คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ถูกต้องครับ เรามันแค่ฟันเฟืองตัวเล็กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่มีเรา เขาอยู่ได้ อย่าทุ่มเทให้กับงานจนเกินพอดี อยู่กับชีวิตส่วนตัว/ครอบครัวของตัวเองบ้าง
ทุ่มเทไปสุดท้ายก็จะเหมือนป้าคนนั้นแหละ ฉะนั้น ระหว่างที่ยังอยู่ หาผลประโยชน์จากบริษัทให้เต็มที่ครับ
ไม่ได้หมายถึงให้โกงเค้านะ หมายถึงมีโอกาสเรียนรู้งานอะไร ก็ขวนขวาย มีไปเทรน ก็ให้รีบไป อย่างนั่งทำงานไปวันๆ อย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว
ไม่มีเรา เขาอยู่ได้ อย่าทุ่มเทให้กับงานจนเกินพอดี อยู่กับชีวิตส่วนตัว/ครอบครัวของตัวเองบ้าง
ทุ่มเทไปสุดท้ายก็จะเหมือนป้าคนนั้นแหละ ฉะนั้น ระหว่างที่ยังอยู่ หาผลประโยชน์จากบริษัทให้เต็มที่ครับ
ไม่ได้หมายถึงให้โกงเค้านะ หมายถึงมีโอกาสเรียนรู้งานอะไร ก็ขวนขวาย มีไปเทรน ก็ให้รีบไป อย่างนั่งทำงานไปวันๆ อย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 61
เศรษฐกิจไม่ดีหรือบริษัท (ในไทย) ตามไม่ทันกันแน่ครับ
ผมเป็นคนลำพูนครับ
แถวบ้านผมมีนิคมอุตสาหกรรม
คือโรงงานที่นี่เมื่อก่อนรวยจริงครับ แต่ตอนนี้โรงงานแถวนี้ตามโลกไม่ทันแล้ว ไอ้ที่ตามทันบางบริษัทก็เปลี่ยนบริษัทไปเลย ร่ำรวยกว่าเดิมก็มี บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ล้ม หรือยอดตกเพราะสินค้ายังเป็นสินค้ายุคต้น 2000 อยู่เลยครับ
เดี๋ยวนี้บริษัทเค้าไปโลกใหม่กันแล้ว ดูวิธีการทำงานของพวกบริษัท kickstarter ใหม่ๆนู่น เดี๋ยวนี้เค้าไม่มีมาแบ่งชนชั้นสายงาน ใหญ่โตอะไรมากมายกันแล้ว เค้าฟังกระแสโลกกัน แค่โลกขยับหัวหันหน้าไปทางใหนนิ๊ดเดียวบริษัทพวกนี้ก็พร้อมกระโจนเข้าไปแบบไม่กลัวตายแล้ว ภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ด้วย เรื่องผลิตไม่สน จ้างเอาทั้งนั้น บริษัทใหญ่ๆ ขยับตัวช้าๆ จะเอาอะไรไปสู้ แถมพอมีพวกหัวสมัยใหม่พยายามเข้าไปเปลี่ยน ไล่เค้าออกอีก 555 ทำงานในไทยนี่ต้องเจียมตัวน่ะครับ แผล่มออกมาเกินหน้าเกินตาไม่ได้ ตายห่า
พอเห็นภาพมั๊ยครับ 1 ผลิตภัณฑ์หลายบริษัท แถมยังมีอิสระเสรีพร้อมกระโดด แข่งกะบริษัทโบราณที่รวมทุกอย่างในที่เดียวจะไปสู้ได้ยังไง แต่ก็ยังพอมีทางสู้น่ะครับไม่ใช่ไม่มีแต่ต้องกระตือรือร้นหน่อย
ดูอย่างบริษัทจีนที่รับจ้างผลิตตอนนี้ใหญ่ก็จริง แต่เค้าเร็วมาก กล้าลงทุนด้วย เค้าก็รู้ว่าอะไรกำลังจะเป็น Next big thing เค้าก็จัดเต็มเลยไม่มีบึนปากใส่แบบบริษัทไทย ไอ้นู่นก็ไม่พร้อม ไอ้นี่ก็ไม่ทำ อยากทำแต่ของเดิมๆ วันๆคิดกันแต่เรื่องลดต้นทุนๆๆ ลดจน suppier ตาย ตายแล้วตัวเองก็ตายตาม 555 เช่นบริษัทผลิตกระจกมือถือให้ apple เค้ารู้ตัวมาได้หลายปีแล้วว่ากระจกมือถือนี่แหล่ะกำลังจะมา เจ๊แกก็จัดเต็มเลย ทำโรงงานผลิตกระจกมือถือที่คุณภาพดีที่สุด ใหญ่ที่สุด (จากที่เคยทำกระจกนาฬิกามาก่อน) แต่ก็ทำแผนกกระจกมือถือไว้รอแล้วเจ๊ก็รอจนวันนึงคลื่นลูกนี้มาถึงก็เข้าไปซ้อน order apple ไว้ในมือ แล้วก็ตู้ม รวยเละ
ยกตัวอย่างแถวบ้าน อย่าง
hoya โคตรเจ้าพ่อของกระจก เลนส์ ต่างๆ เทคโนโลยีค่อนข้างพร้อม ถ้าเป็นผมจะเลิกทำ cd แล้วตั้งทีมศึกษาเรื่อง กระจกมือถือรับแรง เลนส์รับแรง เพราะเทคโนโลยีเลนส์เดี๋ยวนี้ต้องการของที่เล็กแต่แข็งแรง เพราะขนาดเทคโนโลยีมันจะเล็กลงเรื่อยๆ ตั้งทีมหาทางทำเลนส์กล้อง 360องศา 180องศา เพราะไม่ใช่เรื่องไกลตัวเทคโนโลยีเกิดแล้วแต่ยังไม่ค่อยมีคนทำ แถมตลาดคือ โลกทั้งใบ ตั้งทีม เลนส์ VR เลนส์ AR เพราะตอนนี้โลกเค้าหันมาทางนี้แล้ว เหลือแค่เวลาเปิดตัวสู่ mass เท่านั้น windows 10 มี hololens ที่เป็น ar แล้วน่ะครับ อีกหน่อยคนเราจะมี control หลัก 3 อย่างคือ headset keyboard และ เมาส์(หรืออาจเป็น control อื่น) ตอนนี้ใน kickstarter มีคนยื่นทำเรื่อง vr ar นี้เกือบทุกวัน พัฒนากันเร็วมาก แล้วทุกชิ้นในนั้นต้องการ Biconvex Lens ขนาดต่างๆจำนวนมหาศาล
