ก่อนอื่นเลยผมต้องขอประทานอภัยในการตั้งกระทู้มาบ่อยนะครับ เพราะเรื่องของผมนั้นยาวจริงๆ ฉะนั้นหากผมจะเพิ่มข้อมูลไปอีกจะใช้กระทู้นี้ตลอดไป เพื่อท่านผู้ฟังเข้าใจไปในทิศทางตรงกัน ขอประทานอภัยจริงๆครับ
สวัสดีครับ หลังจากผมได้ฟังคนอื่นมาแชร์ประสบการณ์ต่างๆแล้ว ก็เลยตัดสินใจย้อนอดีตความทรงจำของตนเองเพื่อเรียบเรียงประสบการณ์จริงอันสยองขวัญและความรักที่ผมไม่มีวันลืมได้เลย เหตุการณ์ที่ผมจะเล่านี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ17ปีที่แล้ว (ตอนนี้ผมอายุ30) แต่ทุกโสตประสาทเหมือนกับว่าพึ่งผ่านมาไม่กี่วัน (นึกถึงทีไรขนลุกและน้ำตาไหลทุกที) เอาหล่ะครับเรื่องผมอาจจะยาวไปบ้างเพราะมีหลายอย่างต้องอธิบายเพื่อให้เห็นภาพกระจ่างชัด หวังว่าสิ่งที่ผมจะเล่านี่คงเป็นคติสอนใจและเป็นการใช้สติในการตัดสิน
ปล. อาจจะยาว อย่าพึ่งเบื่อกันนะครับ
ปล.2 เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่มีใส่ไข่แต่งเติม
ก่อนอื่นขออธิบายก่อนนะครับว่า ครอบครัวคุณตาและคุณยายอยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ประกอบอาชีพทำเฟอร์นีเจอร์ไม้สักและออกแบบบ้านไม้สักครับ คุณตาและคุณยาย มีลูกอยู่4คน ซึ่งคุณแม่ของผมเป็นพี่คนโตสุด แล้วก็มีน้องอีก3คน ซึ่งลูกๆของคุณตาและคุณยายก็ทยอยแต่งงานแยกย้ายไปมีครอบครัวทั้งในและต่างจังหวัด แต่ทุกๆปีพี่น้องและญาติๆจะกลับมารวมตัวเพื่อถามทุกข์สุขดิบความเป็นอยู่กัน มีอะไรช่วยเหลือกันเสมอ ตามที่คุณตาและคุณยายพร่ำสอนลูกๆและพยายามสืบทอดเจตนารมณ์ไปยังหลานๆของท่าน (เวลาญาติๆกลับมารวมตัวกันคนเฒ่าคนแก่จะดีใจมากๆครับ เพราะได้เจอลูก-หลาน) สมัยตอนผมเป็นเด็ก5-10ขวบ คุณแม่ผมมักจะฝากผมไว้กับคุณตาและคุณยาย เพราะคุณแม่อยู่กับคุณพ่อที่ต่างจังหวัดซึ่งไกลพอสมควรไม่ค่อยมีเวลาดูแลเพราะธุรกิจเยอะ ระยะเวลาที่ฝากไว้กับคุณตาและคุณยายก็ประมาณ 2 เดือน 3เดือนบ้าง ด้วยระยะเวลาที่ห่างคุณพ่อและคุณแม่นานทำให้เหงาบ้าง แต่มีคุณตาและคุณยายคอยช่วยเหลือ ฟูมฟักสั่งสอนมาตลอด ก็เลยมีความสนิทสนมกันมากครับ
“ความรักและความห่วงใยของร่มโพธ์ร่มไทรมีเต็มเปี่ยม แต่สังขารร่างกายไม่ได้ไปพร้อมกัน” ก่อนผมอายุ14ปี คุณยายของผมเริ่มมีอาการป่วย สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง คือป่วยเป็นโรคไตและความดัน เบาหวาน คุณยายเริ่มร่างกายทรุดโทรมมากขึ้น คุณยายเริ่มเข้าโรงพยาบาลเอกชนถี่มากขึ้นเพื่อฟอกไต จากเดือนละครั้ง 2ครั้ง ก็เริ่มอาทิตย์ละครั้ง ทุกครั้งหลังที่คุณยายฟอกไตและรับยาเสร็จ หน้าตาจะดูอ่อนเพลียเสมอ แต่ก็พยายามฝืนยิ้มเข้มแข็งให้ลูก-หลานเห็นว่ายังไหวและไม่ท้อ (ผมเคยเห็นยาที่คุณยายกินมีเป็น10ชุดๆ สงสารมาก) มีครั้งหนึ่งที่ผมเดินไปเกาะขอบเตียงผู้ป่วยเข้าไปถามคุณยายว่าเป็นยังไง คุณยายไม่สามารถที่จะพูดออกมาเป็นคำเป็นประโยค ได้แต่เพียงยกมือลูบศีรษะเบาๆอย่างทะนุถนอม และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณยายได้แสดงความรักกับผม!!
