ประสบการณ์สยองขวัญกับความรัก

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับ หลังจากผมได้ฟังคนอื่นมาแชร์ประสบการณ์ต่างๆแล้ว ก็เลยตัดสินใจย้อนอดีตความทรงจำของตนเองเพื่อเรียบเรียงประสบการณ์จริงอันสยองขวัญและความรักที่ผมไม่มีวันลืมได้เลย เหตุการณ์ที่ผมจะเล่านี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ17ปีที่แล้ว (ตอนนี้ผมอายุ30)  แต่ทุกโสตประสาทเหมือนกับว่าพึ่งผ่านมาไม่กี่วัน (นึกถึงทีไรขนลุกและน้ำตาไหลทุกที)  เอาหล่ะครับเรื่องผมอาจจะยาวไปบ้างเพราะมีหลายอย่างต้องอธิบายเพื่อให้เห็นภาพกระจ่างชัด  หวังว่าสิ่งที่ผมจะเล่านี่คงเป็นคติสอนใจและเป็นการใช้สติในการตัดสิน
ปล. อาจจะยาว อย่าพึ่งเบื่อกันนะครับ
ปล.2 เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง  ไม่มีใส่ไข่แต่งเติม

           ก่อนอื่นขออธิบายก่อนนะครับว่า  ครอบครัวคุณตาและคุณยายอยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ประกอบอาชีพทำเฟอร์นีเจอร์ไม้สักและออกแบบบ้านไม้สักครับ คุณตาและคุณยาย มีลูกอยู่4คน  ซึ่งคุณแม่ของผมเป็นพี่คนโตสุด แล้วก็มีน้องอีก3คน  ซึ่งลูกๆของคุณตาและคุณยายก็ทยอยแต่งงานแยกย้ายไปมีครอบครัวทั้งในและต่างจังหวัด แต่ทุกๆปีพี่น้องและญาติๆจะกลับมารวมตัวเพื่อถามทุกข์สุขดิบความเป็นอยู่กัน มีอะไรช่วยเหลือกันเสมอ ตามที่คุณตาและคุณยายพร่ำสอนลูกๆและพยายามสืบทอดเจตนารมณ์ไปยังหลานๆของท่าน (เวลาญาติๆกลับมารวมตัวกันคนเฒ่าคนแก่จะดีใจมากๆครับ เพราะได้เจอลูก-หลาน)  สมัยตอนผมเป็นเด็ก5-10ขวบ คุณแม่ผมมักจะฝากผมไว้กับคุณตาและคุณยาย เพราะคุณแม่อยู่กับคุณพ่อที่ต่างจังหวัดซึ่งไกลพอสมควรไม่ค่อยมีเวลาดูแลเพราะธุรกิจเยอะ ระยะเวลาที่ฝากไว้กับคุณตาและคุณยายก็ประมาณ 2 เดือน 3เดือนบ้าง  ด้วยระยะเวลาที่ห่างคุณพ่อและคุณแม่นานทำให้เหงาบ้าง  แต่มีคุณตาและคุณยายคอยช่วยเหลือ ฟูมฟักสั่งสอนมาตลอด ก็เลยมีความสนิทสนมกันมากครับ  
              “ความรักและความห่วงใยของร่มโพธ์ร่มไทรมีเต็มเปี่ยม แต่สังขารร่างกายไม่ได้ไปพร้อมกัน” ก่อนผมอายุ14ปี คุณยายของผมเริ่มมีอาการป่วย สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง คือป่วยเป็นโรคไตและความดัน เบาหวาน คุณยายเริ่มร่างกายทรุดโทรมมากขึ้น คุณยายเริ่มเข้าโรงพยาบาลเอกชนถี่มากขึ้นเพื่อฟอกไต จากเดือนละครั้ง 2ครั้ง ก็เริ่มอาทิตย์ละครั้ง  ทุกครั้งหลังที่คุณยายฟอกไตและรับยาเสร็จ หน้าตาจะดูอ่อนเพลียเสมอ แต่ก็พยายามฝืนยิ้มเข้มแข็งให้ลูก-หลานเห็นว่ายังไหวและไม่ท้อ (ผมเคยเห็นยาที่คุณยายกินมีเป็น10ชุดๆ สงสารมาก)   มีครั้งหนึ่งที่ผมเดินไปเกาะขอบเตียงผู้ป่วยเข้าไปถามคุณยายว่าเป็นยังไง คุณยายไม่สามารถที่จะพูดออกมาเป็นคำเป็นประโยค ได้แต่เพียงยกมือลูบศีรษะเบาๆอย่างทะนุถนอม และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณยายได้แสดงความรักกับผม!!  