แต่มาตายตรงสหภาพครับ ผมเห็นข่าวสหภาพสไตร์กบ่อยมาก 555 เลยพอจะรู้สภาพภายในเลยว่าเป็นอย่างไร ท่าจะรอดยาก
บริษัท ผลิต ชิปทั้งหลาย ถ้าเป็นผม จะเพิ่มคนเข้าไปพัฒนาด้านรวม chip chip เดียวมีทุกอย่าง ถึงบริษัทต่างๆจะแข่งกันเยอะแล้ว แค่มันก็ยังเหลือช่องว่างได้อยู่อีก ทรัพยากรเดิมก็พอมีทุน อัดด้านนี้ให้หนักๆเลย
แล้วเพิ่มทีมความหวังใหม่ๆ คือทีมทำ sensor ใหม่ๆ ทุกวันนี้บริษัทมือถือ กำลังตันเพราะเรื่อง sensor มาก sensor ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกปี แล้วก็มีเศรษฐีเกิดขึ้นเพราะ sensor ใหม่นั้นทุกปี เมื่อวานพึ่งมีคนทำ sensor จับตาของคนเราว่ากำลังมองไปที่ใหนได้สำเร็จแล้วด้วย คิดดูว่าถ้าเค้าออกมาวางขายแทนเมาส์จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องใช้มือลากอีกต่อไป แค่เอาตามองตรงจุดที่อยากให้เมาส์ไป นี่ยังไม่สุดน่ะ ถ้าเอาไป + กะ vr อีก โอโหไปไกลกว่าเดิมอีก บริษัทผลิต tv จะยอดตกอีกแค่ใหนคนงานจะโดนเอาออกอีกกี่คน
ก็นี่แหล่ะ เศรษฐกิจไม่ดี หรือแค่บริษัทจะเจ๊ง แยกให้ออกด้วยครับ บริษัทจะเจ๊งนี่โทษเศรษฐกิจไม่ได้น่ะครับ อันนึงปัจจัยภายใน อันนึงปัจจัยภายนอก มันคนละเรื่องเลย
ถ้าถามว่าแล้วทำไมผมไม่ทำเอง ก็ขอบอกเลยทุนไม่พอ อันจะไป kickstart กะเค้าก็เกิดเป็นคนไทย 555 ก็ทำธุรกิจของตัวเองไปเรื่อยๆล่ะกันแต่ถ้าเจ๊งมาผมไม่โทษเศรษฐกิจหรอกน่ะ โทษตัวเองนี่แหล่ะ
แถมหน่วยงานราชการไทยก็ช่วยเหลือเยอะเหลือเกินครับ ทุกวันนี้ไปประชุมจังหวัดพวกหอการค้า ประชุมสัญจรอะไรเยอะแยะ จังหวัดผมยังมองว่าตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงทางวัฒนธรรมอยู่เลยครับ
จังหวัดลำพูนติด อันดับต้นๆที่ส่งภาษีเข้ารัฐน่ะครับ ส่งมาจากภาคอุตสาหกรรมครับ เมื่อใหร่จะจังหวัดผมจะรู้ตัวสักทีว่าเมืองลำพูนเป็นเมืองอุตสาหกรรม ผมนี่อยากตะโกนกรอกหูพวกผู้ใหญ่ในจังหวัดตัวเองจริงๆ ใครมาถามผมผมนี่บอกตลอดว่าลำพูนเป็นเมืองอุตสหกรรม ช่วยเอางบมาพัฒนาที จังหวัดนี้อยู่ได้ด้วยอุตสาหกรรม เงินที่ไหลเวียนอยู่นี่ ก็มาจากอุตสาหกรรม ได้ภาษีไปก็เอาไปทำซุ้ม ทำงานโชว์ประเพณีอยู่นั่น แบ่งไปบางส่วนก็ได้ พัฒนาปัจจุบัน รักษาอดีต ไม่ใช่ พัฒนาอดีต ทอดทิ้งปัจจุบันแบบตอนนี้
งานที่จัดในจังหวัดยังเป็นงาน สืบสารประเพณีบลาๆ งานลำใย งานนู่นนี่นั้น ไม่เคยจะมีเลยสักครั้งที่จะจัดงาน โชว์เครื่องจักร งานโชว์ศักยภาพแรงงาน งานเทคโนโลยี ไม่เคยมีเลยสักครั้งเดียว ทั้งๆที่งบทั้งหลายที่ถลุงกัน โรงงานพวกนี้ทั้งนั้นที่จ่าย เงินทั้งหลายที่จ่ายเป็นค่าแรง ก็โรงงานพวกนี้ทั้งนั้นที่เป็นคนจ่าย - - ผมนี่ไม่เข้าใจประเทศนี้จริงๆ
ผมเป็นคนลำพูนครับ
แถวบ้านผมมีนิคมอุตสาหกรรม
คือโรงงานที่นี่เมื่อก่อนรวยจริงครับ แต่ตอนนี้โรงงานแถวนี้ตามโลกไม่ทันแล้ว ไอ้ที่ตามทันบางบริษัทก็เปลี่ยนบริษัทไปเลย ร่ำรวยกว่าเดิมก็มี บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ล้ม หรือยอดตกเพราะสินค้ายังเป็นสินค้ายุคต้น 2000 อยู่เลยครับ
