ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 57
http://ppantip.com/topic/33743596
ท่านไกรศักดิ์ก้าวเท้าอย่างมั่นคงมุ่งหน้าไปยังริมลำธารทิพย์ ลูกหลานทั้งสี่ สร้อยแก้ว พี เหมียวและโจเดินตามไป โจกุมมือหญิงคนรักไว้ขณะเดินมองตรงไปข้างหน้า สัมผัสของฝ่ามือที่กุมและท่วงท่าที่ชายหนุ่มเดินอยู่นั้นช่วยทำให้ภาพในอดีตที่เพิ่งผ่านมาไม่นานปรากฏขึ้นชัดเจนอีกครั้งในใจของหญิงสาว ในวันเวลาที่บุรุษผู้นี้เดินกุมมือเธอบนสะพานท่าเทียบเพื่อไปขึ้นเรือบินนามว่าคุณเป็ดน้ำเที่ยวชมทิวทัศน์ ณ ลำน้ำบางปะกง
“ไว้ใจผมมั้ย” ชายหนุ่มพูดเบาๆ หางตามีน้ำใสรินลงมา
“ที่สุด…ในโลกเลย” หญิงสาวตอบเบาๆด้วยคำเดิม
เธอมองไปตรงหน้าคำตอบนั้นสะดุดเมื่อผ่านสองพยางค์แรก แล้วน้ำตาก็ไหลปรี่ลงมา ยากเย็นเหลือเกินที่จะออกเสียงในสามพยางค์หลัง สองขาที่ก้าวเดินนั้นหนักอึ้ง ด้วยรู้แก่ใจว่า ณ ริมฝั่งลำธารทิพย์นั้นจะพรากดวงใจของเธอไป ไม่รู้เลยว่าจุดหมายอยู่ที่ไหน ไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะพบจะเจอ เสียงร่ำไห้กัดไว้ที่ริมฝีปากอ่อนบางสั่นระริกและก้อนสะอื้นที่จำต้องกลืนเก็บไว้ มันย่ำยีบีฑาจนหัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยง ทุกข์ทรมานที่ต้องสะกดทุกอย่างมิให้เผยออกมาได้ เพื่อเขาจะไม่ต้องห่วงกังวล เพื่อให้เขายังคงศรัทธาและสติให้มั่น
“เหมียวจะเจ็บมั้ย” หญิงสาวถามเสียงเรียบสนิท
“จะเหมือนหลับไป” เขาตอบ
“ท่านบอกอย่างนั้น”
“ใครคะ” หญิงสาวถาม
“องค์พญายมราช” เขาตอบ
“ทำไมท่านบอกพี่คะ” หญิงสาวถามอีก
“ท่านรู้ ว่าผมจะไม่เหลือหัวใจไว้ทำอะไรอีก” ชายหนุ่มพูดแล้วรินน้ำตาออกมา
“หากไม่รู้เลยว่าดวงใจของผมจะเป็นยังไง”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำสั้นๆ
ทั้งห้าคนมายืนอยู่ที่ริมลำธารทิพย์แล้ว ท่านพ่อไกรศักดิ์โอบกอดลูกสาวไว้แนบข้าง พีเพ่งสายตาไปยังที่ราบบนหน้าผาเช่นเดิม โจมองนิ่งอยู่บนผิวน้ำขณะที่สุดของหัวใจชายหนุ่มเกาะแขนจ้องมองหน้าเขาอยู่เพื่อตั้งใจจะจดจำใบหน้าของเขาไว้ตลอดไปทุกชาติภพ ไม่มีเสียงร่ำไห้ ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงน้ำตาที่พรั่งพรูลงอาบใบหน้าของทั้งสอง
“ทำแบบไหนครับ” พีถามแทบเป็นเสียงกระซิบ
ท่านไกรศักดิ์หันไปมองหน้าลูกสาวแล้วเงยหน้ามองไปที่ขอบฟ้าตะวันออก แต่ก่อนที่แม่ทัพจะพูดอะไรออกมา เสียงหนึ่งที่นุ่มนวลเต็มไปด้วยเมตตาก็พูดมาจากด้านหลังของทุกคน
“ช้าก่อนโยม’
ครอบครัวทั้งห้าคนหันกลับมาทันทีด้วยความประหลาดใจ เบื้องหลังของพวกเขาคือพระภิกษุรูปหนึ่งยืนยิ้มน้อยๆ ใบหน้าของท่านเอิบอิ่มผ่องใส จริยาวัตรดูงดงามยิ่ง และที่น่าประหลาดคือไม่มีเครื่องอัตถะบริขารใดๆในมือของท่านเลย
