ธารทิพย์ บทที่ 65

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 64 http://ppantip.com/topic/33855516

            คนไข้นั่งจับเจ่าอยู่บนเตียงมาหลายวันมากแล้ว เขาได้แต่ทอดสายตาจากตึกสูงของห้องพักลงไปยังนครใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง กระจกบานใหญ่ที่เป็นผนังส่วนชมทิวทัศน์ถูกเปิดม่านออกจนสุดตามที่คนไข้ร้องขอ ร่างกายนั้นเป็นปกติ จิตกับกายหยาบก็สมานกันมั่นคงแล้ว เหลืออยู่แต่เพียงคำถามมากมายเท่านั้นที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจ คำถามที่ไม่กล้าเอ่ยปากถามผู้ใดทั้งสิ้นแม้แต่คนในครอบครัว กลัวจะถูกหาว่าฟั่นเฟือน และที่เจ็บร้าวที่สุดคือ เวลานี้เธอผู้เป็นปัญญา เธอผู้เป็นดั่งดวงใจอยู่ที่ไหนกัน

                ห้วงคำนึงยุติลงเมื่อเสียงเคาะเบาๆดังขึ้นแล้วบานประตูห้องจึงค่อยๆเปิดออก พีเพื่อนเกลอส่งยิ้มนำมาก่อนแล้วเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ

                “ยังไงบ้างเอ็งวันนี้” พีเอ่ยทัก

                “เมื่อไหร่หมอเค้าจะให้กลับบ้านได้ซะที” โจพูดบ่นเบาๆ

                “อีกไม่กี่วันหรอกมั้ง” พีตอบ

                “ออกไปนั่งเล่นนอกระเบียงกันมั้ย มีของชอบมาให้” พีชวนยิ้มๆ

                “อย่าบอกหมอล่ะ เดี๋ยวข้าโดนพ่อแม่เล่นงานเอา” เขาพูดต่อ

                โจลงจากเตียงคนไข้แล้วเดินออกจากห้องมานั่งอยู่ที่ระเบียงรับลมของห้องพัก พีเดินตามเพื่อนมานั่งลงข้างๆแล้วส่งซองบุหรี่กับไฟแช็คให้ โจรับซองมาแกะออกแล้วดึงมวนบุหรี่ออกมาคาบไว้ที่ริมฝีปากจุดปลายบุหรี่สูบ เขาไอสำลักเบาๆออกมา

                “ช้าๆ ไม่ได้สูบหลายวันเดี๋ยวสำลักตาย” พีพูดเตือนเหลือบหางตามอง

                โจนั่งมองมวนบุหรี่ติดไฟที่คีบไว้ด้วยสองนิ้วนิ่งเมื่อนึกถึงใครบางคนขึ้นมา

                “ข้าเลิกดีกว่า” เขาขยี้ปลายทิ้งในที่เขี่ยที่วางอยู่บนโต๊ะ

                พีเหลือบมองหน้าเพื่อนแวบหนึ่งแล้วอมยิ้ม

                “แน่ใจเหรอวะ” พีพูดเสียงขำๆ

                “เห็นเอ็งพยายามมาตั้งนานแล้วนี่”

                “หรือว่าตอนนี้เกิดมีแรงบันดาลใจ”

                ชายหนุ่มคนไข้หันขวับมาทันทีจ้องหน้าเพื่อน

                “แรงบันดาลใจบ้าบออะไร” เขาพูดกลบเกลื่อน

                “แน่ะ เอ็งนี่โกหกไม่เป็นหร๊อก” พีทำเสียงสูงล้อเลียน

                “พูดเรื่องอะไรวะ” คนไข้ทำเป็นกระแทกเสียง

                ในใจของชายหนุ่มนั้นร้อนรนอย่างที่สุด อยากรู้สภาวะของเธอผู้อันตรธานไปในลำธารแห่งวาสนา

                “แล้วทำไมจะเลิกบุหรี่ซะล่ะ บอกมา” พีจงใจบีบคอให้เพื่อนพูด

                “เออเออ อย่างที่เอ็งคิดก็ได้” โจต้องยอมจำนน

                “ก็แค่นั้น รักเค้ามั้ย” พีถามลดเสียงตลกลง

                เงียบ ไม่มีเสียงตอบออกจากปากของเพื่อนรัก จนพีต้องหันไปมองหน้าเพื่อน เขาสะอึกกับภาพที่เห็น นึกตำหนิตัวเองที่ยั่วเย้าจนเพื่อนที่รักที่สุดเหมือนพี่น้องต้องกัดริมฝีปากก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่ไหลออกมา ชายหนุ่มนิ่งอึ้งน้ำตาคลอออกมาด้วย เขาเอื้อมมือไปวางบนไหล่คนไข้แล้วพูดเบาๆ

