"บีโอไอ" แจงยอดขอลงทุนครึ่งปี 2556 ทะลุ 6.3 แสนล้านบาท
คาดครึ่งปีหลัง กลุ่มเกษตรฯ ยานยนต์ โรงไฟฟ้า
ขนส่งทางอากาศยังโตต่อเนื่อง...
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
เปิดเผยถึงภาวการณ์ลงทุนภาคอุตสาหกรรม ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 56 (ม.ค.–มิ.ย. 56)
ว่า มีโครงการลงทุน ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,055 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน
รวม 632,800 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 58%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 47%
ทั้งนี้ จากสถิติขอรับส่งเสริมในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
พบว่าแม้โครงการลงทุนที่ยื่นขอรับส่งเสริม
ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มโครงการลงทุนที่มีมูลค่าลงทุน 20–200 ล้านบาท จำนวน 462 โครงการ
เงินลงทุนรวม 38,900 ล้านบาท แต่กลุ่มที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด
เป็นกลุ่มโครงการลงทุนที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 104
โครงการ เงินลงทุนรวม 479,200 ล้านบาท
สำหรับกิจการที่ได้รับความสนใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ
การลงทุนในกลุ่มบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 256 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน
302,200 ล้านบาท ขยายตัว 190% หรือเกือบ 2 เท่าตัว โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ อาทิ
กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ
กิจการท่าเรือรับก๊าซธรรมชาติเหลว กิจการเขตอุตสาหกรรม กิจการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล
กิจการศูนย์กระจายสินค้า และกิจการสวนสนุก รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ
เครื่องจักร ยานยนต์ และชิ้นส่วน มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 227 โครงการ
มูลค่าเงินลงทุนรวม 148,400 ล้านบาท ขยายตัว 35%
ซึ่งโครงการขนาดใหญ่ที่เตรียมจะลงทุน ได้แก่
กิจการประกอบรถยนต์และผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์
กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะและโลหะปั๊มขึ้นรูป กิจการผลิตเครื่องยนต์ดีเซล
กิจการประกอบรถกระบะ กิจการผลิตแม่พิมพ์ และกิจการผลิตชิ้นส่วนประเภทต่างๆ
อันดับ 3 เป็นการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มเกษตรกรรม และผลผลิตจากการเกษตร
มีจำนวน 243 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 88,000 ล้านบาท ขยายตัว 140% หรือกว่า
1 เท่าตัวโครงการขนาดใหญ่ที่เตรียมจะลงทุน ได้แก่ กิจการผลิตเครื่องดื่มจากพืชผัก
ผลไม้ กิจการผลิตยางแท่งและยางผสม กิจการผลิตอาหารกระป๋องและอาหารแช่แข็ง
กิจการผลิตแป้งและแป้งแปรรูป กิจการผลิตน้ำมันจากปาล์มและรำข้าว
กิจการห้องเย็นและรถห้องเย็น กิจการผลิตผงชูรส กิจการผลิตอาหารสัตว์
และกิจการเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
นายอุดม กล่าวว่า ในส่วนของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือเอฟดีไอ
(Foreign Direct Investment : FDI) พบว่า
มีโครงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศยื่นขอรับส่งเสริม จำนวน 619 โครงการ
มูลค่าเงินลงทุนรวม 279,000 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับการลงทุน
ทางตรงจากต่างประเทศในช่วง 6 เดือนของปีที่ผ่านมา
โดยนักลงทุนต่างชาติที่ยื่นขอรับส่งเสริมมากที่สุด
ยังคงเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 333 โครงการ
มูลค่าเงินลงทุนรวม 184,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28%
เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนจากญี่ปุ่นในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อันดับสองคือ
มาเลเซีย ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 18 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 17,341 ล้านบาท
อันดับสามฮ่องกง ยื่นขอรับส่งเสริม 19 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 15,381
อันดับสี่สิงคโปร์ ยื่นขอส่งเสริมจำนวน 44 โครงการ เงินลงทุนรวม 11,599 ล้านบาท
อันดับห้า โครงการลงทุนจากเนเธอร์แลนด์ จำนวน 12 โครงการ เงินลงทุนรวม
9,360 ล้านบาท
โดยแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ คาดว่ายอดขอรับส่งเสริมตลอดทั้งปี