ทั้งหมดคุกเข่าลงกับกราบบนพื้นสามครั้งแล้วเงยขึ้นพนมมือไหว้อยู่อย่างนั้น
“เจริญพรโยม พวกท่านพร้อมแล้วทั้งกายและใจหรือไม่” พระภิกษุเอ่ยถาม
“นมัสการท่านผู้ทรงศีล โยมทั้งห้าคนพร้อมแล้วขอรับ” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ
“โยมยังจดจำอาตมาได้หรือไม่” พระภิกษุยิ้มถามท่านไกรศักดิ์
ท่านแม่ทัพนิ่งคิดอยู่เพียงไม่ถึงอึดใจ ความทรงจำเกี่ยวกับพระภิกษุรูปนี้จึงกระจ่างออกมา
“โยมจำได้แล้วครับท่าน” ไกรศักดิ์ตอบ
“โยมเคยกราบนมัสการท่านที่ริมสระน้ำในวัด เมื่อครั้งที่โยมไปปล่อยปลาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ลอยาขอรับ”
“โยมยังจำคำที่อาตมาได้กล่าวกับโยมไว้ได้หรือไม่” พระภิกษุยิ้มถาม
“ได้ขอรับท่าน ท่านบอกโยมว่าให้มองวาสนาที่มีต่อกันขอรับ” ไกรศักดิ์ตอบ
พระภิกษุยิ้มให้ด้วยแววตาที่นุ่มนวลอาบอิ่มไปด้วยความเมตตาอยู่เช่นนั้น
“บัดนี้ ณ ริมฝั่งนทีธารทิพย์วะสะธารา ลำธารแห่งวาสนา” พระภิกษุกล่าวแล้วมองเพ่งไปที่กลางลำธาร
“มนุษย์เหล่านี้ ได้พร้อมยอมชดใช้มาจนสิ้นแล้ว ด้วยศรัทธาอันคงมั่น”
“มนุษย์เหล่านี้ ได้น้อมนำความดี ความรักภักดีแม้ชีวีของตนก็มินำพา มาให้ประจักษ์”
“อีกทั้งมนุษย์เหล่านี้ได้พิสูจน์ตนเองแล้วในวาสนาที่มีต่อกัน ด้วยปัญญา”
“ขอท่านโปรดมอบความเมตตาให้เขาเหล่านี้ด้วย เถิด”
สิ้นคำของพระผู้ทรงศีล ปฐพีจึงสั่นเบาๆเพื่อบอกถึงการตอบรับคำขอ
“เจริญพร ยามนี้ทิวาและราตรีได้มาพบกันแล้ว” พระภิกษุกล่าว
“เชิญทุกท่านก้าวลงไปยังสายน้ำแล้วนั่งลง หันหน้ามายังอาตมา ให้ห่างฝั่งสองก้าวเดิน”
ทั้งห้ามนุษย์ลุกขึ้นเดินลงไปในน้ำ เมื่อได้ระยะสองก้าวเดินจากริมฝั่งแล้วทั้งหมดจึงหันกลับมาแล้วนั่งลงเรียงหน้ากระดานกันที่ระดับน้ำสูงเทียมเอว หันหน้ามาทางพระภิกษุที่บนฝั่ง เหมียวและโจหันมามองสบตากันอีกครั้ง
ท่านพ่อไกรศักดิ์ก็หันมามองสร้อยแก้วลูกสาวของเขาแล้วมองกลับไปยังพระภิกษุ
“ทุกท่านจงหลับตาลง น้อมนำจิตเข้าสู่สมาธิ” พระภิกษุบอกกล่าว
นิ่งนานสองสามอึดใจ ท่านผู้ทรงศีลจึงเอ่ยคำขึ้น
“ทุกท่าน ขอจงลืมตาขึ้นมอง”
ภาพที่ทั้งห้าคนได้เห็นอยู่ตรงหน้า คือพระภิกษุท่านยืนอยู่ด้านหลังของอีกร่างหนึ่ง สตรีโฉมงามนุ่งโจงกระเบนสีขาว พันอกด้วยผ้าขาวแล้วทิ้งสไบไว้ด้านหลัง ผมยาวดำขลับทิ้งลงประบ่า ดวงหน้าหมองเศร้าดั่งคนที่ร้องไห้มาแสนนาน หญิงนั้นนั่งพับเพียบอยู่ติดชายน้ำของลำธารทิพย์ วางสองฝ่ามือทับกันไว้บนตัก มองมายังท่านไกรศักดิ์นิ่งอยู่
แม่ทัพไกรศักดิ์มองสบสายตาตอบกลับไป มุมสองข้างบนริมฝีปากและแววตาเปิดยิ้มขึ้นด้วยความปิติเป็นสุข นางผู้นั่งอยู่ตรงหน้าห่างกันแค่สองก้าวเดินนั้น คือยอดดวงใจของเขานั่นเอง ลอยาในชุดที่สวมใส่เมื่อวันที่เข้าพิธีผูกข้อมือกัน ทั้งสองสบสายตากันครู่หนึ่งแล้วลอยาจึงเบนไปหาสร้อยแก้วลูกสาวที่จ้องมองมาที่เธออยู่เช่นกัน