เช้าวันหนึ่งในช่วงที่ผมอยู่บ้าน(ผมอยู่บ้านต่างจังหวัดกับคุณแม่และคุณพ่อแล้วครับ) มีเสียงโทรศัทพ์ดังขึ้น คุณแม่ของผมรับโทรศัพท์แล้วก็คุย น้ำเสียงคุณแม่เริ่มสั่นเครือเบาๆ หลังเสร็จสิ้นการคุยโทรศัพท์คุณแม่สั่งให้ผมรีบจัดกระเป๋าและสัมภาระเพื่อไปหาคุณยาย ระหว่างทางคุณแม่กับคุณพ่อขับรถเร็วมากซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรีบซะขนาดนั้น พอไปถึงโรงพยาบาลญาติๆของผมได้รอคุณแม่กับคุณพ่ออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนมีสีหน้าหมองคล้ำวิตกกังวล ไม่นานคุณหมอก็เรียกคุณแม่และน้องๆเข้าไปคุย ผมก็แอบเข้าไปด้วยเพราะความอยากรู้ เพราะการคุยครั้งนี้มันซีเรียสกว่าทุกครั้งจริงๆ ประโยคแรกที่คุณหมอบอกที่ผมพอจับใจความได้คือ 2 ปีที่ผ่านมาคุณยายอยู่ได้มาขนาดนี้ถือว่าเก่งมากๆแล้ว ร่างกายของคุณยายเริ่มไม่ไหวแล้ว ไตเริ่มไม่ทำงาน เลือดเริ่มเป็นพิษ หากฟอกไตอีกครั้งร่างกายคงทนไม่ไหว ผมเริ่มน้ำตาไหล ทุกคนเริ่มสะอื้นร่ำไห้ คุณแม่ก็พยายามเก็บอาการเพราะเป็นพี่สาวคนโต ทุกคนในที่นี้รู้ความหมายสิ่งที่คุณหมอกำลังจะสื่อหมายความว่าอย่างไร ญาติๆของผมเรียกประชุมด่วนว่าจะดำเนินการเตรียมพร้อมอย่างไรต่อไป จากการประชุมทุกคนอยากจะยื้อคุณยายต่อ แต่อีกใจก็อยากให้คุณยายไปสบายที่สุด ตลอดระยะเวลา2ปี หมดค่ารักษากับค่ายากันเป็นล้านสองล้าน แต่มันไม่ใช่ประเด็นที่ต้องมานั่งถกเถียง เพราะสิ่งที่คุณยายได้สร้างไว้มันมีคุณค่ามากกว่าเงินทองที่จะหามาเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งที่ทุกคนต้องการคือเพียงขอแค่ให้คุณยายฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเห็นลูกหลานของตัวเองและพูดคุยกับลูกหลานครั้งสุดท้ายของชีวิต อีก1วันต่อมาคุณยายของผมแอดมิดด่วนเพราะไตวาย ไม่ทำงานแล้ว ในห้องแอดมิดผมเห็นร่างคุณยายนอนนิ่งไร้สติสายน้ำเกลือระโยงระยางมีเพียงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงจากการช่วยของเครื่องช่วยหายใจหลอกว่ายังมีชีวิต มันทรมานจริงๆครับที่เห็นภาพแบบนี้ ลูกๆหลานๆทุกคนสรุปว่าปล่อยให้คุณยายไปสบายดีกว่าต้องมาทรมานแบบนี้ จึงขอคุณหมอให้คุณยายกลับไปหมดลมหายใจที่บ้าน พร้อมกับให้ญาติๆที่ไม่ได้มาให้ดูใจเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งคุณหมอก็อนุญาตครับ ตลอดการเดินทาง20กิโลเมตรของรถโรงพยาบาลมาส่งกับร่างคุณยายที่มีพยาบาลคอยบีบปั๊มออกซิเจน(ผมไม่รู้ว่ามันเรียกอย่างไรเห็นมันต้องบีบเป็นจังหวะ)ตลอดเวลามันช่างสั้นจริงๆกับการอยากอยู่กับคนที่เรารัก เมื่อมาถึงที่บ้านแล้วให้ญาติๆ รวมถึงประชาชนที่รู้จักคุณตาและคุณยายในหลายตำบล หลายอำเภอ หลายจังหวัด (คุณตากับคุณยายรู้จักคนเยอะครับ ไม่ใช่เพราะอำนาจข่มเหง แต่เป็นความไมตรีจิต เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคุณตาและคุณยายสร้างมา) มาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อถึงการร่ำลาดูใจเรียบร้อยก็ให้พยาบาลหยุดปั๊มหายใจ (ผมนั่งดูคุณยายหยุดหายใจ จนวินาทีสุดท้ายที่หน้าอกหยุดกระเพิ่อมขึ้นลง พร้อมลงกราบเท้า )
วันที่ 1
หลังจากที่คุณยายหมดลมหายใจ ทางญาติๆจึงปรึกษาและแบ่งหน้าที่กันครับว่าใครจะทำหน้าที่อะไร และจัดงานศพกี่วัน ซึ่งก็ตกลงเรียบร้อยครับว่าจะสวดศพ5วันแล้วค่อยเคลื่อนขบวนไป ณาปนกิจ ส่วนผมก็ยังคงโศกเศร้าแต่ก็คิดว่าจะทำอย่างไรที่จะทดแทนบุญคุณครั้งสุดท้าย คุณแม่ผมก็บอกผมว่าเอาอย่างนี้นะ บวชหน้าไฟละกัน ซึ่งผมก็ตกลงครับถึงแม้จะกลัวๆบ้าง (ผมเป็นคนกลัวผีมากๆครับ ชั่วชีวิตนี้กลัวอยู่2อย่างคือผีกับแมลงสาบ) ส่วนร่างไร้วิญาณคุณยายก็จะเช่าโรงศพเย็นครับ เพื่ออยากรักษาสภาพศพให้ดีที่สุด วันแรกของการเตรียมงานค่อนข้างวุ่นวายเพราะเตรียมงานต่างๆเช่นการทำครัว การเตรียมพุ่มดอกไม้สด การทำการ์ดเชิญ ช่วงบ่ายก่อนนำคุณยายใส่โรงเย็นก็จะมีอาบน้ำให้ศพครับ ซึ่งมันเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดอย่างหนึ่งคือ ก่อนที่จะเตรียมอาบน้ำศพ คุณยายนอนอยู่บนแคร่ไม้สัก ด้วยความที่มีชาวบ้านมาดูใจเป็นจำนวนมาก แม่ผมจึงขอแรงช่วยยกคุณยายจะไปอาบน้ำครับเพราะช่วงค่ำต้องสวดศพ ก็มีชาวบ้านผู้ชายและผู้หญิงมาช่วยยก แต่..................ไม่น่าเชื่อนะครับคุณยายผมหนักแค่ 53-56 กิโลกรัม แต่ไม่สามารถยกคุณยายได้ทั้งๆที่ชาวบ้านผู้ชาย 3คนนั้นเป็นผู้ชายแข็งแรงแน่ๆ คุณตาซึ่งเห็นอย่างนั้นก็เข้ามาลูบศีรษะคุณยายแล้วพูดว่า “หมดห่วงได้แล้ว ชาวบ้านมาช่วยกันด้วยความเต็มใจ” เมื่อคุณตาพูดเสร็จก็หันพยักหน้าให้ลูกชายคนสุดท้องว่า “อุ้มแม่ไปอาบน้ำ” น้าของผมก็อุ้มคุณยายไปอาบน้ำได้โดยไม่ติดขัดอะไร การอาบน้ำให้คุณยาย ก็จะให้คุณแม่ผมกับน้องของแม่อีก2คนช่วยกัน ส่วนผมกับน้าผู้ชายมีหน้าที่ยืนดูห่างๆ ตลอดเวลาการอาบน้ำ คุณแม่กับน้าๆของผมก็ร้องไห้ไป ซึ่งผมจำไม่ค่อยได้ครับว่าพูดอะไรกัน แต่ที่พอจำได้คือคุณแม่บอกคุณยายว่า ลูกๆมาอาบน้ำให้แม่นะ เมื่อก่อนตอนเด็กๆแม่ก็เคยอาบน้ำให้พวกเราทั้ง4คน ผมยังเบือนหน้าหนีกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะตอนเด็กๆคุณยายก็เคยอาบน้ำให้ผมครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็จะแต่งตัวให้คุณยายด้วยเสื้อผ้าที่คุณยายชอบพร้อมกับปะแป้งพรมน้ำหอมที่ท่านเคยใช้ประจำ ทีนี้ก็ให้สัปปะเหร่อนำพิธีเชิญคุณยายเข้าสู่โลงเย็นครับ ตอนค่ำก็มีพระมาสวด เหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยดีสำหรับวันแรก
วันที่ 2
กิจวัตรประจำวันยังคงเหมือนวันแรกครับ แต่ที่แตกต่างเริ่มมีแขกผู้ใหญ่มางานมากขึ้น พวงหรีดก็มากขึ้นตาม ผมได้ภารกิจใหม่คือต้องนำอาหารมาให้คุณยายทุกวัน ทุกมื้อ โดยวางภาชนะที่ใส่อาหารลงบนโลงเย็น ทุกครั้งที่เอาอาหารมาให้ผมจะต้องเคาะโลงเย็นทุกครั้งเพื่อเรียกคุณยายมากิน แต่มีครั้งหนึ่งช่วงเย็นผมเอาอาหารมาให้ ก็เคาะตามปกติ แล้วใจของผมก็ตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวคุณยายว่า คุณยายครับผมจะบวชทดแทนคุณให้คุณยายนะ ชั่วเวลาประเดี๋ยวก็มีลมเย็นๆผ่านตัวผมวูบหนึ่งทั้งๆที่อากาศมันร้อน ผมก็ไม่เข้าใจว่าลมเย็นๆวูบหนึ่งคืออะไรถ้าคิดในแง่สิ่งลี้ลับเหมือนคุณยายจะรับรู้ในสิ่งที่ผมบอก แต่ถ้าเป็นหลักวิทยาศาสตร์น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอูณหภูมิโดยฉับพลัน หลังสวดพระเสร็จ แขกเหรื่อกลับไป ก็ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอีกเลยจนล่วงถึงวันที่5ก่อนวันเผาที่ผมเจอเหตุการณ์ผิดปกติอย่างที่สุด
ปล. หลังสี่ทุ่มเป็นต้นไปทุกวันของงานศพ หลังบ้านผมจะมีคนตั้งวงกินเหล้า เล่นไพ่ครับซึ่งสิ่งนี้ พอให้ไม่เหงาบ้าง แต่ในบ้านที่ตั้งศพจะเงียบสงัดเลยครับ บางวันก็มีหมาข้างบ้านหอน
ขออนุญาตรวมกระทู้เรื่อง "ประสบการณ์สยองขวัญกับความรัก" เป็นกระทู้เดียวกันนะครับ
สวัสดีครับ หลังจากผมได้ฟังคนอื่นมาแชร์ประสบการณ์ต่างๆแล้ว ก็เลยตัดสินใจย้อนอดีตความทรงจำของตนเองเพื่อเรียบเรียงประสบการณ์จริงอันสยองขวัญและความรักที่ผมไม่มีวันลืมได้เลย เหตุการณ์ที่ผมจะเล่านี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ17ปีที่แล้ว (ตอนนี้ผมอายุ30) แต่ทุกโสตประสาทเหมือนกับว่าพึ่งผ่านมาไม่กี่วัน (นึกถึงทีไรขนลุกและน้ำตาไหลทุกที) เอาหล่ะครับเรื่องผมอาจจะยาวไปบ้างเพราะมีหลายอย่างต้องอธิบายเพื่อให้เห็นภาพกระจ่างชัด หวังว่าสิ่งที่ผมจะเล่านี่คงเป็นคติสอนใจและเป็นการใช้สติในการตัดสิน
