อะไรจะจริงยิ่งกว่าธรรม

กระทู้สนทนา
ผู้ปฏิบัติทำไมจึงต้องไปแบกพระไตรปิฎกที่ท่านแสดงไว้พอประมาณเท่านั้นอย่างเดียว นานมา ๆ ผู้จดจารึกเป็นคนชนิดใด ก็ขึ้นอยู่กับคนอีก ถ้าเป็นคนมีกิเลสจดจารึกมา ธรรมะก็ไม่พ้นที่จะแฝงกับคนมีกิเลสไปได้ ถ้าผู้จดจารึกเป็นผู้บริสุทธิ์เช่นพระอรหันต์ ธรรมะนั้นก็จะเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามภูมิแห่งพระอรหันต์องค์นั้น ที่มีลึกตื้นในส่วนธรรมะที่จะนำออกมาสู่โลก แต่ความบริสุทธิ์เรายกให้ท่าน การจะแตกฉานแค่ไหนนั้นเป็นไปตามอุปนิสัย แต่ยังไงก็ได้ธรรมะเต็มเม็ดเต็มหน่วยออกมา ไม่เหมือนคนมีกิเลสซึ่งไปลากเอาตั้งแต่กิเลสเจ้าของออกมาสาดกระจายไว้หมด ธรรมะเลยอยู่เบื้องหลัง มองหาธรรมะเลยไม่เจอ ถ้าคนมีกิเลสจดจารึกจะเป็นอย่างนั้นไม่อาจสงสัย สำคัญอยู่ที่ใจนี่นะ

อย่างเรื่องของท่านอาจารย์มั่นนี่ลองดูซี ผมยอมรับว่าสุดวิสัย ก็ตะเกียกตะกายไปอย่างนั้นเอง ถ้าเป็นธรรมะส่วนละเอียด ๆ จะเป็นไปได้แต่งไปได้เขียนไปได้ยังไง ลองดูซี ธรรมะภายในจิตใจเป็นของละเอียดลออสุขุมมาก แม้จะเป็นธรรมะอันเดียวกันก็ตามกับในพระไตรปิฎก เราไม่ได้ประมาทพระไตรปิฎก แต่ละเอียดสุขุมยิ่งเข้าไปกว่านั้นอีก เพราะพระไตรปิฎกนี้ขึ้นอยู่กับผู้จดจารึก ยังได้เอามาถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้

คนมีกิเลสไปอ่านพระไตรปิฎก ไปเรียนพระไตรปิฎก เช่น อภิธรรมนี้ ถกเถียงกันยุ่งไปหมดเห็นไหมนั่น เพราะคนมีกิเลส ธรรมเป็นของจริงแค่ไหน หัวใจไม่ได้จริง ใจปลอม มันก็ถกเถียงกันเพราะความปลอมไม่ใช่เพราะความจริง ถ้าผู้ปฏิบัติแล้วมองดูที่ไหนก็รู้หมด เหมือนช้างตัวหนึ่งนั่นละ อันไหนเป็นหางช้าง อันไหนเป็นงวงช้าง อะไรเป็นงา อะไรเป็นหู อะไรเป็นสีข้างมันก็รู้หมดคนตาดี ๆ คนตาบอดไปคลำ คลำตรงไหนก็ว่าช้างเหมือนนั้นเหมือนนี้ไป ก็อย่างนั้นแหละ

ใครเรียนที่ตรงไหนก็ไปยึดกรรมสิทธิ์ อวดอำนาจความรู้ความฉลาดของตนขึ้นจากความจำนั้น แฝงความจำไปอีก เป็นปลอม ๆ ไปอีก เอามาโต้กันเสียเป็นบ้าน้ำลายโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าหากปฏิบัติให้รู้ตามความจริงของธรรมที่ท่านสอนไว้ การประพฤติธรรมทั้งหมดอยู่ที่ไหน จิต เจตสิก รูป นิพพานนอกเหนือไปจากจิตนี้กับกายนี้ได้ยังไง เจตสิกก็ให้คิด แน่ะ จิตก็อะไรรู้ ๆ อยู่ทุกวันนี้ รูปก็รูปอะไร รูปธรรม นามธรรม ก็เท่านั้น ก็จะไปถามใคร ไปโต้เถียงกันให้เสียเวล่ำเวลาทำไมถ้าไม่ใช่ตาบอดคลำช้าง