“สร้อยแก้วลูกแม่” วิญญาณของลอยาเรียกลูกสาว
“จ๊ะแม่” สร้อยแก้วรับคำแล้วขยับจะลุกขึ้นไปหา
ท่านพ่อไกรศักดิ์คว้าแขนลูกสาวดึงไว้ไม่ให้ลุกขึ้น สร้อยแก้วหันมองท่านพ่อพยายามขืนตัวจะลุกไป
“ลูกต้องนั่งลงตรงนี้ อย่าลุกขึ้น” ท่านพ่อบอก
“สร้อยแก้วลูกแม่ ลูกจงทำตามที่ท่านพ่อบอกกล่าวเยี่ยงนั้นนะลูก” วิญญาณลอยาบอกลูกสาว
“โยมลอยา” พระภิกษุเรียก
“เจ้าค่ะท่าน” วิญญาณลอยาขานรับ
“ตรงหน้าของโยม คือคู่ครองและลูกสาวที่โยมรักยิ่งกว่าตนเองใช่หรือไม่” พระภิกษุถาม
“เป็นเยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ” วิญญาณลอยาตอบ
“แล้วใยท่านจึงเป็นวิญญาณอยู่อย่างนี้ โยมยังจำความได้หรือไม่” พระภิกษุถาม
“ลอยายังหยั่งรู้ความนั้นได้เจ้าค่ะ” วิญญาณลอยาตอบเสียงสั่น
แล้ววิญญาณนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ภาวะโกรธเกรี้ยว เคียดแค้นชิงชังขึ้น จากภาพที่เห็นนางผู้งดงามนั่งพับเพียบอยู่นั้น บัดนี้เริ่มสั่นกระตุกสะบัดอย่างรุนแรง แล้วค่อยๆกลายเป็นกลุ่มควันสีเทาดำกระเพื่อมปั่นป่วนหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ
“วิญญาณของโยม ชิงชังเคียดแค้นต่อคนหน้าดำใช่หรือไม่” พระภิกษุถาม
“กรี๊ด…” เสียงกรีดยาวเล็กแหลมดังก้องขึ้น
กลุ่มควันสภาวะของวิญญาณผู้ติดกับอยู่กับความเคียดแค้นชิงชังสะบัดหมุนแกว่งไปมารุนแรงยิ่งขึ้น จากนั้นจึงโฉบไปกวัดแกว่งอยู่รอบร่างของไกรศักดิ์ที่ยังคงนั่งนิ่งสงบอยู่
“โยมลอยา จงตามอาตมาไป” พระภิกษุเรียกวิญญาณของลอยาแล้วหลับตาลง
กลุ่มควันดำของวิญญาณพยาบาทแกว่งหมุนรุนแรงแล้วพุ่งหายไปทางแนวป่าอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วอึดใจในมิติแห่งเวลา ณ ริมฝั่งลำธารทิพย์ พระผู้ทรงศีลจึงลืมตาขึ้นพร้อมกับกลุ่มควันดำที่ไหลวนมายังตำแหน่งที่วิญญาณของลอยานั่งพับเพียบอยู่ รวมตัวกันอีกครั้งอย่างช้าๆแล้วปรากฏเป็นลอยานั่งก้มหน้าร่ำไห้
“อาตมาได้นำพาวิญญาณดวงนี้กลับไป ยังเวลาอันเกิดวิบากกรรมของนาง” พระภิกษุบอกกล่าว
“ท่านพี่ ลอยาเมียพี่ทำการผิด ยกโทษให้เมียด้วย” ลอยาก้มหน้าร่ำไห้
“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด เจ้าปกป้องชีวิตลูก พี่ผิด พี่มิได้อยู่เมื่อเจ้ามีภัย” ไกรศักดิ์ร่ำไห้ไปด้วยพลางสองมือทุบตีตนเอง
“ท่านพี่อย่าทำร้ายตัวเองให้ได้เจ็บ ใจเมียเจียนจะขาดแล้ว” ลอยาร้องไห้เอื้อมมือไขว่คว้าไปหาผัวรักจนสุดแขน
“อรหันต์ท่านนำลอยาไปรู้รับจนหมดสิ้นแล้ว” ลอยาครวญคร่ำ
“ลอยาเห็นแล้ว ท่านพี่กอดศพเมียปิ่มว่าจะขาดใจ”