ปล. อาจจะยาว อย่าพึ่งเบื่อกันนะครับ
ปล.2 เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่มีใส่ไข่แต่งเติม
ก่อนอื่นขออธิบายก่อนนะครับว่า ครอบครัวคุณตาและคุณยายอยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ประกอบอาชีพทำเฟอร์นีเจอร์ไม้สักและออกแบบบ้านไม้สักครับ คุณตาและคุณยาย มีลูกอยู่4คน ซึ่งคุณแม่ของผมเป็นพี่คนโตสุด แล้วก็มีน้องอีก3คน ซึ่งลูกๆของคุณตาและคุณยายก็ทยอยแต่งงานแยกย้ายไปมีครอบครัวทั้งในและต่างจังหวัด แต่ทุกๆปีพี่น้องและญาติๆจะกลับมารวมตัวเพื่อถามทุกข์สุขดิบความเป็นอยู่กัน มีอะไรช่วยเหลือกันเสมอ ตามที่คุณตาและคุณยายพร่ำสอนลูกๆและพยายามสืบทอดเจตนารมณ์ไปยังหลานๆของท่าน (เวลาญาติๆกลับมารวมตัวกันคนเฒ่าคนแก่จะดีใจมากๆครับ เพราะได้เจอลูก-หลาน) สมัยตอนผมเป็นเด็ก5-10ขวบ คุณแม่ผมมักจะฝากผมไว้กับคุณตาและคุณยาย เพราะคุณแม่อยู่กับคุณพ่อที่ต่างจังหวัดซึ่งไกลพอสมควรไม่ค่อยมีเวลาดูแลเพราะธุรกิจเยอะ ระยะเวลาที่ฝากไว้กับคุณตาและคุณยายก็ประมาณ 2 เดือน 3เดือนบ้าง ด้วยระยะเวลาที่ห่างคุณพ่อและคุณแม่นานทำให้เหงาบ้าง แต่มีคุณตาและคุณยายคอยช่วยเหลือ ฟูมฟักสั่งสอนมาตลอด ก็เลยมีความสนิทสนมกันมากครับ
“ความรักและความห่วงใยของร่มโพธ์ร่มไทรมีเต็มเปี่ยม แต่สังขารร่างกายไม่ได้ไปพร้อมกัน” ก่อนผมอายุ14ปี คุณยายของผมเริ่มมีอาการป่วย สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง คือป่วยเป็นโรคไตและความดัน เบาหวาน คุณยายเริ่มร่างกายทรุดโทรมมากขึ้น คุณยายเริ่มเข้าโรงพยาบาลเอกชนถี่มากขึ้นเพื่อฟอกไต จากเดือนละครั้ง 2ครั้ง ก็เริ่มอาทิตย์ละครั้ง ทุกครั้งหลังที่คุณยายฟอกไตและรับยาเสร็จ หน้าตาจะดูอ่อนเพลียเสมอ แต่ก็พยายามฝืนยิ้มเข้มแข็งให้ลูก-หลานเห็นว่ายังไหวและไม่ท้อ (ผมเคยเห็นยาที่คุณยายกินมีเป็น10ชุดๆ สงสารมาก) มีครั้งหนึ่งที่ผมเดินไปเกาะขอบเตียงผู้ป่วยเข้าไปถามคุณยายว่าเป็นยังไง คุณยายไม่สามารถที่จะพูดออกมาเป็นคำเป็นประโยค ได้แต่เพียงยกมือลูบศีรษะเบาๆอย่างทะนุถนอม และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณยายได้แสดงความรักกับผม!!