เดี๋ยวนี้บริษัทเค้าไปโลกใหม่กันแล้ว ดูวิธีการทำงานของพวกบริษัท kickstarter ใหม่ๆนู่น เดี๋ยวนี้เค้าไม่มีมาแบ่งชนชั้นสายงาน ใหญ่โตอะไรมากมายกันแล้ว เค้าฟังกระแสโลกกัน แค่โลกขยับหัวหันหน้าไปทางใหนนิ๊ดเดียวบริษัทพวกนี้ก็พร้อมกระโจนเข้าไปแบบไม่กลัวตายแล้ว ภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ด้วย เรื่องผลิตไม่สน จ้างเอาทั้งนั้น บริษัทใหญ่ๆ ขยับตัวช้าๆ จะเอาอะไรไปสู้ แถมพอมีพวกหัวสมัยใหม่พยายามเข้าไปเปลี่ยน ไล่เค้าออกอีก 555 ทำงานในไทยนี่ต้องเจียมตัวน่ะครับ แผล่มออกมาเกินหน้าเกินตาไม่ได้ ตายห่า
พอเห็นภาพมั๊ยครับ 1 ผลิตภัณฑ์หลายบริษัท แถมยังมีอิสระเสรีพร้อมกระโดด แข่งกะบริษัทโบราณที่รวมทุกอย่างในที่เดียวจะไปสู้ได้ยังไง แต่ก็ยังพอมีทางสู้น่ะครับไม่ใช่ไม่มีแต่ต้องกระตือรือร้นหน่อย
ดูอย่างบริษัทจีนที่รับจ้างผลิตตอนนี้ใหญ่ก็จริง แต่เค้าเร็วมาก กล้าลงทุนด้วย เค้าก็รู้ว่าอะไรกำลังจะเป็น Next big thing เค้าก็จัดเต็มเลยไม่มีบึนปากใส่แบบบริษัทไทย ไอ้นู่นก็ไม่พร้อม ไอ้นี่ก็ไม่ทำ อยากทำแต่ของเดิมๆ วันๆคิดกันแต่เรื่องลดต้นทุนๆๆ ลดจน suppier ตาย ตายแล้วตัวเองก็ตายตาม 555 เช่นบริษัทผลิตกระจกมือถือให้ apple เค้ารู้ตัวมาได้หลายปีแล้วว่ากระจกมือถือนี่แหล่ะกำลังจะมา เจ๊แกก็จัดเต็มเลย ทำโรงงานผลิตกระจกมือถือที่คุณภาพดีที่สุด ใหญ่ที่สุด (จากที่เคยทำกระจกนาฬิกามาก่อน) แต่ก็ทำแผนกกระจกมือถือไว้รอแล้วเจ๊ก็รอจนวันนึงคลื่นลูกนี้มาถึงก็เข้าไปซ้อน order apple ไว้ในมือ แล้วก็ตู้ม รวยเละ
ยกตัวอย่างแถวบ้าน อย่าง
hoya โคตรเจ้าพ่อของกระจก เลนส์ ต่างๆ เทคโนโลยีค่อนข้างพร้อม ถ้าเป็นผมจะเลิกทำ cd แล้วตั้งทีมศึกษาเรื่อง กระจกมือถือรับแรง เลนส์รับแรง เพราะเทคโนโลยีเลนส์เดี๋ยวนี้ต้องการของที่เล็กแต่แข็งแรง เพราะขนาดเทคโนโลยีมันจะเล็กลงเรื่อยๆ ตั้งทีมหาทางทำเลนส์กล้อง 360องศา 180องศา เพราะไม่ใช่เรื่องไกลตัวเทคโนโลยีเกิดแล้วแต่ยังไม่ค่อยมีคนทำ แถมตลาดคือ โลกทั้งใบ ตั้งทีม เลนส์ VR เลนส์ AR เพราะตอนนี้โลกเค้าหันมาทางนี้แล้ว เหลือแค่เวลาเปิดตัวสู่ mass เท่านั้น windows 10 มี hololens ที่เป็น ar แล้วน่ะครับ อีกหน่อยคนเราจะมี control หลัก 3 อย่างคือ headset keyboard และ เมาส์(หรืออาจเป็น control อื่น) ตอนนี้ใน kickstarter มีคนยื่นทำเรื่อง vr ar นี้เกือบทุกวัน พัฒนากันเร็วมาก แล้วทุกชิ้นในนั้นต้องการ Biconvex Lens ขนาดต่างๆจำนวนมหาศาล
แต่มาตายตรงสหภาพครับ ผมเห็นข่าวสหภาพสไตร์กบ่อยมาก 555 เลยพอจะรู้สภาพภายในเลยว่าเป็นอย่างไร ท่าจะรอดยาก
บริษัท ผลิต ชิปทั้งหลาย ถ้าเป็นผม จะเพิ่มคนเข้าไปพัฒนาด้านรวม chip chip เดียวมีทุกอย่าง ถึงบริษัทต่างๆจะแข่งกันเยอะแล้ว แค่มันก็ยังเหลือช่องว่างได้อยู่อีก ทรัพยากรเดิมก็พอมีทุน อัดด้านนี้ให้หนักๆเลย
แล้วเพิ่มทีมความหวังใหม่ๆ คือทีมทำ sensor ใหม่ๆ ทุกวันนี้บริษัทมือถือ กำลังตันเพราะเรื่อง sensor มาก sensor ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกปี แล้วก็มีเศรษฐีเกิดขึ้นเพราะ sensor ใหม่นั้นทุกปี เมื่อวานพึ่งมีคนทำ sensor จับตาของคนเราว่ากำลังมองไปที่ใหนได้สำเร็จแล้วด้วย คิดดูว่าถ้าเค้าออกมาวางขายแทนเมาส์จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องใช้มือลากอีกต่อไป แค่เอาตามองตรงจุดที่อยากให้เมาส์ไป นี่ยังไม่สุดน่ะ ถ้าเอาไป + กะ vr อีก โอโหไปไกลกว่าเดิมอีก บริษัทผลิต tv จะยอดตกอีกแค่ใหนคนงานจะโดนเอาออกอีกกี่คน
