เมื่อสองเดือนที่แล้วหลังจากที่ลางานกลับบ้านพาพอไปหาหมอ เป็นช่วงจังหวะที่น้ำในบึงหน้าบ้านมีไม่มากนัก ก็เลยถือโอกาสลงไปงมหอยขม ก็มีลูก 2 คน กับหลาน 1 คน มาช่วยเชียร์ ชี้นิ้วสั่งให้ไปงมทางโน่นทีทางนี้ที โชคดีมากเจอขอนไม้จมน้ำท่อนหนึ่ง งมได้หอยขมตัวใหญ่ๆ หลายกำมือ ก็ไปจับได้ปูนาตัวหนึ่ง ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยได้เห็นมานานเหมือนกัน ก็เลยจับโยนไปให้เด็กๆ โอ้โห! ตื่นเต้นกันยกใหญ่
มันทำให้ย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของหอยเชอร์รี่ เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ปูนามีชุกชุมอย่างมาก ดักลอบหาปลาปูก็เข้าไปแทบเต็มลอบ ลงข่ายปูก็ติดสางไม่ไหวส่วนปลาที่ติดข่ายถ้าละไม่ทันก็เป็นเหยื่อปูอีก ตามคันนาคู คลอง ร่องน้ำมีแต่รูปู ชุมถึงขนาด เอาปูจำนวนมากๆมาต้มแล้วขูดมันปูเหลืองๆแต่ละตัวก็มีอยู่น้อยนิด ขูดรวมกันจนทำน้ำยาเป็นหม้อใหญ่ๆ ไว้กินกับขนมจีนซึ่งถือว่าเด็ดกว่าน้ำยาปลาช่อนหรือปลาอื่นใดเป็นไหนๆ ส่วนของอร่อยสมัยเด็กๆที่เป็นเมนูปูนา ก็ต้องยกให้ก้ามปูนาต้มธรรมดาๆ หรือจะหมกขี้เถ้าเตาไฟซึ่งจะหอมกว่าต้มมาก
ในช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงเวลาที่มีน้ำน้อย หลายๆบ้านก็จะออกหาวิดปลาบ้าง ตกปลาบ้างส่วนมากปลาที่ตกได้จะเป็นปลาหมอ ส่วนเหยื่อตกปลาที่ถือว่าเป็นสุดยอดของเหยื่อตกปลาหมอต้องยกให้ปูลอกคราบ เป็นปูตัวนิ่มๆเลือดและของเหลวปูช่วงนี้จะมีสีขาวๆขุ้นๆอ่อนไปทางเหลืองนิดๆ ภาษาท้องถิ่นเรียกปูกระ ต้องเป็นปูกระตัวเมีย เพราะจะมี กลิ่นและคาวแรงกว่าปูตัวผู้ วีธีการหาก็ไม่ยากนัก ช่วงที่ปูตัวเมียกำลังจะลอกคราบ บริเวณปากรูปู จะมีปูตัวผู้เฝ้าเพื่อคอยปกป้องปูตัวเมีย เพราะปูที่ลอกคราบจะอ่อนแอ และถูกกินได้ง่ายจากปูตัวอื่น หรือสัตว์นักล่าต่างๆ วิธีล้วงก็จะจับตัวผู้ออกซึ่งต้องระวังโดนหนีบเพราะเจ็บมาก หรือถ้าโดนหนีบเรารีบดึงออกปูก็จะยิ่งหนีบแรงขึ้นเจ็บเข้าไปอีก ต้องทนเจ็บแล้วอยู่เฉยๆโดยไม่ขยับ ปูจะคลายก้ามจังหวะนี้ต้องรีบชักมือออกโดยเร็ว เมื่อเอาตัวผู้ออกได้แล้ว จากนั้นค่อยล้วงไปจับปูตัวเมียที่อยู่ก้นรู ส่วนการตกปลานั้น เทคนิควิธีเรียกกลุ่มปลาขั้นสุดยอดจะใช้กากน้ำปลาโรยเป็นจุดๆตามผิวน้ำ แล้วตามด้วยปูกระ เกี่ยวที่ปลายเบ็ด เรียกได้ว่าปลาหมอเสร็จเป็นตะข้อง ดวงดีก็จะมีปลาช่อนปนมาบ้าง
ปัจจุบันปูนา แถวสิงห์บุรี นอกจากจะหายากแล้ว ถึงมีอยู่บ้างก็คงไม่มีค่อยมีใครนำมากินหรือทำอาหาร ส่วนหนึ่งเพราะกลัวสารตกค้างจากสารเคมีที่ใช้ในเกษตรกรรมก็เป็นได้ แม้แต่เต่านาก็ยังหาไม่ได้เลย
ภาพประกอบจาก
http://www.bansuanporpeang.com
ปูนาบ้านฉัน หายไปไหน ?