เช้าวันหนึ่งในช่วงที่ผมอยู่บ้าน(ผมอยู่บ้านต่างจังหวัดกับคุณแม่และคุณพ่อแล้วครับ) มีเสียงโทรศัทพ์ดังขึ้น คุณแม่ของผมรับโทรศัพท์แล้วก็คุย น้ำเสียงคุณแม่เริ่มสั่นเครือเบาๆ หลังเสร็จสิ้นการคุยโทรศัพท์คุณแม่สั่งให้ผมรีบจัดกระเป๋าและสัมภาระเพื่อไปหาคุณยาย ระหว่างทางคุณแม่กับคุณพ่อขับรถเร็วมากซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรีบซะขนาดนั้น พอไปถึงโรงพยาบาลญาติๆของผมได้รอคุณแม่กับคุณพ่ออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนมีสีหน้าหมองคล้ำวิตกกังวล ไม่นานคุณหมอก็เรียกคุณแม่และน้องๆเข้าไปคุย ผมก็แอบเข้าไปด้วยเพราะความอยากรู้ เพราะการคุยครั้งนี้มันซีเรียสกว่าทุกครั้งจริงๆ ประโยคแรกที่คุณหมอบอกที่ผมพอจับใจความได้คือ 2 ปีที่ผ่านมาคุณยายอยู่ได้มาขนาดนี้ถือว่าเก่งมากๆแล้ว ร่างกายของคุณยายเริ่มไม่ไหวแล้ว ไตเริ่มไม่ทำงาน เลือดเริ่มเป็นพิษ หากฟอกไตอีกครั้งร่างกายคงทนไม่ไหว ผมเริ่มน้ำตาไหล ทุกคนเริ่มสะอื้นร่ำไห้ คุณแม่ก็พยายามเก็บอาการเพราะเป็นพี่สาวคนโต ทุกคนในที่นี้รู้ความหมายสิ่งที่คุณหมอกำลังจะสื่อหมายความว่าอย่างไร ญาติๆของผมเรียกประชุมด่วนว่าจะดำเนินการเตรียมพร้อมอย่างไรต่อไป จากการประชุมทุกคนอยากจะยื้อคุณยายต่อ แต่อีกใจก็อยากให้คุณยายไปสบายที่สุด ตลอดระยะเวลา2ปี หมดค่ารักษากับค่ายากันเป็นล้านสองล้าน แต่มันไม่ใช่ประเด็นที่ต้องมานั่งถกเถียง เพราะสิ่งที่คุณยายได้สร้างไว้มันมีคุณค่ามากกว่าเงินทองที่จะหามาเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งที่ทุกคนต้องการคือเพียงขอแค่ให้คุณยายฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเห็นลูกหลานของตัวเองและพูดคุยกับลูกหลานครั้งสุดท้ายของชีวิต อีก1วันต่อมาคุณยายของผมแอดมิดด่วนเพราะไตวาย ไม่ทำงานแล้ว ในห้องแอดมิดผมเห็นร่างคุณยายนอนนิ่งไร้สติสายน้ำเกลือระโยงระยางมีเพียงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงจากการช่วยของเครื่องช่วยหายใจหลอกว่ายังมีชีวิต มันทรมานจริงๆครับที่เห็นภาพแบบนี้ ลูกๆหลานๆทุกคนสรุปว่าปล่อยให้คุณยายไปสบายดีกว่าต้องมาทรมานแบบนี้ จึงขอคุณหมอให้คุณยายกลับไปหมดลมหายใจที่บ้าน