ก็นี่แหล่ะ เศรษฐกิจไม่ดี หรือแค่บริษัทจะเจ๊ง แยกให้ออกด้วยครับ บริษัทจะเจ๊งนี่โทษเศรษฐกิจไม่ได้น่ะครับ อันนึงปัจจัยภายใน อันนึงปัจจัยภายนอก มันคนละเรื่องเลย
ถ้าถามว่าแล้วทำไมผมไม่ทำเอง ก็ขอบอกเลยทุนไม่พอ อันจะไป kickstart กะเค้าก็เกิดเป็นคนไทย 555 ก็ทำธุรกิจของตัวเองไปเรื่อยๆล่ะกันแต่ถ้าเจ๊งมาผมไม่โทษเศรษฐกิจหรอกน่ะ โทษตัวเองนี่แหล่ะ
แถมหน่วยงานราชการไทยก็ช่วยเหลือเยอะเหลือเกินครับ ทุกวันนี้ไปประชุมจังหวัดพวกหอการค้า ประชุมสัญจรอะไรเยอะแยะ จังหวัดผมยังมองว่าตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงทางวัฒนธรรมอยู่เลยครับ
จังหวัดลำพูนติด อันดับต้นๆที่ส่งภาษีเข้ารัฐน่ะครับ ส่งมาจากภาคอุตสาหกรรมครับ เมื่อใหร่จะจังหวัดผมจะรู้ตัวสักทีว่าเมืองลำพูนเป็นเมืองอุตสาหกรรม ผมนี่อยากตะโกนกรอกหูพวกผู้ใหญ่ในจังหวัดตัวเองจริงๆ ใครมาถามผมผมนี่บอกตลอดว่าลำพูนเป็นเมืองอุตสหกรรม ช่วยเอางบมาพัฒนาที จังหวัดนี้อยู่ได้ด้วยอุตสาหกรรม เงินที่ไหลเวียนอยู่นี่ ก็มาจากอุตสาหกรรม ได้ภาษีไปก็เอาไปทำซุ้ม ทำงานโชว์ประเพณีอยู่นั่น แบ่งไปบางส่วนก็ได้ พัฒนาปัจจุบัน รักษาอดีต ไม่ใช่ พัฒนาอดีต ทอดทิ้งปัจจุบันแบบตอนนี้
งานที่จัดในจังหวัดยังเป็นงาน สืบสารประเพณีบลาๆ งานลำใย งานนู่นนี่นั้น ไม่เคยจะมีเลยสักครั้งที่จะจัดงาน โชว์เครื่องจักร งานโชว์ศักยภาพแรงงาน งานเทคโนโลยี ไม่เคยมีเลยสักครั้งเดียว ทั้งๆที่งบทั้งหลายที่ถลุงกัน โรงงานพวกนี้ทั้งนั้นที่จ่าย เงินทั้งหลายที่จ่ายเป็นค่าแรง ก็โรงงานพวกนี้ทั้งนั้นที่เป็นคนจ่าย - - ผมนี่ไม่เข้าใจประเทศนี้จริงๆ
ความคิดเห็นที่ 54
เราเคยทำงานให้กับรีสอร์ทที่นึง เข้ามาตั้งแต่มันขาดทุนย่อยยับ เราก็พยายามบิ้วมันขึ้นมา ด้วยสมองและเงินเดือนเล็กน้อย รักษาผลประโยชน์ ดูแลภาพลักษณ์ให้สมกับความเป็นรีสอร์ทหรูหรา นำหลักการทำงานที่เรามีมาจากที่เก่า มาปรับใช้กับที่นี่ จนกลายเผ็นรีสอร์ทที่มีชื่อเสียงติด 1 ใน 3 ของรีสอร์ทจังหวัดนั้น ติด 1 ใน 10 รีสอร์ทที่สวยในประเทศไทย
ในขณะที่ถ้าเป็นที่อื่นต้องจ้างทั้งเซลล์ ทั้งมาร์เก็ตติ้ง ที่ระบบเชน แต่เราสามารถทำให้เขาได้
ด้วยความที่เรายังเด็ก เขารับคนอื่นเข้ามา ด้วยแบกกราวน์ที่ทำตลาดล่าง ราคาถูก ไม่รู้จักแม้แต่จะอ่านรายงาน สั่งการแบบมั่วตั้วเละตุ้มเปะ แถมยังพาเมียมากินเงินบริษัท เรายื้อเค้า ยันเค้า เพราะด้วยความรักในงาน ที่ปั้นมากับมือ สุดท้าย เรากลายเป็นคนก้าวร้าว ในสายตาเจ้าของ ทั้งๆ ที่เราก็ทำเพื่อเค้าทั้งหมด งานจากที่เราทำ 2-3 ขั้นตอน กลายเป็น 7-8 ขั้นตอน พอขอให้ทำเองเพื่อจะได้ลดขั้นตอน ก็กลายเป็นว่าจัดการไม่ได้ ก็กลับคืนมาให้เรา แต่เอาไปบอกนายว่าตัวเองทำ เข้ามาแค่เดือนเดียวบอกที่สถานการณ์มันดีขึ้นเพราะเขา ทั้งๆที่ไอ้ผลงานทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่เราทำไว้ทั้งนั้น เริ่มมีปัญหาถึงขั้นตบโต๊ะ ท้ากันลาออกเพราะคุยงานกันคนละภาษา แต่ถ้าคนมีประสบการณ์ด้านนี้พูดคำเดียวมันก็เข้าใจ คลิ๊กทันที ระบบงานที่สร้างมาเริ่มล่ม เพราะเราเริ่มทำไม่ไหว ทำไม่ทัน เครียดจนร้องไห้กับแก้วเหล้า แต่พอได้คุยกับแม่ แม่บอกว่า รีสอร์ทนั้น ไม่ใช่ของเรา เจ้าของรีสอร์ทก็ไม่ใช่พ่อ ทำไมต้องทุ่มตัวไปทำจนไม่เหลือความเป็นตัวเอง ต่อให้เราออกไป เขาก็หาคนใหม่มาทำ ต่อให้เราออก เราก็หาที่ใหม่ทำ
เท่านั้นแหล่ะค่ะ เหมือนตาสว่าง เรามันแค่ลูกจ้าง จะดิ้นรน ทำผลงานสุดแสนวิเศษ เราก็แค่ลูกจ้าง ได้แค่เงินเดือน พอคิดได้ เดินไปลาออกเลยค่ะ ที่นี่ไม่เหมาะกับเราแล้ว ออกมาแบบไม่มีงานรองรับ ตกงาน 6 เดือน แต่ก็สบายใจ