                “เออ ข้าขอโทษนะ เค้าไปหลังจากพาเอ็งเข้าโรงพยาบาลไม่กี่ชั่วโมง” พีเล่า

                “แต่ที่เค้าต้องไปก็เพราะคุณพ่อเค้าที่โพรว๊องซ์ก็เข้าผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจเหมือนกัน”

                “ข้าว่าไม่นานเค้าคงกลับมาหรอก เอ็งอย่าเพิ่งคิดมาก” พีพูดปลอบ

                โจพยักหน้ารับทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ อย่างน้อยที่สุดชายหนุ่มก็ยังดีใจที่สุดที่รู้ว่าเธอยังอยู่ แต่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและแสนเสียดายที่แล่นขึ้นมาแน่นอกก็คือ เธอคนนั้นก็คงไม่มีความทรงจำอะไรที่ได้บากบั่นต่อสู้เคียงคู่กันมาหลงเหลืออยู่ เหมือนกันกับที่พีซึ่งไม่มีทีท่าหรือความทรงจำของพยัคฆราชเช่นกัน

                “เออแล้วที่เอ็งตื่นขึ้นมาพูดว่าหาดใหญ่น่ะ ฝันไปหรือละเมอ” พีหันไปถาม

                “เอ่อ ไม่รู้ซิ แล้วตอนข้าหลับมันมีอะไรมั้ยล่ะ เกี่ยวกับหาดใหญ่” โจทำท่าไม่รู้แล้วแกล้งถามกลับ

                “ก็มีนะ เรื่องใหญ่ซะด้วย” พีตอบ

                “เรื่องอะไรวะ” โจถามต้องการให้เพื่อนพูดเพื่อประเมินสภาวะการรับรู้จากภายในวิญญาณของเขา

                “ผู้ก่อการร้ายมันวางระเบิดอาคารผู้โดยสารสนามบินหาดใหญ่” พีเล่าทำท่าขนลุก

                “ตายหลายคน บาดเจ็บก็เยอะ ที่สำคัญ คุณพ่อมีแผนไปสิงคโปร์เจรจาเรื่องทุน”

                “แล้วจะมาแวะหาดใหญ่ดูโรงงานที่ทุนนั้นจะมาลง คุณพ่อจะเอาน้องเงาะไปด้วย”

                “ระเบิดมันตั้งเวลาทำงานไว้ที่ผู้โดยสารเที่ยวบินนั้นลงพอดี”

                “ข้าไม่อยากนึกภาพเลย” พีหยุดเล่าเอาสองแขนกอดตัวเองทำท่าสยดสยอง

                “ทำไม” โจย้ำถามให้เพื่อนเล่าต่อ

                “ก็คุณพ่อกับน้องเงาะต้องยกเลิกการเดินทางเพราะเอ็งหลับไปแล้วปลุกไม่ตื่นนี่แหละ” พีเน้นเสียง

                “ข้านึกไม่ออกเลย ว่าถ้าคุณพ่อกับน้องเงาะเป็นอะไรไป ข้าจะอยู่ได้ยังไงต่อไป”

                “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มหาเทพฯมหาเทวีฯท่านปัดเป่าให้พ้นภัย” พีพูดแล้วพนมมือไหว้มองท้องฟ้า

                “ท่านเมตตาเปลี่ยนลิขิตให้น่ะสิ” โจพูดลอยๆ พีกำลังมองท้องฟ้าจึงไม่ได้สนใจคำพูดแปลกๆของเพื่อน

                “แล้วข้าหลับไปตอนไหนวะ” โจขมวดคิ้วถาม

                “ก็วันที่พ่อแม่ไปเที่ยวที่เล้าเป็ดน้ำกันไง” พีตอบเสียงสูง

                “พอกลับมานั่งคุยกันที่คฤหาสน์เรื่องงานแต่งข้ากับน้องเงาะ”

                “นั่นล่ะช่วงที่เอ็งนั่งหลับที่โซฟาแล้วไม่ตื่น วันนั้นล่ะที่คุณพ่อพูดเรื่องไปสิงคโปร์กับหาดใหญ่”

                โจพยักหน้ารับรู้

                “แล้วนี่เอ็งจะแต่งกันเมื่อไหร่” โจถาม

                “เห็นคุณแม่ว่าเดือนหน้า” พีตอบเพื่อน

                “ท่านเพิ่งไปดูฤกษ์ใหม่มา ตอนแรกหลังจากที่เอ็งหลับไป งานแต่งก็ถูกเลื่อนไม่มีกำหนด”

