โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
30 มิถุนายน 2558 17:58 น. (แก้ไขล่าสุด 30 มิถุนายน 2558 18:06 น.)
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
“อุ๋ย”การันตีเอาอยู่รับมือวิกฤตกรีซปั้นอุตฯใหม่ดันส่งออกอีก2ปีโต
“หม่อมอุ๋ย”มั่นใจเงินทุนสำรองมีสูงพอรับมือวิกฤตกรีซ ตลาดหุ้นอาจกระทบบ้างแต่ก็ไม่มาก ขณะที่ส่งออกไทยปีนี้ยอมรับติดลบเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องเหตุศก.โลกชะลอและขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมไทยตกต่ำ อีก2 ปียุทธศาสตร์บีโอไอใหม่ดันอุตสาหกรรมนวตกรรมสูงพลิกส่งออกโตได้
ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนา “Thailand: a Regional Trading and Modern Industry Hub” ซึ่งมีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติกว่า 700 รายเข้าร่วมงาน ว่า กรณีปัญหาหนี้กรีซคาดว่าจะกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นไทยบ้างแต่กรณีที่หลายฝ่ายอาจเกรงปัญหาเงินไหลกลับจนวิกฤตไม่เกิดขึ้นแน่นอนเพราะพื้นฐานไทยดีเนื่องจากไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศระดับ2 แสนล้านเหรีรยญสหรัฐที่จะรองรับได้มาก
“ ปัญหากรีซอาจกระทบให้มีการดึงเงินกลับก็จะกระทบตลาดหุ้นบ้าง โดยเฉพาะการลงทุนในบอนด์แต่สำรองเรามีเพียงพอรับปัญหาได้เรายันเงินไหลออกได้อยู่ ขณะที่สถาบันการเงินเองก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราเองก็ไม่ประมาทต้องติดตามใกล้ชิดเพราะบาทอ่อนค่าก็จะมีผลดีต่อส่งออกแต่ก็ต้องไม่ให้มากเกินไป”รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
สำหรับภาวะการส่งออกนั้นต้องยอมรับว่าไทยมีการส่งออกติดลบต่อเนื่องมา 3 ปีรวมปีนี้ที่จะติดลบด้วยซึ่งปัญหาปีนี้เกิดจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และอีกปัจจัยสำคัญที่อาจไม่มีการพูดถึงคือการที่ภาคส่งออกของไทยมีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ลดลงหลายสินค้าไทยสูญเสียความสามารถเพราะประเทศในอาเซียนต่างก็ผลิตสินค้าที่เหมือนไทยเข้ามาแข่งขัน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลชุดนี้โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้ปรับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ที่เน้นการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ทันสมัยเน้นนวตกรรม วิจัยและพัฒนามากขึ้นโดย
ทั้งนี้ 5 เดือนแรกปีนี้บีโอไอมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปทั้งสิ้น1,094 รายโดยเป็นอุตสาหกรรมแนวใหม่ที่เป็นเป้าหมายถึง 216 รายซึ่งการลงทุนจะเกิดขึ้นได้ในอีก2 ปีข้างหน้าโดยอุตสาหกรรมเหล่านี้จะกลับมาทำให้การส่งออกของไทยเติบโตอีกครั้ง และเมื่อไทยมีการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ขึ้นมารองรับไม่เพียงแต่จะสนับสนุนฐานการผลิตของไทยให้เข้มแข็งยังรองรับกับการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า(HUB) ภูมิภาค โดยมุ่งดึงการลงทุนกิจการสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ IHQ และกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ( ITC) โดย กิจการ IHQ และ ITC ที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม - พฤษภาคม 2558) ประกอบไปด้วย กิจการ IHQ จำนวน 4 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 149 ล้านบาท กิจการ ITC จำนวน 14 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 177 ล้านบาท
ที่มา:
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000073992
“อุ๋ย”การันตีเอาอยู่รับมือวิกฤตกรีซปั้นอุตฯใหม่ดันส่งออกอีก2ปีโต
30 มิถุนายน 2558 17:58 น. (แก้ไขล่าสุด 30 มิถุนายน 2558 18:06 น.)
