสัมผัสความจริง โดยไม่รู้ความจริง พูดตามที่ฝรั่งยัดปากให้พูดจึงไม่ใช่นักสิทธิมนุษยชนแท้ แต่เป็นนักสิทธิมนุษยชนทาส ที่เป็นขี้ข้าต่างชาติและไม่สำเหนียกนึกรู้เลยว่าที่กระทำการอยู่นั้นได้กลายเป็นเครื่องมือทำร้ายทำลายไทย
นักสิทธิมนุษยชนทาสพวกนี้จะกล่าวหาว่าร้ายรัฐบาลไทยอย่างไม่บันยะบันยังแต่สำหรับกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันจริงๆที่มีการทำทุกทรมานให้แก่เพื่อนมนุษย์หรือเข่นฆ่าสังหารกันอย่างโหดร้ายอำมหิตซึ่งตำตาอยู่ทุกวี่ทุกวัน นักสิทธิมนุษยชนเหล่านี้กลับเงียบเป็นเป่าสาก
ดูกรณีดังต่อไปนี้ก็ได้ว่านักสิทธิมนุษยชนทาสเหล่านี้ได้พูดจาเรียกร้องอะไรบ้าง?
ข้อแรก การที่บางประเทศส่งกองกำลังและเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสังหารประชาชนชาวอิรักซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างโหดร้ายทารุณ และเป็นเหตุให้ผู้คนตายหลายหมื่นคนมีผู้อพยพได้รับทุกข์ทรมานนับล้านคน
ข้อสอง การที่บางประเทศส่งกองกำลังและเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสังหารประชาชนชาวซีเรียที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างโหดร้ายทารุณจนผู้คนล้มตายนับแสนคน และอพยพนับล้านคน บ้านแตกสาแหรกขาด
ข้อสาม การที่บางประเทศส่งกองกำลังและเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสังหารประชาชนชาวเยเมนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างโหดร้ายทารุณจนผู้คนล้มตายนับแสนคน และอพยพนับล้านคน บ้านแตกสาแหรกขาด
ข้อสี่ การที่ชาวมุสลิมผิวดำในอเมริกาประท้วงแล้วถูกทุบตีเข่นฆ่าสังหารอย่างโหดร้ายอย่างต่อเนื่องอยู่ในทุกวันนี้และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
เอากันแค่สี่กรณีนี้ก็ไม่เคยเห็นนักสิทธิมนุษยชนทาสเหล่านี้ประท้วงหรือเรียกร้องหรือแสดงท่าทีเพื่อสิทธิมนุษยชนของเพื่อนมนุษย์แม้แต่สักครั้งเดียว ก็ไม่รู้ว่าไปอมสากหรืออมเงินอยู่
การเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นนักสิทธิมนุษยชนทาสนั้น ยังเบากว่าความเป็นจริงมากนัก แท้จริงควรต้องประณามว่าเป็นพวกทรยศชาติ ที่มุ่งทำลายชาติของตน ยอมตนเป็นข้าทาสของต่างชาติที่ไม่รู้จักอับอายญาติพี่น้องหรือบรรพบุรุษของตนเลย!
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/19529
นักสิทธิมนุษยชนทาส ก๊อปแปะ By อดีตหัวหน้าเผ่าฯ
บ้างก็อ้างว่า เป็นองค์กรหรือหน่วยงานในประเทศไทย บ้างก็อ้างว่าเป็นองค์กรหรือหน่วยงานต่างประเทศที่มีตัวแทนหรือสำนักงานในประเทศไทย
สาธุ! ถ้าหากว่าการทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ทั้งหลายโดยไม่เลือกเพศวัย ไม่เลือกชนชาติหรือศาสนาไหน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ย่อมหวังประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์หรือผู้ด้อยโอกาสหรือผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งผอง ซึ่งเป็นความปรารถนาร่วมกันของชาวโลก
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมีการอ้างหรือแอบอ้างว่าเป็นนักสิทธิมนุษยชนหรือองค์กรสิทธิมนุษยชน แต่แท้จริงคือข้าทาสของต่างชาติที่ทำการเพื่อบ่อนทำลายหรือทำร้ายประเทศไทยของเรา หรือทำตัวเป็นหุ่นเชิดหรือกระบอกเสียงให้กับบางชาติที่ข่มเหงรังแกมุ่งร้ายทำลายไทย ดังที่เห็นๆกันอยู่
ดังนั้นเมื่อมีการเอ่ยอ้างว่าเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนหรือเป็นนักมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน ชาวไทยก็ต้องตั้งหลักปักใจให้มั่นว่า เป็นองค์กรหรือนักสิทธิมนุษยชนจริงแท้ หรือว่าเป็นองค์กรหรือนักสิทธิมนุษยชนทาสที่เป็นขี้ข้าต่างชาติ เป็นทาสต่างชาติ เพื่อมุ่งร้ายทำลายไทย