จะยังมีมูลค่าเงินลงทุนตามเป้าหมายคือ 1 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยเชิงบวก ได้แก่
1. ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น
2. ธุรกิจบริการ โดยเฉพาะท่องเที่ยว ยังมีแนวโน้มเติบโตสูง
3. การลงทุนด้านยานยนต์จำนวนมากในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ทำให้มีแนวโน้มที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมาก จะตามผู้ประกอบรถยนต์มา
ลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น โดยจากการสำรวจบริษัทข้ามชาติ พบว่าประเทศไทย
ยังคงได้รับความสนใจเข้ามาลงทุนเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 4
ของทวีปเอเชีย รองจากจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย
สำหรับปัจจัยเชิงลบที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมบางกลุ่ม ซึ่งเป็นผลมาจาก
1. ภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน
2. ปัญหาขาดแคลนแรงงานและอัตราค่าจ้างในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
3. อัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ
ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนไหลออกและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในไทยเพิ่มสูงขึ้นตาม
ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนในการลงทุน
4. อุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลง
5. ตลาดสินค้าหลายประเภทมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์
ซึ่งอาจกระทบต่อเนื่องถึงอุปสงค์ต่อฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ซึ่งไทยเป็นฐานผลิตสำคัญ
ทั้งนี้ กลุ่มที่คาดว่าจะยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตร
โดยเฉพาะกิจการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมยานยนต์,
ส่วนอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค ยังมีนักลงทุนแสดงความสนใจลงทุนเพิ่มเติม
โดยคาดว่าจะมีโครงการขนาดใหญ่ยื่นขอรับส่งเสริม อาทิ กิจการผลิตไฟฟ้า
โดยเฉพาะกิจการผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนสูงมาก
นอกจากนี้กิจการขนส่งทางอากาศก็จะขยายการลงทุนเพิ่ม
เป็นผลมาจากธุรกิจการบินมีการแข่งขันสูงและมีการลงทุนซื้อเครื่องบินใหม่ จำนวนมาก
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการลงทุนลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมเบา
โดยเฉพาะกิจการที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า
เนื่องจากขาดแคลนแรงงาน และการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
ประกอบกับสหภาพยุโรปจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือ GSP
โดยยกเลิกให้สิทธิแก่กลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป
ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหภาพยุโรป
ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่กิจการอื่นๆ
ในกลุ่มอุตสาหกรรมเบา ที่ไม่ใช้แรงงานเข้มข้น ก็ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น
สิ่งทอขั้นต้นน้ำ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
ขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีแนวโน้มทั้งเพิ่มและลด
โดยการลงทุนในกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ซึ่งไทยเป็นฐานผลิตสำคัญของโลก
อาจได้รับผลกระทบจากยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ในตลาดโลกลดลง อย่างไรก็ตาม
การลงทุนในกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า
เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ยังมีการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งเพื่อจำหน่ายในประเทศและเพื่อส่งออก ขณะเดียวกัน
ส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีแนวโน้มทรงตัว โดยน่าจะฟื้นตัวในระยะ 2–3
ปีข้างหน้า และทิศทางการลงทุนในอนาคตจะมุ่งไปสู่ผลิตภัณฑ์
ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะทางมากขึ้น.ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/content/eco/359051
ไทยรัฐนะคะ ไม่ใช่มติชน ข่าวสด และข่าวก็คือข่าว มันก็มีทั้งบวกและลบ
เรื่องของ "ลบ" ก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก
ก็เชิญวิจารณ์กันได้ตามสบายค่ะ แค่เก็บตกมาบอกให้รู้กัน เท่านั้น
'BOI'แจงยอดขอลงทุนครึ่งปีแรก ทะลุ6.3แสนล้าน ...... ข่าวไทยรัฐออนไลน์
คาดครึ่งปีหลัง กลุ่มเกษตรฯ ยานยนต์ โรงไฟฟ้า
ขนส่งทางอากาศยังโตต่อเนื่อง...