“ท่านพี่ดวงใจของน้อง ลอยาขอท่านพี่อโหสิกรรมให้น้องด้วย”
“อีกกรรมใดที่วิญญาณข้า ได้มีต่อคนหน้าสีดำ ขอคนหน้าสีดำอโหสิกรรมให้ข้า”
“ลอยารู้แจ้งแล้วบัดนี้ คนหน้าสีดำคือท่านพี่ยอดดวงใจของข้า”
“กรรมใดอันเขากระทำต่อข้า ข้าอโหสิกรรมให้คนหน้าสีดำหมดสิ้นทุกสิ่ง ขอพระอรหันต์เป็นพยานเถิด”
ไกรศักดิ์หยุดทุบตีตนเอง เขาจ้องมองใบหน้าของลอยาเมียรักด้วยน้ำตานองหน้า ขยับตัวคลานในน้ำเข้าไปหาวิญญาณเมียรักที่นั่งพับเพียบแล้วเอนตัวลงจนแนบพื้นพลางยื่นสองมือมาหาผัวรัก
ณ ดินแดนแห่งองค์พญายมราชเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเมตตาแห่งพระองค์ได้ประทานมาแล้วให้สองมือมนุษย์ผู้ภักดีและสองมือของวิญญาณที่คงมั่นในรักได้สัมผัสกันอีกครั้ง สองร่างที่ต่างสถานะกันสวมกอดแนบแน่นด้วยหัวใจดวงเดียวกันอีกครั้ง ภาพอันแสดงให้เห็นถึงความรักที่ภักดี
สร้อยแก้วลูกสาวของทั้งสอง จ้องมองบิดาและวิญญาณของมารดาบังเกิดเกล้าด้วยน้ำตาที่ไหลลงนองหน้า ภาพที่นำมหาปิติมาสู่หัวใจว้าเหว่ของเธอมาแสนนาน
“ท่านพ่อ แม่จ๋า” สร้อยแก้วคลานเข้าไปหาทั้งสองอย่างสุดจะทานทนได้อีกต่อไป
พระเมตตานั้นประทานมายังเด็กกำพร้าแม่ด้วย ทั้งสามพ่อแม่ลูกสามารถสัมผัสกันและกันได้อย่างแสนสุขใจ
พีและโจ สองชายหนุ่มนั่งมองด้วยน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาเช่นกัน เหมียวเข้ามาเกาะแขนชายคนรักไว้ร่ำไห้ไปด้วย
“ลอยากรรมอันที่พี่ได้ปลิดชีวิตเจ้าด้วยความเขลา ขอเจ้าอโหสิกรรมให้พี่ด้วยเถิด” ไกรศักดิ์กล่าว
“อีกกรรมใดที่เจ้าขออโหสิกรรม พี่ก็ขอยกโทษ ขออโหสิกรรมให้เจ้าหมดสิ้นแล้ว”
“ลอยาอโหสิกรรมทุกสิ่งหมดสิ้นแล้ว ไม่มีความแค้นความชังอันใดเหลืออีกจ้ะ” วิญญาณลอยากล่าวคำ
“บัดนี้ถึงเวลาแล้ว” พระภิกษุบอกกล่าว
“ขอท่านทั้งหลายจงกลับไปยังที่ของท่าน”
วิญญาณลอยากอดลูกสาวอีกครั้งแล้วก้มลงกราบท่านพี่ไกรศักดิ์
“ลอยาจะรอพี่ จะตามท่านพี่ไปทุกภพชาติ” ลอยาตั้งอธิษฐาน
“จงไปรอพี่นะดวงใจของพี่” ไกรศักดิ์บอกวิญญาณเมียรัก
“ท่านทั้งสองจงวักน้ำทิพย์ขึ้นป้อนแก่กันดื่ม” พระภิกษุบอก
ไกรศักดิ์และวิญญาณลอยากอบน้ำทิพย์ในลำธารด้วยสองฝ่ามือป้อนให้กันและกัน จากนั้นไกรศักดิ์จึงถอยออกมานั่งขัดสมาธิลงยังที่เดิม
“ลอยา พี่ขอให้วิญญาณเจ้าจงสงบสุขนะ รอพี่ก่อน อีกไม่นานพี่จะตามเจ้าไป” ไกรศักดิ์บอกกล่าวเมียรัก
“บุญกุศลที่พี่ได้เพียรสร้างสมบำเพ็ญมา พี่ขออุทิศบุญนั้นแก่เจ้า ขอเจ้าจงอนุโมทนารับไว้ด้วย”
“ท่านพี่ ลอยาขออธิษฐาน” ลอยาสะอื้นบอก
“ชาติใดภพใดแม้แสนนาน วิญญาณน้องจะคอยท่านพี่ ลอยาขออนุโมทนารับบุญของท่านพี่”
“บัดนี้ ขอทุกท่านจงหลับตาลงเสีย” พระภิกษุบอกกล่าว
“ตั้งจิตให้มั่น เพื่อส่งวิญญาณซึ่งรับรู้และละวางความอาฆาตแค้นจนสิ้นแล้ว สู่สัมปรายภพ”