ได้ข่าวว่า หลายๆอย่างที่นั่นก็ยังคงดีอยู่ด้วยชื่อเสียงที่สร้างมา แต่คุณภาพของงานกลับเริ่มค่อยลดลง รายได้เท่าเดิมแต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นจากการทำงานที่ไร้ระบบ เจ้าของเริ่มถามหางานแบบที่เราทำ แต่เจ้านายคนนั้นทำไม่เป็น
ฟันเฟืองเล็กๆ ถึงหลุดไป เขาก็หาอะไหล่ได้ คุณภาพอาจไม่ดีเท่าเก่าแต่มันก็ยังพอทำงานต่อได้ แย่สุดก็ค่อยพังลง แต่เขาก็หาคนอื่นมาซ่อมอยู่ดี
ในขณะที่ถ้าเป็นที่อื่นต้องจ้างทั้งเซลล์ ทั้งมาร์เก็ตติ้ง ที่ระบบเชน แต่เราสามารถทำให้เขาได้
ด้วยความที่เรายังเด็ก เขารับคนอื่นเข้ามา ด้วยแบกกราวน์ที่ทำตลาดล่าง ราคาถูก ไม่รู้จักแม้แต่จะอ่านรายงาน สั่งการแบบมั่วตั้วเละตุ้มเปะ แถมยังพาเมียมากินเงินบริษัท เรายื้อเค้า ยันเค้า เพราะด้วยความรักในงาน ที่ปั้นมากับมือ สุดท้าย เรากลายเป็นคนก้าวร้าว ในสายตาเจ้าของ ทั้งๆ ที่เราก็ทำเพื่อเค้าทั้งหมด งานจากที่เราทำ 2-3 ขั้นตอน กลายเป็น 7-8 ขั้นตอน พอขอให้ทำเองเพื่อจะได้ลดขั้นตอน ก็กลายเป็นว่าจัดการไม่ได้ ก็กลับคืนมาให้เรา แต่เอาไปบอกนายว่าตัวเองทำ เข้ามาแค่เดือนเดียวบอกที่สถานการณ์มันดีขึ้นเพราะเขา ทั้งๆที่ไอ้ผลงานทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่เราทำไว้ทั้งนั้น เริ่มมีปัญหาถึงขั้นตบโต๊ะ ท้ากันลาออกเพราะคุยงานกันคนละภาษา แต่ถ้าคนมีประสบการณ์ด้านนี้พูดคำเดียวมันก็เข้าใจ คลิ๊กทันที ระบบงานที่สร้างมาเริ่มล่ม เพราะเราเริ่มทำไม่ไหว ทำไม่ทัน เครียดจนร้องไห้กับแก้วเหล้า แต่พอได้คุยกับแม่ แม่บอกว่า รีสอร์ทนั้น ไม่ใช่ของเรา เจ้าของรีสอร์ทก็ไม่ใช่พ่อ ทำไมต้องทุ่มตัวไปทำจนไม่เหลือความเป็นตัวเอง ต่อให้เราออกไป เขาก็หาคนใหม่มาทำ ต่อให้เราออก เราก็หาที่ใหม่ทำ
เท่านั้นแหล่ะค่ะ เหมือนตาสว่าง เรามันแค่ลูกจ้าง จะดิ้นรน ทำผลงานสุดแสนวิเศษ เราก็แค่ลูกจ้าง ได้แค่เงินเดือน พอคิดได้ เดินไปลาออกเลยค่ะ ที่นี่ไม่เหมาะกับเราแล้ว ออกมาแบบไม่มีงานรองรับ ตกงาน 6 เดือน แต่ก็สบายใจ
ได้ข่าวว่า หลายๆอย่างที่นั่นก็ยังคงดีอยู่ด้วยชื่อเสียงที่สร้างมา แต่คุณภาพของงานกลับเริ่มค่อยลดลง รายได้เท่าเดิมแต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นจากการทำงานที่ไร้ระบบ เจ้าของเริ่มถามหางานแบบที่เราทำ แต่เจ้านายคนนั้นทำไม่เป็น
ฟันเฟืองเล็กๆ ถึงหลุดไป เขาก็หาอะไหล่ได้ คุณภาพอาจไม่ดีเท่าเก่าแต่มันก็ยังพอทำงานต่อได้ แย่สุดก็ค่อยพังลง แต่เขาก็หาคนอื่นมาซ่อมอยู่ดี
ความคิดเห็นที่ 6
เราก็เคยเจอแบบนี้ค่ะ คนในบริษัทและลูกค้า บอกว่าเราเป็น logo บริษัทไปแล้ว
สุดท้ายเงินเดือนเมิงเยอะใช่ม้ายยยย หวยก็มาออกทึ่เราเลย
ก็ดีค่ะ ตอนนค้มีความสุขดี ทำให้เราสอนลูกเลยว่า งานบริษัท มันไม่ได้มีความมั่นคงเลย
ถึงจะรักบริษัทแค่ไหน สุดท้ายเราก็คือคนอื่น ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ลูกมีกิจการของตัวเองมากดว่าค่ะ
สุดท้ายเงินเดือนเมิงเยอะใช่ม้ายยยย หวยก็มาออกทึ่เราเลย
ก็ดีค่ะ ตอนนค้มีความสุขดี ทำให้เราสอนลูกเลยว่า งานบริษัท มันไม่ได้มีความมั่นคงเลย
ถึงจะรักบริษัทแค่ไหน สุดท้ายเราก็คือคนอื่น ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ลูกมีกิจการของตัวเองมากดว่าค่ะ
ความคิดเห็นที่ 35