มันทำให้ย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของหอยเชอร์รี่ เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ปูนามีชุกชุมอย่างมาก ดักลอบหาปลาปูก็เข้าไปแทบเต็มลอบ ลงข่ายปูก็ติดสางไม่ไหวส่วนปลาที่ติดข่ายถ้าละไม่ทันก็เป็นเหยื่อปูอีก ตามคันนาคู คลอง ร่องน้ำมีแต่รูปู ชุมถึงขนาด เอาปูจำนวนมากๆมาต้มแล้วขูดมันปูเหลืองๆแต่ละตัวก็มีอยู่น้อยนิด ขูดรวมกันจนทำน้ำยาเป็นหม้อใหญ่ๆ ไว้กินกับขนมจีนซึ่งถือว่าเด็ดกว่าน้ำยาปลาช่อนหรือปลาอื่นใดเป็นไหนๆ ส่วนของอร่อยสมัยเด็กๆที่เป็นเมนูปูนา ก็ต้องยกให้ก้ามปูนาต้มธรรมดาๆ หรือจะหมกขี้เถ้าเตาไฟซึ่งจะหอมกว่าต้มมาก
ในช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงเวลาที่มีน้ำน้อย หลายๆบ้านก็จะออกหาวิดปลาบ้าง ตกปลาบ้างส่วนมากปลาที่ตกได้จะเป็นปลาหมอ ส่วนเหยื่อตกปลาที่ถือว่าเป็นสุดยอดของเหยื่อตกปลาหมอต้องยกให้ปูลอกคราบ เป็นปูตัวนิ่มๆเลือดและของเหลวปูช่วงนี้จะมีสีขาวๆขุ้นๆอ่อนไปทางเหลืองนิดๆ ภาษาท้องถิ่นเรียกปูกระ ต้องเป็นปูกระตัวเมีย เพราะจะมี กลิ่นและคาวแรงกว่าปูตัวผู้ วีธีการหาก็ไม่ยากนัก ช่วงที่ปูตัวเมียกำลังจะลอกคราบ บริเวณปากรูปู จะมีปูตัวผู้เฝ้าเพื่อคอยปกป้องปูตัวเมีย เพราะปูที่ลอกคราบจะอ่อนแอ และถูกกินได้ง่ายจากปูตัวอื่น หรือสัตว์นักล่าต่างๆ วิธีล้วงก็จะจับตัวผู้ออกซึ่งต้องระวังโดนหนีบเพราะเจ็บมาก หรือถ้าโดนหนีบเรารีบดึงออกปูก็จะยิ่งหนีบแรงขึ้นเจ็บเข้าไปอีก ต้องทนเจ็บแล้วอยู่เฉยๆโดยไม่ขยับ ปูจะคลายก้ามจังหวะนี้ต้องรีบชักมือออกโดยเร็ว เมื่อเอาตัวผู้ออกได้แล้ว จากนั้นค่อยล้วงไปจับปูตัวเมียที่อยู่ก้นรู ส่วนการตกปลานั้น เทคนิควิธีเรียกกลุ่มปลาขั้นสุดยอดจะใช้กากน้ำปลาโรยเป็นจุดๆตามผิวน้ำ แล้วตามด้วยปูกระ เกี่ยวที่ปลายเบ็ด เรียกได้ว่าปลาหมอเสร็จเป็นตะข้อง ดวงดีก็จะมีปลาช่อนปนมาบ้าง
ปัจจุบันปูนา แถวสิงห์บุรี นอกจากจะหายากแล้ว ถึงมีอยู่บ้างก็คงไม่มีค่อยมีใครนำมากินหรือทำอาหาร ส่วนหนึ่งเพราะกลัวสารตกค้างจากสารเคมีที่ใช้ในเกษตรกรรมก็เป็นได้ แม้แต่เต่านาก็ยังหาไม่ได้เลย
ภาพประกอบจาก http://www.bansuanporpeang.com