ธารทิพย์ บทที่ 58
ธารทิพย์ บทที่ 57 http://ppantip.com/topic/33743596
ท่านไกรศักดิ์ก้าวเท้าอย่างมั่นคงมุ่งหน้าไปยังริมลำธารทิพย์ ลูกหลานทั้งสี่ สร้อยแก้ว พี เหมียวและโจเดินตามไป โจกุมมือหญิงคนรักไว้ขณะเดินมองตรงไปข้างหน้า สัมผัสของฝ่ามือที่กุมและท่วงท่าที่ชายหนุ่มเดินอยู่นั้นช่วยทำให้ภาพในอดีตที่เพิ่งผ่านมาไม่นานปรากฏขึ้นชัดเจนอีกครั้งในใจของหญิงสาว ในวันเวลาที่บุรุษผู้นี้เดินกุมมือเธอบนสะพานท่าเทียบเพื่อไปขึ้นเรือบินนามว่าคุณเป็ดน้ำเที่ยวชมทิวทัศน์ ณ ลำน้ำบางปะกง
“ไว้ใจผมมั้ย” ชายหนุ่มพูดเบาๆ หางตามีน้ำใสรินลงมา
“ที่สุด…ในโลกเลย” หญิงสาวตอบเบาๆด้วยคำเดิม
เธอมองไปตรงหน้าคำตอบนั้นสะดุดเมื่อผ่านสองพยางค์แรก แล้วน้ำตาก็ไหลปรี่ลงมา ยากเย็นเหลือเกินที่จะออกเสียงในสามพยางค์หลัง สองขาที่ก้าวเดินนั้นหนักอึ้ง ด้วยรู้แก่ใจว่า ณ ริมฝั่งลำธารทิพย์นั้นจะพรากดวงใจของเธอไป ไม่รู้เลยว่าจุดหมายอยู่ที่ไหน ไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะพบจะเจอ เสียงร่ำไห้กัดไว้ที่ริมฝีปากอ่อนบางสั่นระริกและก้อนสะอื้นที่จำต้องกลืนเก็บไว้ มันย่ำยีบีฑาจนหัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยง ทุกข์ทรมานที่ต้องสะกดทุกอย่างมิให้เผยออกมาได้ เพื่อเขาจะไม่ต้องห่วงกังวล เพื่อให้เขายังคงศรัทธาและสติให้มั่น
“เหมียวจะเจ็บมั้ย” หญิงสาวถามเสียงเรียบสนิท
“จะเหมือนหลับไป” เขาตอบ
“ท่านบอกอย่างนั้น”
“ใครคะ” หญิงสาวถาม
“องค์พญายมราช” เขาตอบ
“ทำไมท่านบอกพี่คะ” หญิงสาวถามอีก
“ท่านรู้ ว่าผมจะไม่เหลือหัวใจไว้ทำอะไรอีก” ชายหนุ่มพูดแล้วรินน้ำตาออกมา
“หากไม่รู้เลยว่าดวงใจของผมจะเป็นยังไง”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำสั้นๆ
ทั้งห้าคนมายืนอยู่ที่ริมลำธารทิพย์แล้ว ท่านพ่อไกรศักดิ์โอบกอดลูกสาวไว้แนบข้าง พีเพ่งสายตาไปยังที่ราบบนหน้าผาเช่นเดิม โจมองนิ่งอยู่บนผิวน้ำขณะที่สุดของหัวใจชายหนุ่มเกาะแขนจ้องมองหน้าเขาอยู่เพื่อตั้งใจจะจดจำใบหน้าของเขาไว้ตลอดไปทุกชาติภพ ไม่มีเสียงร่ำไห้ ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงน้ำตาที่พรั่งพรูลงอาบใบหน้าของทั้งสอง
“ทำแบบไหนครับ” พีถามแทบเป็นเสียงกระซิบ
ท่านไกรศักดิ์หันไปมองหน้าลูกสาวแล้วเงยหน้ามองไปที่ขอบฟ้าตะวันออก แต่ก่อนที่แม่ทัพจะพูดอะไรออกมา เสียงหนึ่งที่นุ่มนวลเต็มไปด้วยเมตตาก็พูดมาจากด้านหลังของทุกคน
“ช้าก่อนโยม’
ครอบครัวทั้งห้าคนหันกลับมาทันทีด้วยความประหลาดใจ เบื้องหลังของพวกเขาคือพระภิกษุรูปหนึ่งยืนยิ้มน้อยๆ ใบหน้าของท่านเอิบอิ่มผ่องใส จริยาวัตรดูงดงามยิ่ง และที่น่าประหลาดคือไม่มีเครื่องอัตถะบริขารใดๆในมือของท่านเลย