           เช้าวันหนึ่งในช่วงที่ผมอยู่บ้าน(ผมอยู่บ้านต่างจังหวัดกับคุณแม่และคุณพ่อแล้วครับ) มีเสียงโทรศัทพ์ดังขึ้น คุณแม่ของผมรับโทรศัพท์แล้วก็คุย น้ำเสียงคุณแม่เริ่มสั่นเครือเบาๆ หลังเสร็จสิ้นการคุยโทรศัพท์คุณแม่สั่งให้ผมรีบจัดกระเป๋าและสัมภาระเพื่อไปหาคุณยาย ระหว่างทางคุณแม่กับคุณพ่อขับรถเร็วมากซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรีบซะขนาดนั้น พอไปถึงโรงพยาบาลญาติๆของผมได้รอคุณแม่กับคุณพ่ออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนมีสีหน้าหมองคล้ำวิตกกังวล  ไม่นานคุณหมอก็เรียกคุณแม่และน้องๆเข้าไปคุย ผมก็แอบเข้าไปด้วยเพราะความอยากรู้ เพราะการคุยครั้งนี้มันซีเรียสกว่าทุกครั้งจริงๆ ประโยคแรกที่คุณหมอบอกที่ผมพอจับใจความได้คือ 2 ปีที่ผ่านมาคุณยายอยู่ได้มาขนาดนี้ถือว่าเก่งมากๆแล้ว ร่างกายของคุณยายเริ่มไม่ไหวแล้ว ไตเริ่มไม่ทำงาน เลือดเริ่มเป็นพิษ หากฟอกไตอีกครั้งร่างกายคงทนไม่ไหว ผมเริ่มน้ำตาไหล ทุกคนเริ่มสะอื้นร่ำไห้ คุณแม่ก็พยายามเก็บอาการเพราะเป็นพี่สาวคนโต ทุกคนในที่นี้รู้ความหมายสิ่งที่คุณหมอกำลังจะสื่อหมายความว่าอย่างไร  ญาติๆของผมเรียกประชุมด่วนว่าจะดำเนินการเตรียมพร้อมอย่างไรต่อไป จากการประชุมทุกคนอยากจะยื้อคุณยายต่อ แต่อีกใจก็อยากให้คุณยายไปสบายที่สุด  ตลอดระยะเวลา2ปี หมดค่ารักษากับค่ายากันเป็นล้านสองล้าน แต่มันไม่ใช่ประเด็นที่ต้องมานั่งถกเถียง เพราะสิ่งที่คุณยายได้สร้างไว้มันมีคุณค่ามากกว่าเงินทองที่จะหามาเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งที่ทุกคนต้องการคือเพียงขอแค่ให้คุณยายฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเห็นลูกหลานของตัวเองและพูดคุยกับลูกหลานครั้งสุดท้ายของชีวิต อีก1วันต่อมาคุณยายของผมแอดมิดด่วนเพราะไตวาย  ไม่ทำงานแล้ว ในห้องแอดมิดผมเห็นร่างคุณยายนอนนิ่งไร้สติสายน้ำเกลือระโยงระยางมีเพียงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงจากการช่วยของเครื่องช่วยหายใจหลอกว่ายังมีชีวิต มันทรมานจริงๆครับที่เห็นภาพแบบนี้ ลูกๆหลานๆทุกคนสรุปว่าปล่อยให้คุณยายไปสบายดีกว่าต้องมาทรมานแบบนี้ จึงขอคุณหมอให้คุณยายกลับไปหมดลมหายใจที่บ้าน พร้อมกับให้ญาติๆที่ไม่ได้มาให้ดูใจเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งคุณหมอก็อนุญาตครับ  ตลอดการเดินทาง20กิโลเมตรของรถโรงพยาบาลมาส่งกับร่างคุณยายที่มีพยาบาลคอยบีบปั๊มออกซิเจน(ผมไม่รู้ว่ามันเรียกอย่างไรเห็นมันต้องบีบเป็นจังหวะ)ตลอดเวลามันช่างสั้นจริงๆกับการอยากอยู่กับคนที่เรารัก เมื่อมาถึงที่บ้านแล้วให้ญาติๆ รวมถึงประชาชนที่รู้จักคุณตาและคุณยายในหลายตำบล หลายอำเภอ หลายจังหวัด (คุณตากับคุณยายรู้จักคนเยอะครับ ไม่ใช่เพราะอำนาจข่มเหง แต่เป็นความไมตรีจิต เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคุณตาและคุณยายสร้างมา) มาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย  เมื่อถึงการร่ำลาดูใจเรียบร้อยก็ให้พยาบาลหยุดปั๊มหายใจ (ผมนั่งดูคุณยายหยุดหายใจ จนวินาทีสุดท้ายที่หน้าอกหยุดกระเพิ่อมขึ้นลง พร้อมลงกราบเท้า )

เดี๋ยวจะมาต่อจุดเริ่มต้นประสบการณ์สยองขวัญที่มากับความรักของคุณยายนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่