ประมาณปีที่ 770 ก่อน คริสตกาล ประเทศจีนอยู่ในสมัยของราชวงศ์โจวตะวันตก ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว
ถูกปกครองโดย พระเจ้าโจวอิ้วหวาง ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ พระองค์มีมเหสีชื่อ นางเป่าสื้อ
ซึ่งเป็นสตรีที่งดงามมาก ทว่านับแต่นางเข้าวังมา นางไม่เคยแย้มยิ้มเลย แม้แต่ครั้งเดียวพระเจ้าโจวอิ้วหวาง
เป็นกษัตริย์ที่ไร้สติปัญญา หลงเชื่อแต่ขุนนางสอพลอ และมักลงโทษขุนนางผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับพระองค์
ครั้งหนึ่งพระองค์ได้มีรับสั่งให้ลงโทษประหารเสนาบดีผู้หนึ่ง ทว่าบรรดาญาติมิตรของเสนาบดีผู้นั้นได้ช่วยกัน
กราบทูลขออภัยโทษและได้ถวายหญิงงาม ผู้หนึ่งชื่อว่า เป่าสื้อ ให้มาเป็นสนมของพระองค์
โจวอิ้งหวางทรงหลงใหล จึงละโทษตายแก่เสนาบดีผู้นั้น จากนั้นไม่นานก็ทรงเลื่อนตำแหน่งให้เป่าสื้อเป็น
มเหสีโดยทรงถอดมเหสีองค์เดิมออกไปทว่านับแต่เข้าวังมา นางเป่าสื้อไม่เคยยิ้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว โจวอิ้ง
หวางทรงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้นางยิ้มออกมาได้สักครั้ง ถึงกับประกาศไปว่า หากผู้ใด ทำให้มเหสีของ
พระองค์ยิ้มได้ พระองค์จะพระราชทานทองคำพันตำลึงเป็นรางวัลต่อมามีขุนนางสอพลอผู้หนึ่งเสนอ อุบายให้
โจวอิ้งหวางไปสร้างพลับพลายังเขาหลีซานและจุดหอไฟแจ้งเหตุเรียกกองทัพหัวเมืองทั้งปวงให้มาชุมนุมที่
นั่นโดยกราบทูลว่า หากพระมเหสีเห็นทัพหัวเมืองทั้งปวงถูกหลอกให้มาชุมนุมโดยไม่มีสาเหตุแล้ว น่าจะเกิด
ขบขันจนยิ้มออกมาได้
โจวอิ้วหวางเห็นด้วย จึงให้ทำการดังนั้น ครั้นเมื่อ นางเป่าสือ ได้เห็นทหารนับหมื่นนับแสนจากหัวเมืองทั้งปวง
ถูกหลอกให้มาชุมนุมพลยังเขาหลีซานจนเกิดชุลมุนวุ่นวายไปทั่วนั้น นางก็แย้มสรวลออกมาเล็กน้อยด้วยสีหน้า
ที่เรียบเฉย แต่ก็ทำให้โจวอิ้วหวางทรงพอพระทัยและตบรางวัลขุนนางเจ้าความคิดถึงพันตำลึงทองทว่าการจุด
หอไฟแจ้งเหตุ หลอกกองทัพหัวเมืองมาในครั้งนั้น ทำให้เจ้าเมืองทั้งหลายไม่พอใจเป็นอันมาก ครั้นต่อมาไม่
นาน เจ้าแคว้นเซินซึ่งเป็นบิดาของอดีตพระมเหสีที่ถูกถอดจากตำแหน่งได้หันไปสมคบกับชนเผ่าฉวนหรงที่อยู่
นอกด่านยกทัพบุกเมืองหลวงของราชวงศ์โจวตะวันตก
เมื่อเกิดข้าศึกยกมารุกรานเมืองหลวงจริงๆ โจวอิ้วหวางก็สั่งให้จุดหอไฟแจ้งเหตุเพื่อเรียกบรรดาทัพจากหัวเมือง
ต่างๆมาช่วย ทว่าในครั้งนี้ หามีกองทัพใดยกมาไม่ ด้วยกลัวว่าจะถูกหลอกเป็นตัวตลกเช่นดังครั้งก่อน ทำให้ทัพ
ข้าศึกตีเมืองหลวงแตกและปลงพระชนม์โจวอิ้วหวางลง ทำให้ราชวงศ์โจวตะวันตกตัองล่มสลาย
รอยยิ้ม พันตำลึงทอง
ประมาณปีที่ 770 ก่อน คริสตกาล ประเทศจีนอยู่ในสมัยของราชวงศ์โจวตะวันตก ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว
ถูกปกครองโดย พระเจ้าโจวอิ้วหวาง ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ พระองค์มีมเหสีชื่อ นางเป่าสื้อ
ซึ่งเป็นสตรีที่งดงามมาก ทว่านับแต่นางเข้าวังมา นางไม่เคยแย้มยิ้มเลย แม้แต่ครั้งเดียวพระเจ้าโจวอิ้วหวาง
เป็นกษัตริย์ที่ไร้สติปัญญา หลงเชื่อแต่ขุนนางสอพลอ และมักลงโทษขุนนางผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับพระองค์
ครั้งหนึ่งพระองค์ได้มีรับสั่งให้ลงโทษประหารเสนาบดีผู้หนึ่ง ทว่าบรรดาญาติมิตรของเสนาบดีผู้นั้นได้ช่วยกัน
กราบทูลขออภัยโทษและได้ถวายหญิงงาม ผู้หนึ่งชื่อว่า เป่าสื้อ ให้มาเป็นสนมของพระองค์
โจวอิ้งหวางทรงหลงใหล จึงละโทษตายแก่เสนาบดีผู้นั้น จากนั้นไม่นานก็ทรงเลื่อนตำแหน่งให้เป่าสื้อเป็น
มเหสีโดยทรงถอดมเหสีองค์เดิมออกไปทว่านับแต่เข้าวังมา นางเป่าสื้อไม่เคยยิ้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว โจวอิ้ง
หวางทรงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้นางยิ้มออกมาได้สักครั้ง ถึงกับประกาศไปว่า หากผู้ใด ทำให้มเหสีของ
พระองค์ยิ้มได้ พระองค์จะพระราชทานทองคำพันตำลึงเป็นรางวัลต่อมามีขุนนางสอพลอผู้หนึ่งเสนอ อุบายให้
โจวอิ้งหวางไปสร้างพลับพลายังเขาหลีซานและจุดหอไฟแจ้งเหตุเรียกกองทัพหัวเมืองทั้งปวงให้มาชุมนุมที่
นั่นโดยกราบทูลว่า หากพระมเหสีเห็นทัพหัวเมืองทั้งปวงถูกหลอกให้มาชุมนุมโดยไม่มีสาเหตุแล้ว น่าจะเกิด
ขบขันจนยิ้มออกมาได้
โจวอิ้วหวางเห็นด้วย จึงให้ทำการดังนั้น ครั้นเมื่อ นางเป่าสือ ได้เห็นทหารนับหมื่นนับแสนจากหัวเมืองทั้งปวง
ถูกหลอกให้มาชุมนุมพลยังเขาหลีซานจนเกิดชุลมุนวุ่นวายไปทั่วนั้น นางก็แย้มสรวลออกมาเล็กน้อยด้วยสีหน้า
ที่เรียบเฉย แต่ก็ทำให้โจวอิ้วหวางทรงพอพระทัยและตบรางวัลขุนนางเจ้าความคิดถึงพันตำลึงทองทว่าการจุด
หอไฟแจ้งเหตุ หลอกกองทัพหัวเมืองมาในครั้งนั้น ทำให้เจ้าเมืองทั้งหลายไม่พอใจเป็นอันมาก ครั้นต่อมาไม่
นาน เจ้าแคว้นเซินซึ่งเป็นบิดาของอดีตพระมเหสีที่ถูกถอดจากตำแหน่งได้หันไปสมคบกับชนเผ่าฉวนหรงที่อยู่
นอกด่านยกทัพบุกเมืองหลวงของราชวงศ์โจวตะวันตก
เมื่อเกิดข้าศึกยกมารุกรานเมืองหลวงจริงๆ โจวอิ้วหวางก็สั่งให้จุดหอไฟแจ้งเหตุเพื่อเรียกบรรดาทัพจากหัวเมือง
ต่างๆมาช่วย ทว่าในครั้งนี้ หามีกองทัพใดยกมาไม่ ด้วยกลัวว่าจะถูกหลอกเป็นตัวตลกเช่นดังครั้งก่อน ทำให้ทัพ
ข้าศึกตีเมืองหลวงแตกและปลงพระชนม์โจวอิ้วหวางลง ทำให้ราชวงศ์โจวตะวันตกตัองล่มสลาย