ทั้งหมดคุกเข่าลงกับกราบบนพื้นสามครั้งแล้วเงยขึ้นพนมมือไหว้อยู่อย่างนั้น
“เจริญพรโยม พวกท่านพร้อมแล้วทั้งกายและใจหรือไม่” พระภิกษุเอ่ยถาม
“นมัสการท่านผู้ทรงศีล โยมทั้งห้าคนพร้อมแล้วขอรับ” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ
“โยมยังจดจำอาตมาได้หรือไม่” พระภิกษุยิ้มถามท่านไกรศักดิ์
ท่านแม่ทัพนิ่งคิดอยู่เพียงไม่ถึงอึดใจ ความทรงจำเกี่ยวกับพระภิกษุรูปนี้จึงกระจ่างออกมา
“โยมจำได้แล้วครับท่าน” ไกรศักดิ์ตอบ
“โยมเคยกราบนมัสการท่านที่ริมสระน้ำในวัด เมื่อครั้งที่โยมไปปล่อยปลาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ลอยาขอรับ”
“โยมยังจำคำที่อาตมาได้กล่าวกับโยมไว้ได้หรือไม่” พระภิกษุยิ้มถาม
“ได้ขอรับท่าน ท่านบอกโยมว่าให้มองวาสนาที่มีต่อกันขอรับ” ไกรศักดิ์ตอบ
พระภิกษุยิ้มให้ด้วยแววตาที่นุ่มนวลอาบอิ่มไปด้วยความเมตตาอยู่เช่นนั้น
“บัดนี้ ณ ริมฝั่งนทีธารทิพย์วะสะธารา ลำธารแห่งวาสนา” พระภิกษุกล่าวแล้วมองเพ่งไปที่กลางลำธาร
“มนุษย์เหล่านี้ ได้พร้อมยอมชดใช้มาจนสิ้นแล้ว ด้วยศรัทธาอันคงมั่น”
“มนุษย์เหล่านี้ ได้น้อมนำความดี ความรักภักดีแม้ชีวีของตนก็มินำพา มาให้ประจักษ์”
“อีกทั้งมนุษย์เหล่านี้ได้พิสูจน์ตนเองแล้วในวาสนาที่มีต่อกัน ด้วยปัญญา”
“ขอท่านโปรดมอบความเมตตาให้เขาเหล่านี้ด้วย เถิด”
สิ้นคำของพระผู้ทรงศีล ปฐพีจึงสั่นเบาๆเพื่อบอกถึงการตอบรับคำขอ
“เจริญพร ยามนี้ทิวาและราตรีได้มาพบกันแล้ว” พระภิกษุกล่าว
“เชิญทุกท่านก้าวลงไปยังสายน้ำแล้วนั่งลง หันหน้ามายังอาตมา ให้ห่างฝั่งสองก้าวเดิน”
ทั้งห้ามนุษย์ลุกขึ้นเดินลงไปในน้ำ เมื่อได้ระยะสองก้าวเดินจากริมฝั่งแล้วทั้งหมดจึงหันกลับมาแล้วนั่งลงเรียงหน้ากระดานกันที่ระดับน้ำสูงเทียมเอว หันหน้ามาทางพระภิกษุที่บนฝั่ง เหมียวและโจหันมามองสบตากันอีกครั้ง
ท่านพ่อไกรศักดิ์ก็หันมามองสร้อยแก้วลูกสาวของเขาแล้วมองกลับไปยังพระภิกษุ
“ทุกท่านจงหลับตาลง น้อมนำจิตเข้าสู่สมาธิ” พระภิกษุบอกกล่าว
นิ่งนานสองสามอึดใจ ท่านผู้ทรงศีลจึงเอ่ยคำขึ้น
“ทุกท่าน ขอจงลืมตาขึ้นมอง”
ภาพที่ทั้งห้าคนได้เห็นอยู่ตรงหน้า คือพระภิกษุท่านยืนอยู่ด้านหลังของอีกร่างหนึ่ง สตรีโฉมงามนุ่งโจงกระเบนสีขาว พันอกด้วยผ้าขาวแล้วทิ้งสไบไว้ด้านหลัง ผมยาวดำขลับทิ้งลงประบ่า ดวงหน้าหมองเศร้าดั่งคนที่ร้องไห้มาแสนนาน หญิงนั้นนั่งพับเพียบอยู่ติดชายน้ำของลำธารทิพย์ วางสองฝ่ามือทับกันไว้บนตัก มองมายังท่านไกรศักดิ์นิ่งอยู่
แม่ทัพไกรศักดิ์มองสบสายตาตอบกลับไป มุมสองข้างบนริมฝีปากและแววตาเปิดยิ้มขึ้นด้วยความปิติเป็นสุข นางผู้นั่งอยู่ตรงหน้าห่างกันแค่สองก้าวเดินนั้น คือยอดดวงใจของเขานั่นเอง ลอยาในชุดที่สวมใส่เมื่อวันที่เข้าพิธีผูกข้อมือกัน ทั้งสองสบสายตากันครู่หนึ่งแล้วลอยาจึงเบนไปหาสร้อยแก้วลูกสาวที่จ้องมองมาที่เธออยู่เช่นกัน
