พลิกพงศาวดาร
หอกข้างแคร่
พ.สมานคุรุกรรม
อยู่มาอีกไม่นาน พระยาพิชัยสงคราม พระมหามนตรี ทูลแด่สมเด็จพระรามราชาธิราชว่า พระยาพัทลุงแลพระศรีภูมิปรีชา ซึ่งทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้ไปกินเมืองนั้น ก็มิได้ไป แลคนทั้งสองนี้เพลากลางคืนได้ลงไปวังหลังมิได้ขาด แลคิดอ่านด้วยพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ จะคิดร้ายแก่แผ่นดิน จึ่งสมเด็จพระรามราชาธิราชก็เอาคดีนั้น กราบทูลพระกรุณา จึ่งมีพระราชโองการตรัสว่าจะให้เสาะแสวงหาฟังดูเนื้อความจงมั่นแม่นก่อน
อีกวันหนึ่งพระยาจักรีแลพระยาคลัง ก็มาบอกแก่พระยาพิชิตภักดีว่า นายผูก เดิมเป็นมหาดเล็ก เป็นโทษครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปราสาททอง มาบอกว่าพระยาพัทลุง พระศรีภูมิปรีชาแลหมื่นภักดีศวร ต่างก็ลงไปหาพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ที่วังหลัง คิดอ่านซ่องสุมไพร่พลจะทำร้ายแก่แผ่นดิน พระยาพิชัยภักดีก็กราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ จึ่งมีพระราชโองการสั่งพระยา คลังว่า หมื่นภักดีศวรซึ่งสั่งให้ไปรั้งเมืองแลมิได้ไปนั้น เห็นว่าจะคบคิดกันทำร้ายพระองค์ ให้ลงโทษตัดศรีษะเสียบไว้หน้าศาลาลูกขุน ณ พระราชวังบวรสถานมงคล
ต่อมาข้าหลวงซึ่งแต่งให้ออกไปฟังกิตติศัพท์นั้น ก็ได้นำเอาเนื้อความมากราบทูล พระกรุณาว่า ได้ยินจากข้าไทว่าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์คิดว่า ในการพระราชพิธีตรียัมปะวายนั้น ถ้าเสด็จพระราชดำเนินไปกลางคืนไซร้ จะแต่งข้าอาสาให้ซุ่มซ่อนอยู่ที่ทางแคบ แลออกทำร้ายในละอองธุลีพระบาท ครั้นทรงทราบเนื้อความทั้งนี้แล้ว จึ่งทรงพระดำริว่าองค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ไซร้เป็นอนุชาธิราชแห่งเราก็ไว้พระทัยเป็นที่สนิทเสน่หานัก แลซึ่งจะคิดมิตรโทษแก่เรา จะทำร้ายแก่เราก็ให้ทำเถิด เราจะเอาแต่บุญญาธิการแห่งเราเป็นที่พึ่ง
ครั้นถึงวันการพระราชพิธีตรียัมปะวายกลางคืนนั้น ก็เสด็จทรงช้างต้นพระที่นั่งสุวรรณปฤษฎางค์ ประดับด้วยเครื่องราโชปโภคทั้งปวง แลท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย แห่โดยซ้ายขวาหน้าหลัง ก็เสด็จแต่พระราชวังบวรสถานมงคลมาโดยทางหอรัตนชัย มาทางสะพานช้าง แลพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ก็ขึ้นช้าง ตามช้างพระที่นั่งมา พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จไปโดยทางชีกุน แลคนซึ่งแต่งซุ่มไว้นั้นล้วนถือปืนนกสับ อยู่ที่สะพานช้างเป็นอันมาก ครั้นให้ถามก็บอกว่าข้าวังหลัง ก็มิได้มีพระราชโองการแต่ประการใด เสด็จไปส่งพระเป็นเจ้าถึงเทวสถานแล้ว เสด็จพระราชดำเนินกลับคืนมายังพระราชวังบวรสถานมงคล
ต่อมานายสุกนั้นเดิมเป็นข้าพระไชยราชาธิราช พระโอรสพระเจ้าทรงธรรม แล้วมาเป็นข้าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ มาบอกแก่หมื่นราชามาตย์แลบอกต่อแก่หลวงพิชัยเดช ให้กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบในละอองธุลีพระบาท ว่าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์จะคุมคนยกขึ้นมาในเดือนยี่แรมสามค่ำ