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
“อุ๋ย”การันตีเอาอยู่รับมือวิกฤตกรีซปั้นอุตฯใหม่ดันส่งออกอีก2ปีโต
“หม่อมอุ๋ย”มั่นใจเงินทุนสำรองมีสูงพอรับมือวิกฤตกรีซ ตลาดหุ้นอาจกระทบบ้างแต่ก็ไม่มาก ขณะที่ส่งออกไทยปีนี้ยอมรับติดลบเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องเหตุศก.โลกชะลอและขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมไทยตกต่ำ อีก2 ปียุทธศาสตร์บีโอไอใหม่ดันอุตสาหกรรมนวตกรรมสูงพลิกส่งออกโตได้
ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนา “Thailand: a Regional Trading and Modern Industry Hub” ซึ่งมีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติกว่า 700 รายเข้าร่วมงาน ว่า กรณีปัญหาหนี้กรีซคาดว่าจะกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นไทยบ้างแต่กรณีที่หลายฝ่ายอาจเกรงปัญหาเงินไหลกลับจนวิกฤตไม่เกิดขึ้นแน่นอนเพราะพื้นฐานไทยดีเนื่องจากไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศระดับ2 แสนล้านเหรีรยญสหรัฐที่จะรองรับได้มาก
“ ปัญหากรีซอาจกระทบให้มีการดึงเงินกลับก็จะกระทบตลาดหุ้นบ้าง โดยเฉพาะการลงทุนในบอนด์แต่สำรองเรามีเพียงพอรับปัญหาได้เรายันเงินไหลออกได้อยู่ ขณะที่สถาบันการเงินเองก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราเองก็ไม่ประมาทต้องติดตามใกล้ชิดเพราะบาทอ่อนค่าก็จะมีผลดีต่อส่งออกแต่ก็ต้องไม่ให้มากเกินไป”รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
สำหรับภาวะการส่งออกนั้นต้องยอมรับว่าไทยมีการส่งออกติดลบต่อเนื่องมา 3 ปีรวมปีนี้ที่จะติดลบด้วยซึ่งปัญหาปีนี้เกิดจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และอีกปัจจัยสำคัญที่อาจไม่มีการพูดถึงคือการที่ภาคส่งออกของไทยมีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ลดลงหลายสินค้าไทยสูญเสียความสามารถเพราะประเทศในอาเซียนต่างก็ผลิตสินค้าที่เหมือนไทยเข้ามาแข่งขัน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลชุดนี้โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้ปรับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ที่เน้นการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ทันสมัยเน้นนวตกรรม วิจัยและพัฒนามากขึ้นโดย
ทั้งนี้ 5 เดือนแรกปีนี้บีโอไอมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปทั้งสิ้น1,094 รายโดยเป็นอุตสาหกรรมแนวใหม่ที่เป็นเป้าหมายถึง 216 รายซึ่งการลงทุนจะเกิดขึ้นได้ในอีก2 ปีข้างหน้าโดยอุตสาหกรรมเหล่านี้จะกลับมาทำให้การส่งออกของไทยเติบโตอีกครั้ง และเมื่อไทยมีการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ขึ้นมารองรับไม่เพียงแต่จะสนับสนุนฐานการผลิตของไทยให้เข้มแข็งยังรองรับกับการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า(HUB) ภูมิภาค โดยมุ่งดึงการลงทุนกิจการสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ IHQ และกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ( ITC) โดย กิจการ IHQ และ ITC ที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม - พฤษภาคม 2558) ประกอบไปด้วย กิจการ IHQ จำนวน 4 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 149 ล้านบาท กิจการ ITC จำนวน 14 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 177 ล้านบาท
ที่มา:http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000073992