                “ก็ข้าตื่นแล้วก็ใช้ฤกษ์เก่าได้นี่” โจพูด

                “ใครเค้าจะมีอารมณ์แต่งล่ะไอ้บ้า เอ็งยังคาอยู่โรงพยาบาลนี่” พีพูดอย่างอารมณ์ดี

                “สรุปว่านี่เอ็งอยู่ที่นี่มาตลอดเลยเหรอพยัคฆราช” โจถามเพื่อทดสอบไม่เต็มเสียงนัก

                พีหันมามองหน้าเพื่อน

                “แล้วให้ข้าไปไหนล่ะ แล้วเมื่อตะกี้เอ็งพูดชื่ออะไรนะ” พีตอบโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆกับชื่อนั้น

                “เปล่า ช่างเถอะ พูดผิดไปงั้นเอง” โจตอบเลี่ยงไป เขาแน่ใจแล้วว่าเพื่อนรักไม่มีสำเหนียกใดเลยในชาติภพอดีต

                “แล้วนี่เอ็งรู้สึกดีขึ้นแค่ไหนแล้ววะตอนนี้” พีถามอาการ

                “ก็ปกติทุกอย่าง เมื่อไหร่หมอจะให้ไปซะทีวะ” โจบ่น

                “เออ แล้วเป็ดน้ำล่ะ เป็นยังไงบ้าง” โจรีบถามเมื่อนึกขึ้นได้ถึงโพยมยานที่ทิ้งไว้ในภูยม

                “ปกติดี ข้าดูแลอยู่กับลุงฟ้อน แกก็ช่วยได้หลายอย่าง ไม่ต้องห่วง” พีบอก

                “ไป กลับเข้าไปในห้อง พักผ่อน คุยมากเดี๋ยวทะลึ่งเครียดหลับไปอีก” พีกลับมาพูดล้อ

                “ไอ้เวร” โจค้อนเพื่อนรัก ก็ไปมาด้วยกัน เขานึกขำในใจ

                ประตูห้องเปิดออกหลังเสียงเคาะเบาๆ นัทธิกายื่นหน้าสวยส่งยิ้มเข้ามาก่อน ตามเข้ามาอีกคนคือพ่อสุรเกียรติเมื่อเวลาค่อนเย็นแล้ว เธอยกมือไหว้แม่โสภาซึ่งล่วงหน้ามาก่อนตั้งแต่บ่าย โจพี่ชายและหนุ่มพีคู่หมั้นแล้วจึงเอ่ยคำพูด

                “เป็นยังไงบ้างคะคนป่วยวันนี้”

                โจยิ้มรับเรียบๆ พีรีบลุกขึ้นรับว่าที่พ่อตาและคู่หมั้นสาว แล้วตามทั้งสองไปยืนข้างเตียงคนป่วย

                “เป็นยังไงบ้าง” สุรเกียรติถามคำเดียวกับลูกสาว

                “ปกติดีครับคุณพ่อ” โจตอบ

                “หมอเค้าบอกว่าตรวจยังไงก็ไม่เจออะไรผิดปกติ อยากกลับบ้านรึยังล่ะ” สุรเกียรติพูดถาม

                “ไปนั่งคุยที่รับแขกดีกว่าครับคุณพ่อ” โจพูด

                “ผมปกติดีทุกอย่าง นี่ก็แค่ขึ้นมานอนเล่นๆไม่มีอะไรทำ”

                ทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกย้ายมานั่งคุยกินอาหารเย็นกันที่โต๊ะอาหารภายในห้องคนไข้ระดับหรู ระหว่างลงมือกับอาหาร พ่อสุรเกียรติจึงเริ่มการสนทนาขึ้น

                “ถ้าแน่ใจว่าปกติดีแล้วพรุ่งนี้จะให้หมอตรวจอาการอีกครั้งแล้วกลับบ้าน ดีมั้ย” เขาหันไปพูดกับทุกคน

                “ดีครับคุณพ่อ ผมแน่ใจครับ” โจรีบพูด

                “แน่ใจนะลูก โจ” แม่โสภาทักมาด้วยความห่วงลูกชาย

                “ผมแน่ใจครับแม่” โจยืนยัน

                “พ่อวิเชียรกับแม่แสงดาวเค้าก็ฝากความห่วงใยมาถึงนะ” สุรเกียรติบอกทุกคน

                “พ่อบอกไปว่าเราปกติดีแล้ว คงลงมาอีกทีตอนใกล้งานแต่งนั่นล่ะ”

                “ขอบคุณครับ” โจรับคำ

                “ส่วนลุงไกร” สุรเกียรติเอ่ยชื่อพี่ขายแล้วมองหน้าสองหนุ่ม

                “ท่านก็เป็นห่วงเรามากนะ ที่ไม่ได้มาเยี่ยมก็เพราะต้องรอเราสองคนไปรับ” พ่อสุรเกียรติพูด