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
เปิดเผยถึงภาวการณ์ลงทุนภาคอุตสาหกรรม ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 56 (ม.ค.–มิ.ย. 56)
ว่า มีโครงการลงทุน ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,055 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน
รวม 632,800 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 58%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 47%
ทั้งนี้ จากสถิติขอรับส่งเสริมในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
พบว่าแม้โครงการลงทุนที่ยื่นขอรับส่งเสริม
ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มโครงการลงทุนที่มีมูลค่าลงทุน 20–200 ล้านบาท จำนวน 462 โครงการ
เงินลงทุนรวม 38,900 ล้านบาท แต่กลุ่มที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด
เป็นกลุ่มโครงการลงทุนที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 104
โครงการ เงินลงทุนรวม 479,200 ล้านบาท
สำหรับกิจการที่ได้รับความสนใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ
การลงทุนในกลุ่มบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 256 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน
302,200 ล้านบาท ขยายตัว 190% หรือเกือบ 2 เท่าตัว โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ อาทิ
กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ
กิจการท่าเรือรับก๊าซธรรมชาติเหลว กิจการเขตอุตสาหกรรม กิจการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล
กิจการศูนย์กระจายสินค้า และกิจการสวนสนุก รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ
เครื่องจักร ยานยนต์ และชิ้นส่วน มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 227 โครงการ
มูลค่าเงินลงทุนรวม 148,400 ล้านบาท ขยายตัว 35%
ซึ่งโครงการขนาดใหญ่ที่เตรียมจะลงทุน ได้แก่
กิจการประกอบรถยนต์และผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์
กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะและโลหะปั๊มขึ้นรูป กิจการผลิตเครื่องยนต์ดีเซล
กิจการประกอบรถกระบะ กิจการผลิตแม่พิมพ์ และกิจการผลิตชิ้นส่วนประเภทต่างๆ
อันดับ 3 เป็นการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มเกษตรกรรม และผลผลิตจากการเกษตร
มีจำนวน 243 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 88,000 ล้านบาท ขยายตัว 140% หรือกว่า
1 เท่าตัวโครงการขนาดใหญ่ที่เตรียมจะลงทุน ได้แก่ กิจการผลิตเครื่องดื่มจากพืชผัก
ผลไม้ กิจการผลิตยางแท่งและยางผสม กิจการผลิตอาหารกระป๋องและอาหารแช่แข็ง
กิจการผลิตแป้งและแป้งแปรรูป กิจการผลิตน้ำมันจากปาล์มและรำข้าว
กิจการห้องเย็นและรถห้องเย็น กิจการผลิตผงชูรส กิจการผลิตอาหารสัตว์
และกิจการเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
นายอุดม กล่าวว่า ในส่วนของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือเอฟดีไอ
(Foreign Direct Investment : FDI) พบว่า
มีโครงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศยื่นขอรับส่งเสริม จำนวน 619 โครงการ
มูลค่าเงินลงทุนรวม 279,000 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับการลงทุน
ทางตรงจากต่างประเทศในช่วง 6 เดือนของปีที่ผ่านมา
โดยนักลงทุนต่างชาติที่ยื่นขอรับส่งเสริมมากที่สุด
ยังคงเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 333 โครงการ
มูลค่าเงินลงทุนรวม 184,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28%
เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนจากญี่ปุ่นในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อันดับสองคือ
มาเลเซีย ยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 18 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 17,341 ล้านบาท
อันดับสามฮ่องกง ยื่นขอรับส่งเสริม 19 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 15,381
อันดับสี่สิงคโปร์ ยื่นขอส่งเสริมจำนวน 44 โครงการ เงินลงทุนรวม 11,599 ล้านบาท
อันดับห้า โครงการลงทุนจากเนเธอร์แลนด์ จำนวน 12 โครงการ เงินลงทุนรวม
9,360 ล้านบาท
โดยแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ คาดว่ายอดขอรับส่งเสริมตลอดทั้งปี
