มันมีอะไรบ้างในโลกแห่งขันธ์นี้ เราตั้งความหวังเพื่ออะไร ตั้งปัญหาถามตัวเองซิ ถามคนอื่นไม่ได้เรื่อง
ดีไม่ดีทะเลาะกันเปล่า ๆ จงตั้งปัญหาถามตัวเองเพราะคดีที่เกี่ยวข้องกันมันมีอยู่ที่ใจดวงเดียวนี้
ระหว่าง
สมุทัยกับมรรคโต้วาทีหรือรบกันก็รบที่จิต ถือจิตเป็นสนามรบ
รบกันที่นี่ สู้กันที่นี่ ให้เห็นดำเห็นแดงกันที่นี่
อย่าหวังเอาชัยชนะ อย่าหวังเอาความประเสริฐเลิศเลอที่ไหน
นอกไปจากการรู้เหตุรู้ผลระหว่างกิเลสกับธรรมในใจดวงนี้ และ
แก้กันที่นี่ด้วยความเพียรอันเข้มแข็งเท่านั้น
จงประมวลมาว่า ไม่มีสิ่งใดจะตอบสนองความต้องการของเราให้เป็นที่พึงใจได้
นอกจากความเพียรเพื่อความหลุดพ้น สมกับเราเป็นนักบวชและนักปฏิบัติ ความประเสริฐอยู่ตรงนี้
ความเป็นข้าศึกและเคยเป็นข้าศึกก็อยู่ตรงนี้
แก้ก็แก้ลงตรงนี้ให้ถูกจุดของหลักสัจธรรม
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริงเต็มส่วนอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นของจริง แต่ทำไมโลกจึงกลัวกันนักหนาเรื่องทุกข์
ก็เพราะหัวใจปลอม จากความผสมคละเคล้ากับกิเลสตัวจอมปลอม ใจถึงได้กลัว เพราะมีสิ่งพาให้กลัว
ความกลัวนั้นคือตัวสมุทัย จึงทำให้ผู้ที่กลัวนั้นเกิดทุกข์เป็นลำดับ กลัวมากยิ่งทุกข์มาก
สัตว์โลกก็ไม่ทราบว่าความกลัวนั้นเป็นภัยแก่ตัวเอง จึงทุกข์หลายชั้นหลายเชิง
.........................................
การฝืนกิเลสนั้นต้องฝืน ฝืนให้สุดขีดสุดแดน
เพราะได้เชื่อกิเลสคล้อยตามกิเลส
โดยไม่สำนึกตัวเลยว่า กิเลสเป็นข้าศึกแก่ตัวมาเป็นเวลานานแล้ว
เวลานี้ได้มาศึกษาอบรมธรรมะซึ่งเป็นเครื่องชี้ผิดชี้ถูก เป็นเครื่องทดสอบยืนยันซึ่งกันและกันได้แล้วว่า
ธรรมเป็นของประเสริฐ กิเลสเป็นของต่ำช้าเลวทราม ไม่ว่าจะหมักหมมอยู่ภายในจิตใจ
ไม่ว่าจะแสดงกิริยาออกมาจากความคิดความปรุง การพูดการจา การกระทำ เป็นสิ่งที่ต่ำทรามด้วยกัน
ไม่ยังผลให้เกิดสุขอันพึงหวังเหมือนธรรมเลย ดี-ชั่ว สุข-ทุกข์
ระหว่างกิเลสกับธรรมเดินสวนทางกัน
เดินหันหลังให้กันแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยลงรอยกับความถูกความจริงคือธรรมเลย
เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้ปฏิบัติศาสนา เป็นผู้รักษาจิตใจ ปฏิบัติจิตใจ จึงต้องมีความเข้มงวดกวดขันต่อภัยของกิเลสทุกประเภท
ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในและออกเที่ยวกว้านเอาสิ่งต่าง ๆ ภายนอกมาเป็นอารมณ์เผาลนตัว
.......................................
ความหลงน่ะ หลงกันจนไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือน หลงมานานเท่าไร
โลกเคยมีความอิ่มพอกันเมื่อไร ยิ่งดื่มด่ำกว่าเขาติดเฮโรอีน
กลอุบายใด ๆ ของกิเลสมันเป็นเยี่ยมทั้งนั้น ไม่มีคำว่าเลว ล้าสมัย ไร้ค่า มีแต่ทันสมัยหรือล้ำยุคมาตลอดไปตลอด
อย่าพากันหวังจับหรือฆ่ากิเลสตัวล้าหลัง ด้วยความเพียรแบบกอนแล้วนิน กินแล้วนอน
แม้ประเภทละเอียด มันก็สามารถหลอกสติปัญญาขั้นละเอียดได้อีกเช่นเดียวกัน
เพียงขั้นหยาบ ๆ นี้ เราก็เห็นกันได้อย่างชัด ๆ ไม่น่าสงสัยแล้วว่ากิเลสมันแหลมคมขนาดไหน
จึงหลอกคนได้ทุกแง่ทุกมุมและทุกประเภทแห่งมวลสัตว์ ไม่มีใครรู้สึกตัวว่า ตัวได้เสียเปรียบให้กิเลส
นอกจากนักปฏิบัติที่ปักสติปัญญาเข้าสู่ใจ ตั้งหลักไว้ที่ใจ ความคิดปรุงต่าง ๆ จะออกไปในแง่ใด แง่ความโลภหรือความโกรธ
หรือความหลงหรือราคะตัณหา คือความรักความชอบประการใด จะแสดงขึ้นมาที่จิตนี้ก่อนอื่น
-----------------------------------------
อริยสัจ ๔ - พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