เท่าที่อ่านจากกระทู้นะ จขกท.ไม่ยักบอกว่าเจ๊แกทำงานเป็นยังไง performance ดีมั้ย มี productivity ออกมาสมกับตำแหน่งงานหรือเปล่า แต่ถ้าบอกว่ามีเวลาไปทำโน่นนี่ที่ไม่ใช่งานตาม job description เยอะแยะนี่ ต้องบอกตามตรงว่า แกมีความสำคัญกับองค์กรน้อยมาก จึงไม่น่าแปลกที่จะโดนตัดตอนออกไปก่อน อันนี้ไม่ได้ใจร้ายนะ แต่นี่คือความคิดของระดับบริหารส่วนใหญ่
แต่ถ้ากลับกัน เจ๊แกขยันทำงานดี มีผลงานตลอด หนำซ้ำยังสามารถเจียดเวลามาทำเรื่องที่ว่ามา แต่ยังถูกเลย์ออฟนี่ จขกท.เองก็หางานใหม่ได้เลยเหมือนกัน เพราะองค์กรนี้กำลังเน่าเหม็นมาก
แต่ถ้ากลับกัน เจ๊แกขยันทำงานดี มีผลงานตลอด หนำซ้ำยังสามารถเจียดเวลามาทำเรื่องที่ว่ามา แต่ยังถูกเลย์ออฟนี่ จขกท.เองก็หางานใหม่ได้เลยเหมือนกัน เพราะองค์กรนี้กำลังเน่าเหม็นมาก
ความคิดเห็นที่ 116
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นมากๆนะครับ ไม่คิดว่าจะติดกระทู้แนะนำ แต่ขอไม่เล่าอะไรเพิ่มเติมแล้วนะครับ เนื่องจากเพื่อนร่วมบริษัทเข้ามาอ่านในนี้กันเยอะม๊ากกกกกก(เขิน) เอาเป็นว่าถ้าทำที่เดียวกันก็คงรู้นะครับว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
สำหรับหลายความเห็นที่อยากได้ข้อมูลเรื่องการทำงานของพี่แก จริงๆผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าแกทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ ซ้ำออกจะดูราบรื่น และน้องๆในทีมก็โอเคกับแกดีด้วยซ้ำ แต่ตื้นลึกหนาบางเป็นยังไงผมก็ไม่รู้จริงๆแหล่ะ อาจจะมองในแง่เดียวก็ได้ อันนี้ยอมรับครับ ก็ขอเล่าไปตามที่เห็นละกัน
ในวันที่มีหลายคนในหลายๆแผนกโดนให้ออก จริงๆก็มีหลายเคสมากที่ผมติดใจ มีทั้งพี่ที่ทำงานเป็นพี่ใหญ่น้องๆมาเกือบ 20 ปี ทำมานานมากตั้งแต่บริษัทเริ่มตั้งไข่ยังไม่มีอะไรอย่างทุกวันนี้ พี่ที่ทำงานดีมาก มาแต่เช้า ตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็ง ไปหาลูกค้าบ่อยๆ พี่ที่คอยประสานงานกับทุกฝ่ายอย่างดี รู้ขั้นตอนทะลุปรุโปร่งทุกอย่าง แม่นในงานที่แกต้องทำ ไปจนถึงน้องๆที่ทำงานมาไม่นานแต่ก็ขยันขันแข็งก็มี แต่พี่คนที่เล่านี่ผมค่อนข้างเกิดคำถามในใจมากหน่อย อย่างที่เล่าไปว่าผมก็ไม่ได้ชื่นชมอะไรแกมาก บางครั้งก็ออกจะรำคาญ เอาแกไปเมาท์ขำๆบ้างก็มี แต่ก็ยอมรับจริงๆในจุดที่แกพยายามทำอะไรเพื่อบริษัทค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในการมีส่วนร่วมอะไรต่างๆกับนโยบายและโครงการที่บริษัทอยากให้พนักงานทำ
ซึ่งการที่คนเหล่านี้โดนให้ออกแบบไม่ทันตั้งตัวในคราวเดียวกัน(พูดได้เลยว่าหลายคนไม่รู้ตัว เพราะวันก่อนหน้าวันที่จะโดนปลด ทุกคนยังวางแผนจะทำงานอะไรต่อมิอะไรที่เขาต้องทำไว้เรียบร้อยดีอยู่เลย) ทำให้ผมเกิดคำถามนี้ขึ้นมานี่แหล่ะครับ ว่ามันใช่เหรอกับการปลดคนเหล่านี้ออกเมื่อถึงเวลาที่คิดว่าไม่จำเป็น ทั้งที่เขาก็ทำอะไรให้บริษัทมามาก
แล้วสุดท้ายชีวิตการทำงานมันควรตั้งบาลานซ์ให้ดีขนาดไหน เราควรต้องรักบริษัทหรือทุ่มเทให้กับงานจริงเหรอในเมื่อพอถึงจุดนึงเขาก็เขี่ยเราออกง่ายๆตามใจชอบได้แบบนั้น(แต่ก็มีเงื่อนไขและการตอบแทนการออกแบบแฟร์ๆนะ อันนี้ผมยอมรับ) หรือควรจะมองในแง่ร้ายไปเลยมั้ยว่า เออ...ในเมื่อมันเป็นงี้ งั้นต่อไปก็ทำแบบชิวๆให้จบไปวันๆพอดีกว่ามั้ย แค่ไม่ให้ตัวเองมีปัญหา แต่ไม่ต้องไปทุ่มเทหวังดีอะไรกับมันมากมาย