จะยังมีมูลค่าเงินลงทุนตามเป้าหมายคือ 1 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยเชิงบวก ได้แก่
1. ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น
2. ธุรกิจบริการ โดยเฉพาะท่องเที่ยว ยังมีแนวโน้มเติบโตสูง
3. การลงทุนด้านยานยนต์จำนวนมากในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ทำให้มีแนวโน้มที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมาก จะตามผู้ประกอบรถยนต์มา
ลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น โดยจากการสำรวจบริษัทข้ามชาติ พบว่าประเทศไทย
ยังคงได้รับความสนใจเข้ามาลงทุนเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 4
ของทวีปเอเชีย รองจากจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย
สำหรับปัจจัยเชิงลบที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมบางกลุ่ม ซึ่งเป็นผลมาจาก
1. ภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน
2. ปัญหาขาดแคลนแรงงานและอัตราค่าจ้างในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
3. อัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ
ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนไหลออกและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในไทยเพิ่มสูงขึ้นตาม
ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนในการลงทุน
4. อุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลง
5. ตลาดสินค้าหลายประเภทมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์
ซึ่งอาจกระทบต่อเนื่องถึงอุปสงค์ต่อฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ซึ่งไทยเป็นฐานผลิตสำคัญ
ทั้งนี้ กลุ่มที่คาดว่าจะยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตร
โดยเฉพาะกิจการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมยานยนต์,
ส่วนอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค ยังมีนักลงทุนแสดงความสนใจลงทุนเพิ่มเติม
โดยคาดว่าจะมีโครงการขนาดใหญ่ยื่นขอรับส่งเสริม อาทิ กิจการผลิตไฟฟ้า
โดยเฉพาะกิจการผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนสูงมาก
นอกจากนี้กิจการขนส่งทางอากาศก็จะขยายการลงทุนเพิ่ม
เป็นผลมาจากธุรกิจการบินมีการแข่งขันสูงและมีการลงทุนซื้อเครื่องบินใหม่ จำนวนมาก
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการลงทุนลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมเบา
โดยเฉพาะกิจการที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า
เนื่องจากขาดแคลนแรงงาน และการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
ประกอบกับสหภาพยุโรปจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือ GSP
โดยยกเลิกให้สิทธิแก่กลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป
ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหภาพยุโรป
ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่กิจการอื่นๆ
ในกลุ่มอุตสาหกรรมเบา ที่ไม่ใช้แรงงานเข้มข้น ก็ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น
สิ่งทอขั้นต้นน้ำ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
ขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีแนวโน้มทั้งเพิ่มและลด
โดยการลงทุนในกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ซึ่งไทยเป็นฐานผลิตสำคัญของโลก
อาจได้รับผลกระทบจากยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ในตลาดโลกลดลง อย่างไรก็ตาม
การลงทุนในกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า
เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ยังมีการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งเพื่อจำหน่ายในประเทศและเพื่อส่งออก ขณะเดียวกัน
ส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีแนวโน้มทรงตัว โดยน่าจะฟื้นตัวในระยะ 2–3
ปีข้างหน้า และทิศทางการลงทุนในอนาคตจะมุ่งไปสู่ผลิตภัณฑ์
ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะทางมากขึ้น.ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/content/eco/359051
ไทยรัฐนะคะ ไม่ใช่มติชน ข่าวสด และข่าวก็คือข่าว มันก็มีทั้งบวกและลบ
เรื่องของ "ลบ" ก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก
ก็เชิญวิจารณ์กันได้ตามสบายค่ะ แค่เก็บตกมาบอกให้รู้กัน เท่านั้น