พร้อมกับให้ญาติๆที่ไม่ได้มาให้ดูใจเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งคุณหมอก็อนุญาตครับ ตลอดการเดินทาง20กิโลเมตรของรถโรงพยาบาลมาส่งกับร่างคุณยายที่มีพยาบาลคอยบีบปั๊มออกซิเจน(ผมไม่รู้ว่ามันเรียกอย่างไรเห็นมันต้องบีบเป็นจังหวะ)ตลอดเวลามันช่างสั้นจริงๆกับการอยากอยู่กับคนที่เรารัก เมื่อมาถึงที่บ้านแล้วให้ญาติๆ รวมถึงประชาชนที่รู้จักคุณตาและคุณยายในหลายตำบล หลายอำเภอ หลายจังหวัด (คุณตากับคุณยายรู้จักคนเยอะครับ ไม่ใช่เพราะอำนาจข่มเหง แต่เป็นความไมตรีจิต เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคุณตาและคุณยายสร้างมา) มาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อถึงการร่ำลาดูใจเรียบร้อยก็ให้พยาบาลหยุดปั๊มหายใจ (ผมนั่งดูคุณยายหยุดหายใจ จนวินาทีสุดท้ายที่หน้าอกหยุดกระเพิ่อมขึ้นลง พร้อมลงกราบเท้า )
วันที่ 1
หลังจากที่คุณยายหมดลมหายใจ ทางญาติๆจึงปรึกษาและแบ่งหน้าที่กันครับว่าใครจะทำหน้าที่อะไร และจัดงานศพกี่วัน ซึ่งก็ตกลงเรียบร้อยครับว่าจะสวดศพ5วันแล้วค่อยเคลื่อนขบวนไป ณาปนกิจ ส่วนผมก็ยังคงโศกเศร้าแต่ก็คิดว่าจะทำอย่างไรที่จะทดแทนบุญคุณครั้งสุดท้าย คุณแม่ผมก็บอกผมว่าเอาอย่างนี้นะ บวชหน้าไฟละกัน ซึ่งผมก็ตกลงครับถึงแม้จะกลัวๆบ้าง (ผมเป็นคนกลัวผีมากๆครับ ชั่วชีวิตนี้กลัวอยู่2อย่างคือผีกับแมลงสาบ) ส่วนร่างไร้วิญาณคุณยายก็จะเช่าโรงศพเย็นครับ เพื่ออยากรักษาสภาพศพให้ดีที่สุด วันแรกของการเตรียมงานค่อนข้างวุ่นวายเพราะเตรียมงานต่างๆเช่นการทำครัว การเตรียมพุ่มดอกไม้สด การทำการ์ดเชิญ ช่วงบ่ายก่อนนำคุณยายใส่โรงเย็นก็จะมีอาบน้ำให้ศพครับ ซึ่งมันเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดอย่างหนึ่งคือ ก่อนที่จะเตรียมอาบน้ำศพ คุณยายนอนอยู่บนแคร่ไม้สัก ด้วยความที่มีชาวบ้านมาดูใจเป็นจำนวนมาก แม่ผมจึงขอแรงช่วยยกคุณยายจะไปอาบน้ำครับเพราะช่วงค่ำต้องสวดศพ ก็มีชาวบ้านผู้ชายและผู้หญิงมาช่วยยก แต่..................