ว่าด้วยธรรมที่ซ้อนอยู่ในปฏิจจสมุปบาท

(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศลซึ่งมีประโยชน์เหล่าใด
ซึ่งเป็นอริยะเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เป็นเครื่องยังสัตว์ให้ลุถึงปัญญา
เป็นความตรัสรู้พร้อม ที่อยู่;
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าหากว่าบุคคลผู้ชอบถามทั้งหลาย
จะพึงถามพวกเธออย่างนี้ว่า "ประโยชน์ที่มุ่งหมายแห่งการฟังซึ่งธรรมอันเป็นกุศลเหล่านั้น
มีอยู่อย่างไรเล่า?" ดังนี้ไซร้, คำที่ควรตอบแก่พวกเขา พึงมีอย่างนี้ว่า
"ประโยชน์ที่มุ่งหมายแห่งการฟังธรรมเหล่านั้น ย่อมมีเพื่อความรู้ตามความเป็น
จริงซึ่งธรรมทั้งหลาย ตามที่กำหนดไว้เป็นธรรมสองฝ่าย".
สองฝ่ายอย่างไรกันเล่า? จงบอกเขาว่า สองฝ่ายคือ "นี้คือทุกข์, นี้คือทุกขสมุทัย".ดังนี้
นี้เป็นอนุปัสสนา (การตามเห็น)ฝ่ายที่หนึ่ง; และ "นี้ คือทุกขนิโรธ,
นี้ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้ นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่สอง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุพิจารณาเตามเห็นอยู่ซึ่งธรรม
ตามที่กำหนดไว้เป็นธรรมสองฝ่ายโดยชอบอย่างนี้
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่;
ผลที่เธอพึงหวังได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ในสองอย่าง คือการบรรลุอรหัตตผล
ในทิฏฐธรรมนั่นเทียว, หรือว่าถ้าอุปาทานยังเหลืออยู่ ก็ย่อมเป็นอนาคามี...
                         " ชนเหล่าใดไม่รู้ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ธรรมชาติเป็นที่
                          ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือ โดยประการทั้งปวง และไม่รู้มรรค
                          อันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์ ชนเหล่านั้นเสื่อมแล้วจาก
                          เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะทำที่สุดแห่ง
                          ทุกข์ได้ เป็นผู้เข้าถึงชาติและชราแท้ ส่วนชนเหล่าใดรู้ทุกข์
                          เหตุเกิดแห่งทุกข์ ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือ
                          โดยประการทั้งปวง และรู้มรรคอันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์
                          ชนเหล่านั้น ถึงพร้อมแล้วด้วยเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ เป็น
                          ผู้ควรที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ และเป็นผู้ไม่เข้าถึงชาติและ
                          ชรา ฯ"

(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าหากว่าบุคคลผู้ชอบถามทั้งหลาย จะพึงถามต่อไปอีก ดังนี้ว่า
"การตามเห็นซึ่งธรรมตามที่กำหนดไว้เป็นธรรมสองฝ่ายโดยชอบ
โดยปริยายแม้อย่างอื่น มีอยู่หรือ?" คำ ทีควรตอบพึงมีว่า "มีอยู่". มีอยู่อย่างไรเล่า?
มีอยู่สองฝ่ายคือ "ทุกข์ใดๆเกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอุปธิเป็นปัจจัย".ดังนี้
นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่หนึ่ง; และ "เพราะความดับโดยสำรอกไม่เหลือแห่งอุปธิทั้งหลายนั่นเทียว
ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ย่อมไม่มี". ดังนี้ นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่สอง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุพิจารณาตามเห็นอยู่ซึ่งธรรมตามที่กำหนดไว้เป็นสองฝ่ายโดยชอบอย่างนี้
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรมอยู่;
ผลที่เธอพึงหวังได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ในสองอย่าง คือการบรรลุอรหัตตผลในทิฏฐธรรมนั่นเทียว,
หรือว่าถ้าอุปาทานยังเหลืออยู่ ก็ย่อมเป็นอนาคามี ฯ
                           " ทุกข์ทั้งหลาย ย่อมมีขึ้นมา เพราะมีอุปธิเป็นแดนเกิด;
                             นั่นคือทุกข์ทั้งหลายที่มีลักษณะต่างกันเป็นเอนกในโลกนี้.
                             ผู้ใด เป็นผู้ไม่รู้ และย่อมกระทำซึ่งอุปธิ; ผู้นั้นเป็นคนเขลา
                             ย่อมเข้าถึงทุกข์อยู่ร่ำไป; เพราะเหตุนั้นผู้รู้อยู่
                             ไม่พึงกระทำ ซึ่งอุปธิ,เป็นผู้พิจารณาเห็นอยู่ ซึ่งแดนเกิด แห่งความทุกข์."

(๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าหากว่าบุคคลผู้ชอบถามทั้งหลาย
จะพึงถามต่อไปนี้ ดังนี้ว่า "การตามเห็นซึ่งธรรมตามที่กำหนดไว้เป็นสองฝ่ายโดยชอบ
โดยปริยายแม้อย่างอื่น มีอยู่หรือ?" คำที่ควรตอบ พึงมีว่า "มีอยู่". มีอยู่อย่างไรเล่า?
มีอยู่สองฝ่ายคือ "ทุกข์ใดๆเกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมี
อวิชชาเป็นปัจจัย".ดังนี้ นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่หนึ่ง; และ
"เพราะความดับโดยสำรอกไม่เหลือแห่งอวิชชานั่นเทียว ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ย่อมไม่มี" .
ดังนี้ นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่สอง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุพิจารณาตามเห็นอยู่ซึ่งธรรมตามที่กำหนดไว้เป็นสองฝ่าย
โดยชอบอย่างนี้...ฯลฯ... ...ฯลฯ.. ก็ย่อมเป็นอนาคามี ฯ
(คำทีละไว้ด้วย...ฯลฯ... นี้หมายความว่า มีเนื้อความเต็มเหมือนกับเนื้อความตอนท้ายแห่งข้อ ๒)
ตั้งแต่คำว่า "เป็นผู้ไม่ประมาท..." ไปจนถึงคำว่า"...ก็ย่อมเป็นอนาคามี" -เช่นนี้ทุกแห่ง.

                              " สัตว์เหล่าใด ไปสู่สังสาระแห่งชาติ และมรณะร่ำไป;ประเดี๋ยวอย่างนั้นประเดี๋ยวอย่างอื่น;
                                 อวิชชานั่นแหละเป็นคติ (เครื่องไป ) ของสัตว์เหล่านั้น .
                                 อวิชชานี้แลเป็นความมืดอันใหญ่หลวง คือทำให้สัตว์หลงอยู่  ต้องท่องเที่ยวไป  
                                 ในวัฏฏสงสาร ตลอดกาลนาน. สัตว์เหล่าใด เป็นผู้ไปด้วยวิชชา.
                                 สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่."

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าหากว่าบุคคล...ฯลฯ...ฯลฯ...มีอยู่สองฝ่ายคือ
"ทุกข์ใดๆเกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีสังขารเป็นปัจจัย" ดังนี้
(คำที่ละไว้ด้วย...ฯลฯ...นี้ หมายความว่า มีเนื้อความเต็มเหมือนกับเนื้อความตอนต้นแห่งข้อ ๒, ๓
ตั้งแต่คำว่า "ถ้าหากว่าบุคคล..." ไปจนถึงคำว่า "...มีอยู่อย่างไรเล่า? "-เช่นนี้ทุกแห่ง.)
"ทุกข์ใดๆเกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีสังขารเป็นปัจจัย" ดังนี้
นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่หนึ่ง; และ "เพราะความดับโดยสำรอกไม่เหลือแห่ง
สังขารทั้งหลายนั่นเทียว ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ย่อมไม่มี" ดังนี้
นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่สอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุพิจารณาตามเห็นอยู่ซึ่งธรรมตาม
ที่กำหนดไว้เป็นสองฝ่ายโดยชอบอย่างนี้...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ย่อมเป็นอนาคามี ฯ