                “ไปรับ เหรอครับ” โจพูดติดขัดเสียงแปลกใจ

                “ก็ไปรับน่ะสิ ไม่งั้นแกจะกลับมายังไง” สุรเกียรติทำท่าแปลกใจที่ลูกชายถาม

                “อาทิตย์นึงที่เราหลับไป จะให้พีไปรับคนเดียวก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”

                “เกิดมีปัญหาอะไรจะไม่มีใครคอยอยู่ช่วย”

                “ไปรับที่ไหนครับ” โจถามเบาๆ

                “อุวะ ก็ไปรับที่แคว้นที่แกอยู่น่ะซิ” พ่อสุรเกียรติดุเสียงเขียว

                “นี่แกปกติดีจริงๆหรือเปล่านี่”

                โจรู้ตัวว่าพลาดถามคำถามนี้ไปเสียแล้ว เขายิ้มหน้าเสียมองหน้าทุกคนที่มองมายังเขาอยู่ ชายหนุ่มแค่กลัวว่าหากทุกคนลงความเห็นว่าเขายังไม่ค่อยปกติดีเท่าไหร่ คงต้องนอนบนเตียงคนไข้ไปอีกนานแน่

                “เอ่อ ขอโทษทีครับ ผมลืมไป” โจอ้อมแอ้มรีบแก้ตัว

                “ถ้าพรุ่งนี้ได้ออกจากที่นี่ อีกสองสามวันผมจะไปหาท่านครับคุณพ่อ” พีพูด

                “ก็ดี ลุงแกจะได้หมดห่วง ไปให้แกเห็นเองได้ก็ยิ่งดี” สุรเกียรติหันมาพูดกับลูกชาย

                มื้ออาหารดำเนินต่อไปด้วยบทสนทนาจิปาถะ พ่อแม่น้องและเพื่อนทั้งสี่คนพูดคุยกันแช่มชื่นดียกเว้นในใจของโจ ยังมีคำถามมากมายถึงสภาวะของครอบครัวทั้งหมด ณ เวลาในปัจจุบันนี้ที่เขายังไม่รู้ ใคร อยู่ตรงไหน ยังไง ชายหนุ่มยังไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรอีกทั้งสิ้น รอให้ได้ออกจากโรงพยาบาลก่อน เขานึกในใจ

                รถยนต์คันเดิมคู่ชีพของสองคู่หู ขับกินลมไปเรื่อยๆบนทางด่วนพิเศษสายตะวันออกมุ่งหน้าบางปะกง พวงมาลัยรถอยู่ในมือของพีผู้อารมณ์ดีแจ่มใส มันออกมาจากภายในของเขาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

                “ไงเอ็ง เหม่อไปถึงฝรั่งเศสเลยเหรอ” พีทำลายความเงียบด้วยคำสนทนา

                มันคนเดิมอีกแล้ว โจนึกในใจ วันคืนเก่าๆกลับมา เคียงข้างด้วยเจ้าเพื่อนผู้อ่านใจเขาออกหมด

                “เกลียดขี้หน้ามันจริงๆ” โจพูดประชดแบบได้ยินคนเดียว

                “แล้วทำไมไม่แวะบ้านคุณลุงหน่อย” เขาถามแบบต่อว่า

                “แวะไปหาใครล่ะ คนดูแลก็เยอะแยะ คุณลุงไกรก็ไม่อยู่” พีตอบ

                โจเหลือบตามองเพื่อนเมื่อได้ยินคำว่า คนดูแลก็เยอะแยะ เขารู้ทันทีว่าเวลาในปัจจุบันนี้บ้านสวนของลุงไกรต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เขาเคยไปแน่ แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ถามให้เกิดปัญหา คงต้องเฝ้าฟังแล้วปะติดปะต่อต่อไป

                “ตอนที่ข้าหลับไปเอ็งพาคุณลุงไปส่งเหรอ” โจพยายามตั้งคำถามถึงแม้จะรู้ว่าคำตอบต้องมีปัญหา

                “อ้าวไอ้นี่ อีกแล้ว ก็ไปส่งด้วยกันตั้งเป็นเดือนแล้ว” พีหันมาทำดุเพื่อน

                “ข้าจะไปรู้เรอะว่าตอนหลับไป เอ็งจะไปมาบ้างรึเปล่า” โจพูดแก้ตัวไป

                “นี่ดีที่เอ็งตื่นทัน ไม่งั้นข้าต้องหาใครไปเป็นเพื่อน” พีพูด

                “ทำไม” โจถามขมวดคิ้วมองหน้าอย่างสงสัย

                “ก็เจ้าสร้อยสุดาต้องกลับมาให้ทันเปิดเรียน” พีหันไปบอก

                “ลืมอีกล่ะซิ” พีพูดยิ้มๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่