ไม่น่าเชื่อนะครับคุณยายผมหนักแค่ 53-56 กิโลกรัม แต่ไม่สามารถยกคุณยายได้ทั้งๆที่ชาวบ้านผู้ชาย 3คนนั้นเป็นผู้ชายแข็งแรงแน่ๆ คุณตาซึ่งเห็นอย่างนั้นก็เข้ามาลูบศีรษะคุณยายแล้วพูดว่า “หมดห่วงได้แล้ว ชาวบ้านมาช่วยกันด้วยความเต็มใจ” เมื่อคุณตาพูดเสร็จก็หันพยักหน้าให้ลูกชายคนสุดท้องว่า “อุ้มแม่ไปอาบน้ำ” น้าของผมก็อุ้มคุณยายไปอาบน้ำได้โดยไม่ติดขัดอะไร การอาบน้ำให้คุณยาย ก็จะให้คุณแม่ผมกับน้องของแม่อีก2คนช่วยกัน ส่วนผมกับน้าผู้ชายมีหน้าที่ยืนดูห่างๆ ตลอดเวลาการอาบน้ำ คุณแม่กับน้าๆของผมก็ร้องไห้ไป ซึ่งผมจำไม่ค่อยได้ครับว่าพูดอะไรกัน แต่ที่พอจำได้คือคุณแม่บอกคุณยายว่า ลูกๆมาอาบน้ำให้แม่นะ เมื่อก่อนตอนเด็กๆแม่ก็เคยอาบน้ำให้พวกเราทั้ง4คน ผมยังเบือนหน้าหนีกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะตอนเด็กๆคุณยายก็เคยอาบน้ำให้ผมครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็จะแต่งตัวให้คุณยายด้วยเสื้อผ้าที่คุณยายชอบพร้อมกับปะแป้งพรมน้ำหอมที่ท่านเคยใช้ประจำ ทีนี้ก็ให้สัปปะเหร่อนำพิธีเชิญคุณยายเข้าสู่โลงเย็นครับ ตอนค่ำก็มีพระมาสวด เหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยดีสำหรับวันแรก
วันที่ 2
กิจวัตรประจำวันยังคงเหมือนวันแรกครับ แต่ที่แตกต่างเริ่มมีแขกผู้ใหญ่มางานมากขึ้น พวงหรีดก็มากขึ้นตาม ผมได้ภารกิจใหม่คือต้องนำอาหารมาให้คุณยายทุกวัน ทุกมื้อ โดยวางภาชนะที่ใส่อาหารลงบนโลงเย็น ทุกครั้งที่เอาอาหารมาให้ผมจะต้องเคาะโลงเย็นทุกครั้งเพื่อเรียกคุณยายมากิน แต่มีครั้งหนึ่งช่วงเย็นผมเอาอาหารมาให้ ก็เคาะตามปกติ แล้วใจของผมก็ตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวคุณยายว่า คุณยายครับผมจะบวชทดแทนคุณให้คุณยายนะ ชั่วเวลาประเดี๋ยวก็มีลมเย็นๆผ่านตัวผมวูบหนึ่งทั้งๆที่อากาศมันร้อน ผมก็ไม่เข้าใจว่าลมเย็นๆวูบหนึ่งคืออะไรถ้าคิดในแง่สิ่งลี้ลับเหมือนคุณยายจะรับรู้ในสิ่งที่ผมบอก แต่ถ้าเป็นหลักวิทยาศาสตร์น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอูณหภูมิโดยฉับพลัน หลังสวดพระเสร็จ แขกเหรื่อกลับไป ก็ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอีกเลยจนล่วงถึงวันที่5ก่อนวันเผาที่ผมเจอเหตุการณ์ผิดปกติอย่างที่สุด
ปล. หลังสี่ทุ่มเป็นต้นไปทุกวันของงานศพ หลังบ้านผมจะมีคนตั้งวงกินเหล้า เล่นไพ่ครับซึ่งสิ่งนี้ พอให้ไม่เหงาบ้าง แต่ในบ้านที่ตั้งศพจะเงียบสงัดเลยครับ บางวันก็มีหมาข้างบ้านหอน