ทำไมบริษัทหลายแห่งถึงสามารถสร้างภาพลักษณ์ในการให้พนักงานมีความรักในการทำงานได้ ทำไมบริษัทชั้นนำในหลายประเทศถึงมุ่งเน้นให้พนักงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันกับที่ทำงาน แต่ในที่ๆผมเจออยู่ตอนนี้มันเหมือนแค่อยากให้ทำงานไปวันๆ เพราะบางคนให้ความรัก ความทุ่มเทไปแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ทั้งที่ที่นี่ก็เป็นบริษัทใหญ่มากเหมือนกันนะ คือแค่เห็นสิ่งที่เขาโดนผมก็สะท้อนใจละ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะโดนแบบนี้เหมือนกันเมื่อไหร่ บอกเลยว่าไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้นะครับ แต่พอเจอแบบนี้เข้าไปก็ถึงกับไปไม่เป็นเหมือนกัน
แต่ก็คิดว่าดีแล้วที่ได้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะได้อ่านหลายๆความเห็นในนี้ที่ทำให้ได้คิดอะไรมากขึ้นหลายๆอย่าง ก็ขอขอบคุณสำหรับประสบการณ์และข้อคิดดีๆทั้งหลายมากนะครับ จะนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป และหวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนคนไหนที่กำลังอยู่ในสภาวะแบบนี้ด้วยละกัน ขอบคุณมากครับ
สำหรับหลายความเห็นที่อยากได้ข้อมูลเรื่องการทำงานของพี่แก จริงๆผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าแกทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ ซ้ำออกจะดูราบรื่น และน้องๆในทีมก็โอเคกับแกดีด้วยซ้ำ แต่ตื้นลึกหนาบางเป็นยังไงผมก็ไม่รู้จริงๆแหล่ะ อาจจะมองในแง่เดียวก็ได้ อันนี้ยอมรับครับ ก็ขอเล่าไปตามที่เห็นละกัน
ในวันที่มีหลายคนในหลายๆแผนกโดนให้ออก จริงๆก็มีหลายเคสมากที่ผมติดใจ มีทั้งพี่ที่ทำงานเป็นพี่ใหญ่น้องๆมาเกือบ 20 ปี ทำมานานมากตั้งแต่บริษัทเริ่มตั้งไข่ยังไม่มีอะไรอย่างทุกวันนี้ พี่ที่ทำงานดีมาก มาแต่เช้า ตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็ง ไปหาลูกค้าบ่อยๆ พี่ที่คอยประสานงานกับทุกฝ่ายอย่างดี รู้ขั้นตอนทะลุปรุโปร่งทุกอย่าง แม่นในงานที่แกต้องทำ ไปจนถึงน้องๆที่ทำงานมาไม่นานแต่ก็ขยันขันแข็งก็มี แต่พี่คนที่เล่านี่ผมค่อนข้างเกิดคำถามในใจมากหน่อย อย่างที่เล่าไปว่าผมก็ไม่ได้ชื่นชมอะไรแกมาก บางครั้งก็ออกจะรำคาญ เอาแกไปเมาท์ขำๆบ้างก็มี แต่ก็ยอมรับจริงๆในจุดที่แกพยายามทำอะไรเพื่อบริษัทค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในการมีส่วนร่วมอะไรต่างๆกับนโยบายและโครงการที่บริษัทอยากให้พนักงานทำ
ซึ่งการที่คนเหล่านี้โดนให้ออกแบบไม่ทันตั้งตัวในคราวเดียวกัน(พูดได้เลยว่าหลายคนไม่รู้ตัว เพราะวันก่อนหน้าวันที่จะโดนปลด ทุกคนยังวางแผนจะทำงานอะไรต่อมิอะไรที่เขาต้องทำไว้เรียบร้อยดีอยู่เลย) ทำให้ผมเกิดคำถามนี้ขึ้นมานี่แหล่ะครับ ว่ามันใช่เหรอกับการปลดคนเหล่านี้ออกเมื่อถึงเวลาที่คิดว่าไม่จำเป็น ทั้งที่เขาก็ทำอะไรให้บริษัทมามาก
แล้วสุดท้ายชีวิตการทำงานมันควรตั้งบาลานซ์ให้ดีขนาดไหน เราควรต้องรักบริษัทหรือทุ่มเทให้กับงานจริงเหรอในเมื่อพอถึงจุดนึงเขาก็เขี่ยเราออกง่ายๆตามใจชอบได้แบบนั้น(แต่ก็มีเงื่อนไขและการตอบแทนการออกแบบแฟร์ๆนะ อันนี้ผมยอมรับ) หรือควรจะมองในแง่ร้ายไปเลยมั้ยว่า เออ...ในเมื่อมันเป็นงี้ งั้นต่อไปก็ทำแบบชิวๆให้จบไปวันๆพอดีกว่ามั้ย แค่ไม่ให้ตัวเองมีปัญหา แต่ไม่ต้องไปทุ่มเทหวังดีอะไรกับมันมากมาย
ทำไมบริษัทหลายแห่งถึงสามารถสร้างภาพลักษณ์ในการให้พนักงานมีความรักในการทำงานได้ ทำไมบริษัทชั้นนำในหลายประเทศถึงมุ่งเน้นให้พนักงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันกับที่ทำงาน แต่ในที่ๆผมเจออยู่ตอนนี้มันเหมือนแค่อยากให้ทำงานไปวันๆ เพราะบางคนให้ความรัก ความทุ่มเทไปแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ทั้งที่ที่นี่ก็เป็นบริษัทใหญ่มากเหมือนกันนะ คือแค่เห็นสิ่งที่เขาโดนผมก็สะท้อนใจละ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะโดนแบบนี้เหมือนกันเมื่อไหร่ บอกเลยว่าไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้นะครับ แต่พอเจอแบบนี้เข้าไปก็ถึงกับไปไม่เป็นเหมือนกัน