ท่านให้ปฏิบัติซีให้รู้ซี ใครรู้มากน้อยเท่าไรอาจหาญ ทำไมจะไม่อาจหาญ สัมผัสด้วยใจรู้ด้วยใจ เพราะปฏิบัติด้วยใจนี่ ใจเป็นผู้ปฏิบัติ ใจเป็นผู้ค้นคว้าในธรรมทั้งหลายในกิเลสทั้งหลาย ต้องรู้ทั้งกิเลสหยาบ กลาง ละเอียด รู้ทั้งธรรมอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างละเอียดสุดสิ้นพ้นความละเอียดไปจนถึงความบริสุทธิ์ จะไม่รู้ที่ใจอะไรจะเป็นผู้รู้ อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดให้เสียเวล่ำเวลา เราพูดด้วยความแน่ใจอย่างนี้เอง

เราไม่ได้ประมาทปริยัติธรรม เราไม่ประมาท เราถือ เรากราบ เราไหว้สนิทใจเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า พระธรรมที่ไม่ใช่ในตำรานั้น และพระสงฆ์สาวกอรหัตอรหันต์ท่าน เรากราบสนิทใจด้วยกัน เราไม่ได้ประมาทธรรมทั้งหลาย ขอให้รู้ที่ใจมันยิ่งสนิทลงไปอีก กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กราบสนิทยิ่งกว่าอะไรอีก ขอให้จิตสนิทตัวเถอะ ทำอะไร ๆ สนิททั้งนั้น ถ้าจิตไม่สนิทแล้วทำอะไรมันก็ดีด ๆ ดิ้น ๆ มันไม่จริงไม่จัง ถ้าจิตเข้าถึงความจริงเสียแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ดีดไม่ดิ้น จริงจังไปด้วยกันทั้งหมด

อะไรจะจริงยิ่งกว่าธรรม ใจเป็นผู้ทรงธรรม ธรรมกับใจอยู่ด้วยกัน การแสดงออกจะมีลุ่ม ๆ ดอน ๆ มีดีด ๆ ดิ้น ๆ หลอก ๆ ลวง ๆ ได้ยังไง มันต้องเป็นจริงออกมาทุกอย่าง ๆ พูดออกมาก็อาจหาญถ้าได้รู้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นสมาธิ และไม่ว่าสมาธิขั้นใดผู้รู้ต้องอาจหาญ เพราะรู้ด้วยตัวเองนี่พูดออกมาด้วยความรู้ความเห็นของตัวเอง ถอดออกมาจากหัวใจนี้จะสะทกสะท้านไปไหน ความจริงเป็นอย่างนี้ ๆ ใครจะเชื่อไม่เชื่อไม่สนใจ นั่นถึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ได้เห็นประจักษ์ด้วยตัวเองแล้วจะว่าไง

ปัญญาความคิดค้นคว้าหาเหตุหาผล หากิเลสประเภทต่าง ๆ มันติดมันเกี่ยวข้องผูกพันกับสิ่งใดอารมณ์ใด เอานำมาคลี่คลายขยายออกให้เห็นทั้งเหตุทั้งผลของมันอย่างชัดเจนด้วยปัญญาแล้วมันก็ปล่อยของมันเอง ไม่บังคับมันก็ปล่อยเมื่อรู้ชัด ๆ แล้ว เหมือนกับคนจับงูนั่น มือควานลงไปในสุ่ม เข้าใจว่าปลา จับขึ้นมาเข้าใจว่าปลาไหลละซี ลากคองูขึ้นมา พอรู้ว่างูเท่านั้นไม่ต้องบอก มันสลัดปั๊วะเดียวเลย เห็นโทษขนาดไหน เรื่องความเห็นโทษของกิเลสก็ต้องอย่างนั้น เห็นด้วยปัญญาเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เห็นแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ด้วยความจดความจำ คาดวาดภาพเอาหลอกตัวเองอยู่วันยังค่ำคืนยังรุ่ง คือไม่เห็นความจริงมันก็วาด เมื่อเห็นความจริงแล้วภาพไหนที่เคยวาดมามันล้มละลายไปหมด ภาพที่เคยหลอกลวง