อย่างเช่นกรณีชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นพวกหลบหนีเข้าเมืองมายังประเทศไทย ซึ่งสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมีอำนาจหน้าที่ต้องจับกุมคุมตัวไว้ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และเมื่อจับกุมควบคุมตัวแล้วก็ยังต้องเลี้ยงดูให้ข้าวปลาอาหารและเสื้อผ้าเพื่อมนุษยธรรมซึ่งประเทศไทยได้ดูแลเลี้ยงดูชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ซึ่งมีประมาณ 400 คน มาเป็นเวลาร่วม 2 ปีแล้ว
เมื่อควบคุมตัวไว้แล้วก็ต้องตรวจพิสูจน์สัญชาติ เพื่อส่งกลับไปประเทศที่เป็นเจ้าสัญชาติอันเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อปฏิบัติระหว่างประเทศของสหประชาชาติ
ในระหว่าง 2 ปีมานี้ ก็มีการตรวจพิสูจน์สัญชาติอย่างต่อเนื่อง เมื่อผลการตรวจพิสูจน์สัญชาติว่าพวกหนึ่งมีสัญชาติตุรกี ประเทศไทยก็ต้องส่งกลับไปยังประเทศตุรกี ก็ไม่เห็นนักสิทธิมนุษยชนติเตียนว่ากล่าวประการใด ครั้นอีกพวกหนึ่งผลการพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นสัญชาติจีน ประเทศไทยก็ต้องส่งกลับไปยังประเทศจีน นักสิทธิมนุษยชนจำแลงก็แผลงฤทธิ์ ติเตียนรัฐบาลไทยและประเทศไทยว่าไร้มนุษยธรรม
กล่าวหาว่ารัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ไปให้รัฐบาลจีนทรมานหรือประหารชีวิต ทั้งๆ ที่คนที่พูดนั้นก็ไม่เคยสัมผัสรู้เห็นความเป็นจริงเกี่ยวกับเขตปกครองตนเองของชาวอุยกูร์ในประเทศจีน ซึ่งรัฐบาลจีนได้จัดตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษให้ปกครองกันเอง ไม่ว่าที่ซินเกียง กานซู หรือหนิงเซียะ ซึ่งมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขาอยู่กันด้วยความเรียบร้อย แต่นักสิทธิมนุษยชนพูดราวกับว่าชาวอุยกูร์ทั้งหมดถูกทำโทษทรมานจากรัฐบาลจีน
การพูดโดยไม่เคยสัมผัสความจริง โดยไม่รู้ความจริง พูดตามที่ฝรั่งยัดปากให้พูดจึงไม่ใช่นักสิทธิมนุษยชนแท้ แต่เป็นนักสิทธิมนุษยชนทาส ที่เป็นขี้ข้าต่างชาติและไม่สำเหนียกนึกรู้เลยว่าที่กระทำการอยู่นั้นได้กลายเป็นเครื่องมือทำร้ายทำลายไทย
นักสิทธิมนุษยชนทาสพวกนี้จะกล่าวหาว่าร้ายรัฐบาลไทยอย่างไม่บันยะบันยังแต่สำหรับกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันจริงๆที่มีการทำทุกทรมานให้แก่เพื่อนมนุษย์หรือเข่นฆ่าสังหารกันอย่างโหดร้ายอำมหิตซึ่งตำตาอยู่ทุกวี่ทุกวัน นักสิทธิมนุษยชนเหล่านี้กลับเงียบเป็นเป่าสาก
ดูกรณีดังต่อไปนี้ก็ได้ว่านักสิทธิมนุษยชนทาสเหล่านี้ได้พูดจาเรียกร้องอะไรบ้าง?
ข้อแรก การที่บางประเทศส่งกองกำลังและเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสังหารประชาชนชาวอิรักซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างโหดร้ายทารุณ และเป็นเหตุให้ผู้คนตายหลายหมื่นคนมีผู้อพยพได้รับทุกข์ทรมานนับล้านคน
ข้อสอง การที่บางประเทศส่งกองกำลังและเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสังหารประชาชนชาวซีเรียที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างโหดร้ายทารุณจนผู้คนล้มตายนับแสนคน และอพยพนับล้านคน บ้านแตกสาแหรกขาด
ข้อสาม การที่บางประเทศส่งกองกำลังและเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสังหารประชาชนชาวเยเมนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างโหดร้ายทารุณจนผู้คนล้มตายนับแสนคน และอพยพนับล้านคน บ้านแตกสาแหรกขาด
ข้อสี่ การที่ชาวมุสลิมผิวดำในอเมริกาประท้วงแล้วถูกทุบตีเข่นฆ่าสังหารอย่างโหดร้ายอย่างต่อเนื่องอยู่ในทุกวันนี้และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
เอากันแค่สี่กรณีนี้ก็ไม่เคยเห็นนักสิทธิมนุษยชนทาสเหล่านี้ประท้วงหรือเรียกร้องหรือแสดงท่าทีเพื่อสิทธิมนุษยชนของเพื่อนมนุษย์แม้แต่สักครั้งเดียว ก็ไม่รู้ว่าไปอมสากหรืออมเงินอยู่
การเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นนักสิทธิมนุษยชนทาสนั้น ยังเบากว่าความเป็นจริงมากนัก แท้จริงควรต้องประณามว่าเป็นพวกทรยศชาติ ที่มุ่งทำลายชาติของตน ยอมตนเป็นข้าทาสของต่างชาติที่ไม่รู้จักอับอายญาติพี่น้องหรือบรรพบุรุษของตนเลย!
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/19529