ณ วันหนึ่งพระยาจักรีแลพระยาพลเทพ จึงกราบทูลพระกรุณาว่า ได้ยินกิตติศัพท์ว่าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์จะคิดร้ายในละอองธุลีพระบาทนั้นเป็นมั่นแม่น จึ่งพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการ ตรัสสั่งแก่เสนาบดีแลข้าหลวงผู้มีความซื่อสัตย์นั้นว่า
“ องค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ไซร้ เป็นพระอนุชาธิราชแห่งเรา ก็มีความเสน่หาเป็นอันมากคิดว่าจะบำรุงไว้ให้วัฒนาการไปภายหน้า แต่หาได้มีความซื่อสัตย์ต่อเราไม่ ฟังเอาถ้อยคำคนโกหกมายุยง แลคิดซ่องสุมผู้คนจะทำร้ายแก่เรานั้น จะเป็นประการใด “
จึ่งเสนาบดีแลข้าหลวงผู้มีความสวามิภักดีนั้นกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า
“ พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ไซร้มิได้คิดถึงคุณ แลมิได้มีความสวามิภักดิ์ จะไว้ให้ทำตามอิจฉาภาพนั้นมิได้ ขอพระราชทานสำเร็จโทษตามประเพณีราชกุมาร ซึ่งเป็นมหันตโทษนั้น “
จึ่งพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการตรัสว่า
“ ซึ่งจะสำเร็จโทษในกรุงเทพมหานครนี้มิได้ เราจะไปพระนครหลวงแล้ว เราจะทรงม้าต้น ให้องค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ขี่ม้าต้นตัวหนึ่ง ออกไปกลางพระนครหลวง ถ้าองค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์จะคิดทำร้ายแก่เรา เราก็มิได้เข็ดขาม จะยุทธนาด้วย ณ พระที่นั้น แลเราจะเอาบุญญาธิการแห่งเราเป็นที่พึ่ง “
ครั้นถึงวันอังคาร ขึ้นสามค่ำ เดือนสาม ปีวอก อัฐศก กอรปด้วยพิชัยฤกษ์เพลาอุษาโยค ก็เสด็จด้วยเรือพระที่นั่งศรีสมรรถชัย แลเรือท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง แห่หน้าหลังซ้ายขวาโดยเสด็จพระราชดำเนินไปถึงพระนครหลวง จึ่งเสด็จขึ้นพระตำหนัก ครั้นเพลารุ่งแล้วประมาณสองนาฬิกาเศษ จึ่งเสด็จทรงม้าต้นพระที่นั่งราชพาหนะ ให้พระอินทรราชาทรงม้าตัวหนึ่ง พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ทรงม้าตัวหนึ่ง แลสมเด็จพระรามราชาธิราชทรงม้าตัวหนึ่ง แลเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง โดยเสด็จแห่หน้าหลังซ้ายขวา เสด็จออกไปกลางทุ่งหน้าพระตำหนักนครหลวงนั้น
พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ ก็กลัวพระเดชเดชานุภาพพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้า อยู่หัว มิอาจจะทำร้ายได้ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับมายังพระตำหนัก พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ ก็ตามเสด็จเข้ามาในพระราชวังพระนครหลวง จึ่งพระสุรินทรภักดีก็ตามพระไตรภูวนาทิตยวงศ์เข้ามาถึง แลเห็นพระไตรภูวนาทิตยวงศ์แก้จางนางดาบออก แล้วก็ขึ้นไปบนฉนวน จึ่งพระสุรินทรภักดีก็ตามกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ เมื่อจะเสด็จเข้าพระที่นั่งบรรทม ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งพระยาวิชิตภักดี พระสุรินทรภักดี แลขุนเหล็กมหาดเล็ก ให้เอางานพัชนีพิทักษ์รักษาระวังระไวอยู่ จึ่งพระสุรินทรภักดีซึ่งเอางานพัชนีอยู่นั้น ก็แลเห็นอินทราชาธิราชแลพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ออกจากพระตำหนักมาใกล้ที่พระบรรทม ครั้นเห็นพระสุรินทรภักดีก็กลับคืนเข้าไป แล้วขุนเหล็กมหาดเล็ก ก็รับงานพัชนีผลัดพระสุรินทรภักดี แลพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ใช้ให้พระองค์ทอง ออกมาเอาพระแสงหอกต้นของหลวงซึ่งอยู่ ณ ที่นั่งมุขเด็จนั้นไป