“สร้อยแก้วลูกแม่” วิญญาณของลอยาเรียกลูกสาว
“จ๊ะแม่” สร้อยแก้วรับคำแล้วขยับจะลุกขึ้นไปหา
ท่านพ่อไกรศักดิ์คว้าแขนลูกสาวดึงไว้ไม่ให้ลุกขึ้น สร้อยแก้วหันมองท่านพ่อพยายามขืนตัวจะลุกไป
“ลูกต้องนั่งลงตรงนี้ อย่าลุกขึ้น” ท่านพ่อบอก
“สร้อยแก้วลูกแม่ ลูกจงทำตามที่ท่านพ่อบอกกล่าวเยี่ยงนั้นนะลูก” วิญญาณลอยาบอกลูกสาว
“โยมลอยา” พระภิกษุเรียก
“เจ้าค่ะท่าน” วิญญาณลอยาขานรับ
“ตรงหน้าของโยม คือคู่ครองและลูกสาวที่โยมรักยิ่งกว่าตนเองใช่หรือไม่” พระภิกษุถาม
“เป็นเยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ” วิญญาณลอยาตอบ
“แล้วใยท่านจึงเป็นวิญญาณอยู่อย่างนี้ โยมยังจำความได้หรือไม่” พระภิกษุถาม
“ลอยายังหยั่งรู้ความนั้นได้เจ้าค่ะ” วิญญาณลอยาตอบเสียงสั่น
แล้ววิญญาณนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ภาวะโกรธเกรี้ยว เคียดแค้นชิงชังขึ้น จากภาพที่เห็นนางผู้งดงามนั่งพับเพียบอยู่นั้น บัดนี้เริ่มสั่นกระตุกสะบัดอย่างรุนแรง แล้วค่อยๆกลายเป็นกลุ่มควันสีเทาดำกระเพื่อมปั่นป่วนหมุนวนไปมาอยู่รอบๆ
“วิญญาณของโยม ชิงชังเคียดแค้นต่อคนหน้าดำใช่หรือไม่” พระภิกษุถาม
“กรี๊ด…” เสียงกรีดยาวเล็กแหลมดังก้องขึ้น
กลุ่มควันสภาวะของวิญญาณผู้ติดกับอยู่กับความเคียดแค้นชิงชังสะบัดหมุนแกว่งไปมารุนแรงยิ่งขึ้น จากนั้นจึงโฉบไปกวัดแกว่งอยู่รอบร่างของไกรศักดิ์ที่ยังคงนั่งนิ่งสงบอยู่
“โยมลอยา จงตามอาตมาไป” พระภิกษุเรียกวิญญาณของลอยาแล้วหลับตาลง
กลุ่มควันดำของวิญญาณพยาบาทแกว่งหมุนรุนแรงแล้วพุ่งหายไปทางแนวป่าอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วอึดใจในมิติแห่งเวลา ณ ริมฝั่งลำธารทิพย์ พระผู้ทรงศีลจึงลืมตาขึ้นพร้อมกับกลุ่มควันดำที่ไหลวนมายังตำแหน่งที่วิญญาณของลอยานั่งพับเพียบอยู่ รวมตัวกันอีกครั้งอย่างช้าๆแล้วปรากฏเป็นลอยานั่งก้มหน้าร่ำไห้
“อาตมาได้นำพาวิญญาณดวงนี้กลับไป ยังเวลาอันเกิดวิบากกรรมของนาง” พระภิกษุบอกกล่าว
“ท่านพี่ ลอยาเมียพี่ทำการผิด ยกโทษให้เมียด้วย” ลอยาก้มหน้าร่ำไห้
“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด เจ้าปกป้องชีวิตลูก พี่ผิด พี่มิได้อยู่เมื่อเจ้ามีภัย” ไกรศักดิ์ร่ำไห้ไปด้วยพลางสองมือทุบตีตนเอง
“ท่านพี่อย่าทำร้ายตัวเองให้ได้เจ็บ ใจเมียเจียนจะขาดแล้ว” ลอยาร้องไห้เอื้อมมือไขว่คว้าไปหาผัวรักจนสุดแขน
“อรหันต์ท่านนำลอยาไปรู้รับจนหมดสิ้นแล้ว” ลอยาครวญคร่ำ
“ลอยาเห็นแล้ว ท่านพี่กอดศพเมียปิ่มว่าจะขาดใจ”
“ท่านพี่ดวงใจของน้อง ลอยาขอท่านพี่อโหสิกรรมให้น้องด้วย”