                               " ทุกข์ใด ๆ เกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้น มีเพราะสังขาร เป็นปัจจัย;
                                 เพราะความดับแห่งสังขารทั้งหลาย ความเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ ย่อมไม่มี.
                                 ครั้นรู้โทษนั้นแห่งสังขารว่าทุกข์มีเพราะสังขารเป็นปัจจัย,
                                 และว่าเพราะความดับแห่งสังขารทั้งปวง ความดับแห่งสัญญาย่อมมี;
                                 ความสิ้นไปแห่งทุกข์ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้เพราะรู้ธรรมนั้น อย่างถูกต้องถ่องแท้.
                                 เพราะรู้ด้วยปัญญาโดยชอบ, บัณฑิตผู้ถึงเวทย์ เห็นสิ่งต่าง ๆ อยู่ อย่างถูกต้อง,
                                 ครอบงำเครื่องผูกพันแห่งมารแล้ว, ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่."

(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าหากว่าบุคคล...ฯลฯ...ฯลฯ... มีอยู่สองฝ่ายคือ
"ทุกข์ใดๆเกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย"ดังนี้
นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่หนึ่ง; และ "เพราะความดับโดยสำรอกไม่เหลือแห่งวิญญาณนั่นเทียว
ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ย่อมไม่มี" ดังนี้
นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่สอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุพิจารณาตามเห็นอยู่ซึ่งธรรมตามที่
กำหนดไว้เป็นธรรมสองฝ่ายโดยชอบอย่างนี้ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ย่อมเป็นอนาคามี ฯ

                                "ทุกข์ใดๆเกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้น มีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย,
                                  เพราะความดับแห่งวิญญาณ ความเกิด ขึ้น แห่งทุกข์ ย่อม ไม่มี.
                                  เพราะรู้โทษนั่นแห่งวิญญาณว่า ทุกข์มีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย,
                                  ภิกษุจึงหมดสิ่งปรารถนา ย่อมเป็นผู้หายหิว ดับสนิท ไม่มีส่วนเหลือ
                                  เพราะความเข้าไปสงบรำงับแห่งวิญญาณ."

(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าหากว่าบุคคล ...ฯลฯ...ฯลฯ... มีอยู่สองฝ่ายคือ
"ทุกข์ใดๆเกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย" ดังนี้
นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่หนึ่ง; และ "เพราะความดับโดยสำรอกไม่เหลือแห่งผัสสะ นั่นเทียว
ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ย่อมไม่มี" ดังนี้
นี้เป็นอนุปัสสนาฝ่ายที่สอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุพิจารณาตามเห็นอยู่ซึ่งธรรมตาม
ที่กำหนดไว้เป็นสองฝ่ายโดยชอบอย่างนี้ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ย่อมเป็นอนาคามี ฯ

                                " สำหรับสัตว์ผู้มีผัสสะ บังหน้าครอบงำแล้ว, แล่นไปตามกระแสแห่งภวตัณหาอยู่, เดินไปผิดทาง,นั้น
                                  ความสิ้นไปแห่งสัญโยชน์ของเขายังอยู่ห่างไกล; ส่วนชนเหล่าใด รอบรู้แล้วซึ่งผัสสะ
                                  ยินดีแล้วในธรรมเป็นที่สงบรำงับด้วยปัญญา; ชนเหล่านั้น
                                  ย่อมเป็นผู้หมดสิ่งปรารถนาดับรอบสนิทไม่มีส่วนเหลือเพราะรู้พร้อมเฉพาะซึ่งผัสสะ."
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่