ครั้นพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จตื่นขึ้นจากพระบรรทม จึ่งขุนเหล็กมหาดเล็กกราบบังคมทูลพระกรุณา ที่พระองค์ทองออกมาเอาพระแสงหอกต้นนั้นไป จึ่งทรงพระกรุณาตรัสว่า ซึ่งพระแสงหอกต้นไซร้ จะได้เป็นสำหรับองค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์หามิได้ แลซึ่งให้มาเอาพระแสงต้นเข้าไปไว้ดั่งนี้ เห็นว่าพระองค์ไตรภูวนาทิตยงวศ์จะคิดร้ายต่อเราเป็นมั่นแม่น จึ่งพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชโองการตรัสสั่งให้ พระยาพิชัยสงครามคุมไพร่พล อยู่รักษาประตูหน้าพระราชวัง ให้พระศรีมหาราชาคุมไพร่พลอยู่รักษาประตูพระราชวังฝ่ายซ้าย ให้พระธนบุรีคุมข้าหลวงอยู่รักษาประตูฉนวน แลให้พิทักษ์รักษาอย่าให้ผู้คนแปลกปลอมเข้าออกได้
ครั้นเพลาเช้าห้านาฬิกา จึ่งพระอินทรราชา พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ แลพระองค์ทองก็ออกมาเฝ้าที่ฉนวนนั้น พร้อมด้วยข้าหลวงผู้มีชื่อ ซึ่งได้รับพระราชโองการให้เป็นพนักงานควบคุม พระยาจักรีก็ขอพระราชทานเข้าเฝ้าใกล้ละอองธุลีพระบาท แล้วรับพระราชโองการว่าเอาเถิด พระยาจักรี พระยาวิชิตภักดี พระมหามนตรี หลวงอินทเดช ก็กุมพระองค์ไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระ สุรินทรภักดี หลวงเทพสมบัติ หลวงกำแพง แลพระราม หมื่นมไหสวรรย์ กุมพระองค์อินทรราชา แลชิงเอาดาบไว้ได้ทั้งสองพระองค์
ฝ่ายพระองค์ทองผู้เป็นอนุชา ก็เข้าช่วงชิงพระไตรภูวนาทิตยวงศ์แลทุบตีข้าหลวงผู้เกาะกุม ข้าหลวงก็กุมเอาพระองค์ทองนั้นด้วย แล้วก็เอาพระไตรภูวนาทิตยวงศ์แลพระองค์ทองสำเร็จโทษในที่นั้น แต่พระอินทราธิราชนั้น ทรงพระกรุณายกโทษไว้ เพราะว่ามิได้เข้าด้วย จึ่งพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จลงเรือพระที่นั่ง เอาพระอินทรราชาลงเรือพระที่นั่งมาด้วย แลเรือเสนาบดีมุขมนตรีทั้งปวง ก็เข้าขบวนโดยเสด็จซ้ายขวาหน้าหลัง เสด็จพระราชดำเนินมายังพระรางวังบวรสถานมงคล
แล้วจึ่งมีพระราชโองการสั่งให้ตำรวจนอกตำรวจใน ไปเอาข้าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ ซึ่งร่วมคิดด้วยนั้นมาถวาย เมื่อถามข้าหลวงเดิมก็ให้การซัดทอดถึงผู้ร่วมคิดอีกมาก ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงพิพากษาโทษ ผู้ซึ่งคิดอ่านด้วยพระไตรภูวทิตยวงศ์ จะทำร้ายในละอองธุลีพระบาทนั้นเป็นมหันตโทษถึงสิ้นชีวิต ส่วนผู้ไปมาคบหา ซึ่งมิได้คิดร้ายด้วยนั้น เป็นแต่สาขาโทษ ทรงพระกรุณาโปรดให้ลงพระราชอาญาแล้วประทานชีวิตไว้
เป็นอันสิ้นภยันตรายจากบรรดาผู้ที่มิได้จงรักภักดี ดุจหอกข้างแคร่ที่อยู่ใกล้พระองค์ ตั้งแต่นั้นมา.