แต่ก็คิดว่าดีแล้วที่ได้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะได้อ่านหลายๆความเห็นในนี้ที่ทำให้ได้คิดอะไรมากขึ้นหลายๆอย่าง ก็ขอขอบคุณสำหรับประสบการณ์และข้อคิดดีๆทั้งหลายมากนะครับ จะนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป และหวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนคนไหนที่กำลังอยู่ในสภาวะแบบนี้ด้วยละกัน ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น
รู้สึกสลดใจ ตอนที่เห็นพี่ที่คอยเจ้ากี้เจ้าการ รักบริษัทเหมือนเป็นเจ้าของเอง โดนให้ออกจากงาน
ในจุดที่รู้สึกแย่กับการเห็นคนรู้จักหลายคนต้องออกจากงาน และความเป็นจริงที่ว่าเศรษฐกิจตอนนี้มันแย่จริงๆแล้ว แต่สิ่งที่ทำผมรู้สึกหดหู่ที่สุดในวันนั้นคือ
มีพี่ผู้หญิงที่บริษัทคนนึง แกทำงานมานานละ ตำแหน่งก็ดีประมาณนึง นิสัยแกเป็นคนคอยรักษาผลประโยชน์ให้บริษัทมาก ประหนึ่งว่าแกเป็นเจ้าของบริษัทเองเลย เช่น ใครเปิดไฟทิ้งไว้ก็จะคอยไปเตือน ห้องน้ำสกปรกแกก็จะคอยติดป้ายรักษาความสะอาด เอาเทียนหอมนู่นนี่นั่นมาประดับ จัดโซนกาแฟ มุมพักผ่อนให้เรียบร้อยสวยงาม บริษัทมีนโยบายอะไร ให้เก็บโต๊ะให้สะอาด ให้ลดการใช้เอกสาร บลาๆๆๆ เจ๊แกก็จะเจ้ากี้เจ้าการคอยเตือน จิกๆๆๆทุกคนให้ทำตามตลอด จนบางทีพวกแม่บ้านหรือเพื่อนในออฟฟิศ(แม้แต่ผมเอง)ก็เคยเอาแกมาเมาท์ลับหลังขำๆกันตลอด
บอกตามตรงว่าผมเคยรำคาญแกมากนะ ตอนที่แกมาจู้จี้ ห้ามนั่นห้ามนี่ ทำเหมือนเป็นเจ้าของ แต่อีกด้านผมก็พอเข้าใจเจ๊แก เพราะแกคงจะทำงานที่นี่มานาน คงจะรักบริษัทเหมือนเป็นของตัวเอง และบางเรื่องที่แกเตือนมันก็เป็นเรื่องที่ควรทำจริงๆ ดังนั้นผมก็จะพยายามเฉยๆไม่เก็บแกมาเป็นอารมณ์มาก
แต่ที่ทำเอาผมสะท้อนใจมากมาถึงตอนนี้ ก็คือเมื่อตอนที่บริษัทปรับโครงสร้าง ปรากฏว่าหวยดันไปออกที่เจ๊แกด้วยครับ
ตอนที่ผมเห็นแกเก็บของออกจากออฟฟิศมันแบบน่าหดหู่มากอ่ะ ในหัวเจ๊แกคงมีแต่คำถามว่า ทำไม ทำไม ทั้งที่เราก็ทำให้บริษัทตั้งขนาดนี้ ทำไมถึงเป็นเราที่โดนให้ออก ผมเห็นแกเดินผ่านโซนต่างๆที่แกเอานั่นเอานี่มาตบแต่ง ซึ่งล้วนแต่สวยงามเป็นระเบียบ แต่ก็เอากลับไปไม่ได้สักอย่าง และแกคงไม่มีโอกาสได้กลับเข้ามาดูอีกแล้ว
มันทำให้ผมรู้ซึ้งเลยว่าต่อให้คุณเป็นคนที่ให้ใจกับบริษัท หรืออุทิศตนเป็นลูกน้องที่คอยคุมระเบียบให้เจ้านายมากแค่ไหน แต่ถ้ามันเป็นจังหวะที่บริษัทคิดว่าคุณต้องออก ยังไงคุณก็ต้องออก ผลประโยชน์มากมายที่แกคอยรักษาให้บริษัท สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้มีค่าอะไร
คุณงามความดีอะไรที่คุณคิดว่าทำแล้วจะได้เป็นลูกรักของบริษัท สุดท้ายมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ
ผมคิดแบบดาร์คๆไปถึงขั้นว่า ถ้าบริษัทเห็นเราเป็นแค่เครื่องมือทำงาน แปลว่าในความเป็นจริงแล้วเราก็ไม่ควรต้องผูกพันอะไรกับที่ทำงานหรืองานที่ทำให้มากดีกว่าใช่มั้ย แค่ทำไปให้จบๆวันก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องสนใจว่าบริษัทจะเป็นตายร้ายดียังไงเลย
คิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างครับ? สุดท้ายแล้วการวางตัวที่ดีในการทำงานและการผูกพันกับบริษัทมันควรจะเป็นยังไงกันแน่นะ