“อีกกรรมใดที่วิญญาณข้า ได้มีต่อคนหน้าสีดำ ขอคนหน้าสีดำอโหสิกรรมให้ข้า”
“ลอยารู้แจ้งแล้วบัดนี้ คนหน้าสีดำคือท่านพี่ยอดดวงใจของข้า”
“กรรมใดอันเขากระทำต่อข้า ข้าอโหสิกรรมให้คนหน้าสีดำหมดสิ้นทุกสิ่ง ขอพระอรหันต์เป็นพยานเถิด”
ไกรศักดิ์หยุดทุบตีตนเอง เขาจ้องมองใบหน้าของลอยาเมียรักด้วยน้ำตานองหน้า ขยับตัวคลานในน้ำเข้าไปหาวิญญาณเมียรักที่นั่งพับเพียบแล้วเอนตัวลงจนแนบพื้นพลางยื่นสองมือมาหาผัวรัก
ณ ดินแดนแห่งองค์พญายมราชเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเมตตาแห่งพระองค์ได้ประทานมาแล้วให้สองมือมนุษย์ผู้ภักดีและสองมือของวิญญาณที่คงมั่นในรักได้สัมผัสกันอีกครั้ง สองร่างที่ต่างสถานะกันสวมกอดแนบแน่นด้วยหัวใจดวงเดียวกันอีกครั้ง ภาพอันแสดงให้เห็นถึงความรักที่ภักดี
สร้อยแก้วลูกสาวของทั้งสอง จ้องมองบิดาและวิญญาณของมารดาบังเกิดเกล้าด้วยน้ำตาที่ไหลลงนองหน้า ภาพที่นำมหาปิติมาสู่หัวใจว้าเหว่ของเธอมาแสนนาน
“ท่านพ่อ แม่จ๋า” สร้อยแก้วคลานเข้าไปหาทั้งสองอย่างสุดจะทานทนได้อีกต่อไป
พระเมตตานั้นประทานมายังเด็กกำพร้าแม่ด้วย ทั้งสามพ่อแม่ลูกสามารถสัมผัสกันและกันได้อย่างแสนสุขใจ
พีและโจ สองชายหนุ่มนั่งมองด้วยน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาเช่นกัน เหมียวเข้ามาเกาะแขนชายคนรักไว้ร่ำไห้ไปด้วย
“ลอยากรรมอันที่พี่ได้ปลิดชีวิตเจ้าด้วยความเขลา ขอเจ้าอโหสิกรรมให้พี่ด้วยเถิด” ไกรศักดิ์กล่าว
“อีกกรรมใดที่เจ้าขออโหสิกรรม พี่ก็ขอยกโทษ ขออโหสิกรรมให้เจ้าหมดสิ้นแล้ว”
“ลอยาอโหสิกรรมทุกสิ่งหมดสิ้นแล้ว ไม่มีความแค้นความชังอันใดเหลืออีกจ้ะ” วิญญาณลอยากล่าวคำ
“บัดนี้ถึงเวลาแล้ว” พระภิกษุบอกกล่าว
“ขอท่านทั้งหลายจงกลับไปยังที่ของท่าน”
วิญญาณลอยากอดลูกสาวอีกครั้งแล้วก้มลงกราบท่านพี่ไกรศักดิ์
“ลอยาจะรอพี่ จะตามท่านพี่ไปทุกภพชาติ” ลอยาตั้งอธิษฐาน
“จงไปรอพี่นะดวงใจของพี่” ไกรศักดิ์บอกวิญญาณเมียรัก
“ท่านทั้งสองจงวักน้ำทิพย์ขึ้นป้อนแก่กันดื่ม” พระภิกษุบอก
ไกรศักดิ์และวิญญาณลอยากอบน้ำทิพย์ในลำธารด้วยสองฝ่ามือป้อนให้กันและกัน จากนั้นไกรศักดิ์จึงถอยออกมานั่งขัดสมาธิลงยังที่เดิม
“ลอยา พี่ขอให้วิญญาณเจ้าจงสงบสุขนะ รอพี่ก่อน อีกไม่นานพี่จะตามเจ้าไป” ไกรศักดิ์บอกกล่าวเมียรัก
“บุญกุศลที่พี่ได้เพียรสร้างสมบำเพ็ญมา พี่ขออุทิศบุญนั้นแก่เจ้า ขอเจ้าจงอนุโมทนารับไว้ด้วย”
“ท่านพี่ ลอยาขออธิษฐาน” ลอยาสะอื้นบอก
“ชาติใดภพใดแม้แสนนาน วิญญาณน้องจะคอยท่านพี่ ลอยาขออนุโมทนารับบุญของท่านพี่”
“บัดนี้ ขอทุกท่านจงหลับตาลงเสีย” พระภิกษุบอกกล่าว
“ตั้งจิตให้มั่น เพื่อส่งวิญญาณซึ่งรับรู้และละวางความอาฆาตแค้นจนสิ้นแล้ว สู่สัมปรายภพ”