##########
พลิกพงศาวดาร หอกข้างแคร่ ๘ ก.ค.๕๘
หอกข้างแคร่
พ.สมานคุรุกรรม
อยู่มาอีกไม่นาน พระยาพิชัยสงคราม พระมหามนตรี ทูลแด่สมเด็จพระรามราชาธิราชว่า พระยาพัทลุงแลพระศรีภูมิปรีชา ซึ่งทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้ไปกินเมืองนั้น ก็มิได้ไป แลคนทั้งสองนี้เพลากลางคืนได้ลงไปวังหลังมิได้ขาด แลคิดอ่านด้วยพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ จะคิดร้ายแก่แผ่นดิน จึ่งสมเด็จพระรามราชาธิราชก็เอาคดีนั้น กราบทูลพระกรุณา จึ่งมีพระราชโองการตรัสว่าจะให้เสาะแสวงหาฟังดูเนื้อความจงมั่นแม่นก่อน
อีกวันหนึ่งพระยาจักรีแลพระยาคลัง ก็มาบอกแก่พระยาพิชิตภักดีว่า นายผูก เดิมเป็นมหาดเล็ก เป็นโทษครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปราสาททอง มาบอกว่าพระยาพัทลุง พระศรีภูมิปรีชาแลหมื่นภักดีศวร ต่างก็ลงไปหาพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ที่วังหลัง คิดอ่านซ่องสุมไพร่พลจะทำร้ายแก่แผ่นดิน พระยาพิชัยภักดีก็กราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ จึ่งมีพระราชโองการสั่งพระยา คลังว่า หมื่นภักดีศวรซึ่งสั่งให้ไปรั้งเมืองแลมิได้ไปนั้น เห็นว่าจะคบคิดกันทำร้ายพระองค์ ให้ลงโทษตัดศรีษะเสียบไว้หน้าศาลาลูกขุน ณ พระราชวังบวรสถานมงคล
ต่อมาข้าหลวงซึ่งแต่งให้ออกไปฟังกิตติศัพท์นั้น ก็ได้นำเอาเนื้อความมากราบทูล พระกรุณาว่า ได้ยินจากข้าไทว่าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์คิดว่า ในการพระราชพิธีตรียัมปะวายนั้น ถ้าเสด็จพระราชดำเนินไปกลางคืนไซร้ จะแต่งข้าอาสาให้ซุ่มซ่อนอยู่ที่ทางแคบ แลออกทำร้ายในละอองธุลีพระบาท ครั้นทรงทราบเนื้อความทั้งนี้แล้ว จึ่งทรงพระดำริว่าองค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ไซร้เป็นอนุชาธิราชแห่งเราก็ไว้พระทัยเป็นที่สนิทเสน่หานัก แลซึ่งจะคิดมิตรโทษแก่เรา จะทำร้ายแก่เราก็ให้ทำเถิด เราจะเอาแต่บุญญาธิการแห่งเราเป็นที่พึ่ง
ครั้นถึงวันการพระราชพิธีตรียัมปะวายกลางคืนนั้น ก็เสด็จทรงช้างต้นพระที่นั่งสุวรรณปฤษฎางค์ ประดับด้วยเครื่องราโชปโภคทั้งปวง แลท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย แห่โดยซ้ายขวาหน้าหลัง ก็เสด็จแต่พระราชวังบวรสถานมงคลมาโดยทางหอรัตนชัย มาทางสะพานช้าง แลพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ก็ขึ้นช้าง ตามช้างพระที่นั่งมา พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จไปโดยทางชีกุน แลคนซึ่งแต่งซุ่มไว้นั้นล้วนถือปืนนกสับ อยู่ที่สะพานช้างเป็นอันมาก ครั้นให้ถามก็บอกว่าข้าวังหลัง ก็มิได้มีพระราชโองการแต่ประการใด เสด็จไปส่งพระเป็นเจ้าถึงเทวสถานแล้ว เสด็จพระราชดำเนินกลับคืนมายังพระราชวังบวรสถานมงคล
ต่อมานายสุกนั้นเดิมเป็นข้าพระไชยราชาธิราช พระโอรสพระเจ้าทรงธรรม แล้วมาเป็นข้าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ มาบอกแก่หมื่นราชามาตย์แลบอกต่อแก่หลวงพิชัยเดช ให้กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบในละอองธุลีพระบาท ว่าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์จะคุมคนยกขึ้นมาในเดือนยี่แรมสามค่ำ