ให้พากันปฏิบัติ อย่าสนใจกับสิ่งอื่นใดว่าจะเป็นของเลิศของประเสริฐ ยิ่งไปกว่าจิตกับธรรมเข้าสัมผัสสัมพันธ์กัน และยิ่งกว่าจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน นี่คือความประเสริฐเลิศโลกไม่มีสิ่งใดเสมอเลย อยู่ไหนก็อยู่เถอะขอให้จิตกับธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ไม่มีละเรื่องอดีตอนาคต ไม่วิตกวิจารณ์ให้เป็นความหนักใจเบาใจกับสิ่งใด ซึ่งเป็นเครื่องเขย่าจิตใจให้ผิดจากความปกติ อันสมบูรณ์อยู่ดั้งเดิมของตนที่บริสุทธิ์แล้วนั้น มีความสม่ำเสมอตัวอยู่อย่างนั้น

ตายจะไปเกิดที่ไหนมันก็รู้อยู่ชัด ๆ อยู่กับใจนั้นแล้ว จะไปเกิดที่ไหนไม่เกิดที่ไหนมันก็รู้อยู่แล้ว ถึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก เห็นประจักษ์ ความเห็นประจักษ์ก็ด้วยการประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่ขั้นล้มลุกคลุกคลาน ตั้งแต่สมาธิถึงขั้นปัญญาโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถอดถอนเสียไม่ว่ากิเลสประเภทใด ที่เป็นเครื่องฝังจมเหมือนกับลูกศรทิ่มแทงหัวใจอยู่นี้ ออกหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว อะไรจะมาเป็นภัย กิเลสของเรานั่นแหละเป็นภัยต่อเรา เราอย่าไปคิดถึงรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มันเป็นภัย นั่นเป็นขั้นหนึ่งซึ่งเป็นขั้นหยาบ ๆ

ผู้ปฏิบัติจะต้อง โอปนยิโก ต้องปฏิบัติย้อนเข้ามา ๆ จนถึงจิต แล้วภัยอะไร ๆ ที่เกิดจากจิต เห็นโทษกันในจิต ความคิดความปรุงความสำคัญมั่นหมายใด ๆ ที่จิตไปเกี่ยวข้อง จิตปรุงแต่ง ไปสำคัญมั่นหมายกับสิ่งใด ๆ นั้นเป็นไปจากจิต อาการของจิตที่แสดงออกโดยที่เจ้าตัวไม่ทราบทางด้านสติปัญญา เพราะสติปัญญายังไม่สมบูรณ์ก็หลงสิ่งนั้น ๆ เมื่อสติปัญญาซึ่งได้รับการอบรมอยู่เสมอ มีความแกล้วกล้าสามารถไปโดยลำดับแล้ว แม้แต่ขณะจิตที่แสดงออกปรุงถึงรูปนั้น เสียงนี้ กลิ่นนั้นอะไรอย่างนี้ มันรู้ทันที ๆ ไม่มีอะไรเป็นภัยนะ มันมีตั้งแต่เรื่องขันธ์ ๕ นี่เป็นภัยต่อจิตใจอยู่เท่านี้

รูปเขาก็เป็นรูปมีมาแต่ดั้งเดิมตั้งแต่เรายังไม่เกิด เสียงก็มีมาตั้งแต่เรายังไม่เกิด ผลัดเปลี่ยนวนเวียนกันไปมาอยู่เช่นนี้ กลิ่น รส เครื่องสัมผัสก็เหมือนกัน มันอยู่ตามสภาพของมัน เราจะว่ามันมีไม่มี ว่ามันดีไม่ดีมันก็ไม่มีความรู้สึกมีความหมายในตัวเองของมัน นอกจากจิตเจ้าตัวจอมโง่และจอมมายาสาไถยหลอกลวงตัวเองให้ไปติดกับมัน โดยสำคัญว่าสิ่งนั้นเป็นนั้น สิ่งนี้เป็นนี้ อันนั้นดีอันนี้ดี ไม่มีอย่างอื่นที่มาหลอก

นี่ปัญญาเมื่อเวลาพิจารณาแล้วตะล่อมเข้ามา มันรู้ตัว ทีนี้จิตจะไปคิดให้เสียเวล่ำเวลาอะไร รูปก็รูปแล้วนั่น จะคิดให้มันเป็นอะไร ปรุงขึ้นมาทำไม เสียงก็เสียง กลิ่นก็กลิ่น รสก็รส มันมีอยู่ตามหลักธรรมชาติของมัน เวลานอนหลับสนิทไม่เห็นไปคิด ไม่มีฝันแล้วไม่เห็นสิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวข้อง เหมือนกับมันไม่มี มันไปอยู่ไหน เวลาจิตดับกิเลสอย่างสนิทแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เห็นเข้าไปเกี่ยวข้อง ใจเป็นยังไงเวลานี้มันถึงเกี่ยวข้องนัก ก็เพราะว่ามันมีสายโยงกันยุ่งอยู่ภายใน เราตัดมันยังไม่ขาด ปัญญาจึงย้อนเข้ามาพิจารณาให้เห็นตามความจริงของมัน

อย่าลดละความเพียร อย่าเห็นอะไรมีคุณค่ายิ่งกว่างาน คือ การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี้คืองานเลิศงานประเสริฐ งานรื้อวัฏสงสารออกจากจิตใจ คืองานอันนี้แล พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญด้วยงานอันนี้มาตลอด จนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลก พระสาวกก็เหมือนกัน ไม่มีงานอะไรที่จะทำให้ท่านวิเศษวิโสได้ยิ่งกว่างานเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา พินิจพิจารณาด้วยสติปัญญาเกี่ยวข้องกับกิเลสประเภทใด ๆ จนรู้แจ้งเห็นจริงแล้วถอดถอนได้โดยลำดับ ๆ จนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิงเพราะงานประเภทนี้ นี่จึงว่าเป็นงานประเสริฐและยังผลประเสริฐให้เกิดขึ้นภายในตน แล้วหมดกังวล

โลกจะมีกี่โลกก็ช่างมันเถอะไม่ต้องไปนับให้เสียเวลา มันมีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านจักรวาลก็ช่างมันเถอะ มันเป็นเรื่องของสภาวธรรมแต่ละอย่าง ๆ สำคัญที่จิตที่มันกวนตัวเองนี้เท่านั้นละ ก่อภัยก็คือเรื่องก่อกวนตัวเองที่ออกจากขันธ์ ขันธ์นี่มันมีเชื้ออันใหญ่โตเป็นเครื่องหนุนหลังอยู่นี่ คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา จะว่าไง จะไปหาที่ไหนหาอวิชชา มันฝังจมอยู่ภายในใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องเบิกออก ๆ ถากถางเข้าไป มันเกี่ยวโยงไปถึงไหนตามพิจารณามัน เกี่ยวกับรูป รูปไหนค้นลงไปให้เห็นตามความจริงของรูป แล้วมันก็มารู้เรื่องความสำคัญมั่นหมายของตัวเองโดยลำดับ ๆ หลายครั้งหลายหนมันเข้าใจเอง แล้วปล่อยเข้ามา ๆ เป็นวงแคบ

ทีแรกก็กว้างขวางปัญญานี่ เพราะมันยังไม่เข้าใจในสิ่งใด อยากรู้อยากเข้าใจอยากเห็นอยากถอดอยากถอน มันก็ต้องเป็นเต็มเหนี่ยวของมัน จนกระทั่งเข้าใจแล้วมันจะเหาะเหินเดินฟ้าไปไหนสติปัญญามันก็ย้อนตัวเข้ามาหาที่ติดที่ข้อง ตามสายเข้ามานั่นซิ สายหลงมันออกไปนู่น ออกไปจากจิตนี้แล้วก็ไปโน้น ๆ ระโยงระยางเป็นภาพนั้นภาพนี้หลอกเจ้าของอยู่โน้น เช่น ภาพบ้านภาพเมือง ภาพหญิงภาพชาย ภาพเรื่องนั้นเรื่องนี้ ระโยงระยางรอบตัว