ณ วันหนึ่งพระยาจักรีแลพระยาพลเทพ จึงกราบทูลพระกรุณาว่า ได้ยินกิตติศัพท์ว่าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์จะคิดร้ายในละอองธุลีพระบาทนั้นเป็นมั่นแม่น จึ่งพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการ ตรัสสั่งแก่เสนาบดีแลข้าหลวงผู้มีความซื่อสัตย์นั้นว่า
“ องค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ไซร้ เป็นพระอนุชาธิราชแห่งเรา ก็มีความเสน่หาเป็นอันมากคิดว่าจะบำรุงไว้ให้วัฒนาการไปภายหน้า แต่หาได้มีความซื่อสัตย์ต่อเราไม่ ฟังเอาถ้อยคำคนโกหกมายุยง แลคิดซ่องสุมผู้คนจะทำร้ายแก่เรานั้น จะเป็นประการใด “
จึ่งเสนาบดีแลข้าหลวงผู้มีความสวามิภักดีนั้นกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า
“ พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ไซร้มิได้คิดถึงคุณ แลมิได้มีความสวามิภักดิ์ จะไว้ให้ทำตามอิจฉาภาพนั้นมิได้ ขอพระราชทานสำเร็จโทษตามประเพณีราชกุมาร ซึ่งเป็นมหันตโทษนั้น “
จึ่งพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการตรัสว่า
“ ซึ่งจะสำเร็จโทษในกรุงเทพมหานครนี้มิได้ เราจะไปพระนครหลวงแล้ว เราจะทรงม้าต้น ให้องค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ขี่ม้าต้นตัวหนึ่ง ออกไปกลางพระนครหลวง ถ้าองค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์จะคิดทำร้ายแก่เรา เราก็มิได้เข็ดขาม จะยุทธนาด้วย ณ พระที่นั้น แลเราจะเอาบุญญาธิการแห่งเราเป็นที่พึ่ง “
ครั้นถึงวันอังคาร ขึ้นสามค่ำ เดือนสาม ปีวอก อัฐศก กอรปด้วยพิชัยฤกษ์เพลาอุษาโยค ก็เสด็จด้วยเรือพระที่นั่งศรีสมรรถชัย แลเรือท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง แห่หน้าหลังซ้ายขวาโดยเสด็จพระราชดำเนินไปถึงพระนครหลวง จึ่งเสด็จขึ้นพระตำหนัก ครั้นเพลารุ่งแล้วประมาณสองนาฬิกาเศษ จึ่งเสด็จทรงม้าต้นพระที่นั่งราชพาหนะ ให้พระอินทรราชาทรงม้าตัวหนึ่ง พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ทรงม้าตัวหนึ่ง แลสมเด็จพระรามราชาธิราชทรงม้าตัวหนึ่ง แลเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวง โดยเสด็จแห่หน้าหลังซ้ายขวา เสด็จออกไปกลางทุ่งหน้าพระตำหนักนครหลวงนั้น
พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ ก็กลัวพระเดชเดชานุภาพพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้า อยู่หัว มิอาจจะทำร้ายได้ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับมายังพระตำหนัก พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ ก็ตามเสด็จเข้ามาในพระราชวังพระนครหลวง จึ่งพระสุรินทรภักดีก็ตามพระไตรภูวนาทิตยวงศ์เข้ามาถึง แลเห็นพระไตรภูวนาทิตยวงศ์แก้จางนางดาบออก แล้วก็ขึ้นไปบนฉนวน จึ่งพระสุรินทรภักดีก็ตามกราบทูลพระกรุณาให้ทราบ เมื่อจะเสด็จเข้าพระที่นั่งบรรทม ก็มีพระราชโองการตรัสสั่งพระยาวิชิตภักดี พระสุรินทรภักดี แลขุนเหล็กมหาดเล็ก ให้เอางานพัชนีพิทักษ์รักษาระวังระไวอยู่ จึ่งพระสุรินทรภักดีซึ่งเอางานพัชนีอยู่นั้น ก็แลเห็นอินทราชาธิราชแลพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ออกจากพระตำหนักมาใกล้ที่พระบรรทม ครั้นเห็นพระสุรินทรภักดีก็กลับคืนเข้าไป แล้วขุนเหล็กมหาดเล็ก ก็รับงานพัชนีผลัดพระสุรินทรภักดี แลพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ใช้ให้พระองค์ทอง ออกมาเอาพระแสงหอกต้นของหลวงซึ่งอยู่ ณ ที่นั่งมุขเด็จนั้นไป
ครั้นพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จตื่นขึ้นจากพระบรรทม จึ่งขุนเหล็กมหาดเล็กกราบบังคมทูลพระกรุณา ที่พระองค์ทองออกมาเอาพระแสงหอกต้นนั้นไป จึ่งทรงพระกรุณาตรัสว่า ซึ่งพระแสงหอกต้นไซร้ จะได้เป็นสำหรับองค์พระไตรภูวนาทิตยวงศ์หามิได้ แลซึ่งให้มาเอาพระแสงต้นเข้าไปไว้ดั่งนี้ เห็นว่าพระองค์ไตรภูวนาทิตยงวศ์จะคิดร้ายต่อเราเป็นมั่นแม่น จึ่งพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชโองการตรัสสั่งให้ พระยาพิชัยสงครามคุมไพร่พล อยู่รักษาประตูหน้าพระราชวัง ให้พระศรีมหาราชาคุมไพร่พลอยู่รักษาประตูพระราชวังฝ่ายซ้าย ให้พระธนบุรีคุมข้าหลวงอยู่รักษาประตูฉนวน แลให้พิทักษ์รักษาอย่าให้ผู้คนแปลกปลอมเข้าออกได้
ครั้นเพลาเช้าห้านาฬิกา จึ่งพระอินทรราชา พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ แลพระองค์ทองก็ออกมาเฝ้าที่ฉนวนนั้น พร้อมด้วยข้าหลวงผู้มีชื่อ ซึ่งได้รับพระราชโองการให้เป็นพนักงานควบคุม พระยาจักรีก็ขอพระราชทานเข้าเฝ้าใกล้ละอองธุลีพระบาท แล้วรับพระราชโองการว่าเอาเถิด พระยาจักรี พระยาวิชิตภักดี พระมหามนตรี หลวงอินทเดช ก็กุมพระองค์ไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระ สุรินทรภักดี หลวงเทพสมบัติ หลวงกำแพง แลพระราม หมื่นมไหสวรรย์ กุมพระองค์อินทรราชา แลชิงเอาดาบไว้ได้ทั้งสองพระองค์
ฝ่ายพระองค์ทองผู้เป็นอนุชา ก็เข้าช่วงชิงพระไตรภูวนาทิตยวงศ์แลทุบตีข้าหลวงผู้เกาะกุม ข้าหลวงก็กุมเอาพระองค์ทองนั้นด้วย แล้วก็เอาพระไตรภูวนาทิตยวงศ์แลพระองค์ทองสำเร็จโทษในที่นั้น แต่พระอินทราธิราชนั้น ทรงพระกรุณายกโทษไว้ เพราะว่ามิได้เข้าด้วย จึ่งพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จลงเรือพระที่นั่ง เอาพระอินทรราชาลงเรือพระที่นั่งมาด้วย แลเรือเสนาบดีมุขมนตรีทั้งปวง ก็เข้าขบวนโดยเสด็จซ้ายขวาหน้าหลัง เสด็จพระราชดำเนินมายังพระรางวังบวรสถานมงคล
แล้วจึ่งมีพระราชโองการสั่งให้ตำรวจนอกตำรวจใน ไปเอาข้าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ ซึ่งร่วมคิดด้วยนั้นมาถวาย เมื่อถามข้าหลวงเดิมก็ให้การซัดทอดถึงผู้ร่วมคิดอีกมาก ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงพิพากษาโทษ ผู้ซึ่งคิดอ่านด้วยพระไตรภูวทิตยวงศ์ จะทำร้ายในละอองธุลีพระบาทนั้นเป็นมหันตโทษถึงสิ้นชีวิต ส่วนผู้ไปมาคบหา ซึ่งมิได้คิดร้ายด้วยนั้น เป็นแต่สาขาโทษ ทรงพระกรุณาโปรดให้ลงพระราชอาญาแล้วประทานชีวิตไว้
เป็นอันสิ้นภยันตรายจากบรรดาผู้ที่มิได้จงรักภักดี ดุจหอกข้างแคร่ที่อยู่ใกล้พระองค์ ตั้งแต่นั้นมา.
##########