มีตั้งแต่ภาพออกไปจากขันธ์ออกไปหลอก พิจารณาสิ่งนั้นก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วตัวที่ไปวาดภาพนี้มันก็ดับไป ถ้าเราทันมันแล้วมันก็ดับ เพียงแย็บเท่านั้นยังไม่เป็นภาพมันก็ดับแล้ว ถ้าไม่ทันละ โห มันก่อแขนงออกไปยาวเหยียดจนหาจุดหมายปลายทางไม่ได้ แล้วหลงมันจนจะตายก็ไม่มีวันเห็นโทษ หาที่ยุติไม่ได้ ถ้าปล่อยไปตามกิเลสแล้วเป็นอย่างนั้น ปล่อยให้ปัญญาพิจารณาตามนั้น ตามได้รู้ได้ เมื่อรู้ได้ก็ตัดได้ขาดเข้ามาเป็นลำดับ ๆ ผลสุดท้ายก็มีแต่เรื่องออกไปจากขันธ์ ขันธ์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องผลักดันออกมา นั่นปัญญา นี่ละงานประเสริฐ ให้จริงให้จังกับงานนี้ อย่าลดละปล่อยวาง

อย่าเห็นว่าอะไรจะเลิศยิ่งกว่างานนี้ อย่าเห็นสมบัติใดว่าจะเลิศยิ่งกว่าสมบัติคือธรรมสมบัติภายในใจ ซึ่งเราค้นคว้าหามาได้เอง เป็นสมบัติของเราโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นจะตายเป็นตัวของตัวโดยสมบูรณ์ อย่าไปหลงโลกหลงสงสาร โลกนอกโลกในมันเป็นโลกด้วยกัน ก่อความทุกข์ได้ด้วยกันทั้งนั้น ให้รู้เท่าโลกด้วยการพิจารณาทางสติปัญญาให้รอบคอบขอบชิด ย่อมจะรู้ทั้งโลกนอก รู้ทั้งโลกใน เมื่อรู้เสียทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจิตใจจะวิ่งเต้นเผ่นกระโดดไปไหน

เท่าที่มันวิ่งเต้นเผ่นกระโดดก็เพราะไม่รู้ มีสิ่งผลักดันให้มันต้องวิ่งเต้นเผ่นกระโดดไปไม่มีวันมีคืนยืนเดินนั่งนอน มีแต่ความคิดความปรุงความยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา เมื่อเข้าใจด้วยสติปัญญาแล้วจะไปไหน ย่อมเข้าสู่ความปกติของตนโดยสบายเท่านั้นเอง ผลก็คือสันติธรรม เป็นขั้น ๆ ความสงบก็เรียกว่าสันติ สงบด้วยสมาธิก็เป็นสันติ สงบเพราะกิเลสมันขาดไปโดยลำดับ ๆ ก็เป็นสันติ กิเลสขาดไปเสียไม่มีอะไรเหลือเลย นั่น นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ไม่มีความสงบอื่นใดที่จะยิ่งไปกว่าความสงบเพราะการสิ้นกิเลสนี้ เราเพิ่มเข้าไปอย่างนี้ก็ได้ เอาให้จริงให้จัง

ผู้มาศึกษาอบรมอย่ามานอนใจ อย่ามาประมาท ไม่ว่ากิจนอกการในให้ตั้งหน้าตั้งตาทำด้วยความขยันหมั่นเพียร ทำด้วยความจงใจจริง ๆ อย่าสักแต่ว่ามาอยู่เฉย ๆ สถานที่นี้ไม่ใช่มาล้างมือเปิบ ต่างคนต่างมาเสาะแสวงหาคุณงามความดี อันใดที่เป็นสารประโยชน์จากการปฏิบัติของเราแล้วให้ทำ ไม่ว่าจะกิจภายนอกเกี่ยวกับหมู่เพื่อนก็รับปฏิบัติ ให้ทำจริง ๆ จัง ๆ อย่าทำเล่น ถ้าทำเล่นทำไม่จริงไม่จังแล้ว เข้าไปภายในก็เหมือนกัน เพราะใจดวงนี้ ต้องจริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าเป็นความชอบธรรมกับข้อปฏิบัติแล้ว เอา เอาให้จริงจัง นั่นผู้ปฏิบัติต้องเป็นอย่างนั้น

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=873&CatID=3
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่