อ่านเนื้อหาเต็มได้จาก
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1480&CatID=3
การฝืนกิเลสนั้นต้องฝืน ฝืนให้สุดขีดสุดแดน
มันมีอะไรบ้างในโลกแห่งขันธ์นี้ เราตั้งความหวังเพื่ออะไร ตั้งปัญหาถามตัวเองซิ ถามคนอื่นไม่ได้เรื่อง
ดีไม่ดีทะเลาะกันเปล่า ๆ จงตั้งปัญหาถามตัวเองเพราะคดีที่เกี่ยวข้องกันมันมีอยู่ที่ใจดวงเดียวนี้
ระหว่างสมุทัยกับมรรคโต้วาทีหรือรบกันก็รบที่จิต ถือจิตเป็นสนามรบ
รบกันที่นี่ สู้กันที่นี่ ให้เห็นดำเห็นแดงกันที่นี่
อย่าหวังเอาชัยชนะ อย่าหวังเอาความประเสริฐเลิศเลอที่ไหน
นอกไปจากการรู้เหตุรู้ผลระหว่างกิเลสกับธรรมในใจดวงนี้ และแก้กันที่นี่ด้วยความเพียรอันเข้มแข็งเท่านั้น
จงประมวลมาว่า ไม่มีสิ่งใดจะตอบสนองความต้องการของเราให้เป็นที่พึงใจได้
นอกจากความเพียรเพื่อความหลุดพ้น สมกับเราเป็นนักบวชและนักปฏิบัติ ความประเสริฐอยู่ตรงนี้
ความเป็นข้าศึกและเคยเป็นข้าศึกก็อยู่ตรงนี้ แก้ก็แก้ลงตรงนี้ให้ถูกจุดของหลักสัจธรรม
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริงเต็มส่วนอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นของจริง แต่ทำไมโลกจึงกลัวกันนักหนาเรื่องทุกข์
ก็เพราะหัวใจปลอม จากความผสมคละเคล้ากับกิเลสตัวจอมปลอม ใจถึงได้กลัว เพราะมีสิ่งพาให้กลัว
ความกลัวนั้นคือตัวสมุทัย จึงทำให้ผู้ที่กลัวนั้นเกิดทุกข์เป็นลำดับ กลัวมากยิ่งทุกข์มาก
สัตว์โลกก็ไม่ทราบว่าความกลัวนั้นเป็นภัยแก่ตัวเอง จึงทุกข์หลายชั้นหลายเชิง
.........................................
การฝืนกิเลสนั้นต้องฝืน ฝืนให้สุดขีดสุดแดน
เพราะได้เชื่อกิเลสคล้อยตามกิเลส โดยไม่สำนึกตัวเลยว่า กิเลสเป็นข้าศึกแก่ตัวมาเป็นเวลานานแล้ว
เวลานี้ได้มาศึกษาอบรมธรรมะซึ่งเป็นเครื่องชี้ผิดชี้ถูก เป็นเครื่องทดสอบยืนยันซึ่งกันและกันได้แล้วว่า
ธรรมเป็นของประเสริฐ กิเลสเป็นของต่ำช้าเลวทราม ไม่ว่าจะหมักหมมอยู่ภายในจิตใจ
ไม่ว่าจะแสดงกิริยาออกมาจากความคิดความปรุง การพูดการจา การกระทำ เป็นสิ่งที่ต่ำทรามด้วยกัน
ไม่ยังผลให้เกิดสุขอันพึงหวังเหมือนธรรมเลย ดี-ชั่ว สุข-ทุกข์ ระหว่างกิเลสกับธรรมเดินสวนทางกัน
เดินหันหลังให้กันแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยลงรอยกับความถูกความจริงคือธรรมเลย
เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้ปฏิบัติศาสนา เป็นผู้รักษาจิตใจ ปฏิบัติจิตใจ จึงต้องมีความเข้มงวดกวดขันต่อภัยของกิเลสทุกประเภท
ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในและออกเที่ยวกว้านเอาสิ่งต่าง ๆ ภายนอกมาเป็นอารมณ์เผาลนตัว
.......................................
ความหลงน่ะ หลงกันจนไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือน หลงมานานเท่าไร
โลกเคยมีความอิ่มพอกันเมื่อไร ยิ่งดื่มด่ำกว่าเขาติดเฮโรอีน
กลอุบายใด ๆ ของกิเลสมันเป็นเยี่ยมทั้งนั้น ไม่มีคำว่าเลว ล้าสมัย ไร้ค่า มีแต่ทันสมัยหรือล้ำยุคมาตลอดไปตลอด
อย่าพากันหวังจับหรือฆ่ากิเลสตัวล้าหลัง ด้วยความเพียรแบบกอนแล้วนิน กินแล้วนอน
แม้ประเภทละเอียด มันก็สามารถหลอกสติปัญญาขั้นละเอียดได้อีกเช่นเดียวกัน
เพียงขั้นหยาบ ๆ นี้ เราก็เห็นกันได้อย่างชัด ๆ ไม่น่าสงสัยแล้วว่ากิเลสมันแหลมคมขนาดไหน
จึงหลอกคนได้ทุกแง่ทุกมุมและทุกประเภทแห่งมวลสัตว์ ไม่มีใครรู้สึกตัวว่า ตัวได้เสียเปรียบให้กิเลส
นอกจากนักปฏิบัติที่ปักสติปัญญาเข้าสู่ใจ ตั้งหลักไว้ที่ใจ ความคิดปรุงต่าง ๆ จะออกไปในแง่ใด แง่ความโลภหรือความโกรธ
หรือความหลงหรือราคะตัณหา คือความรักความชอบประการใด จะแสดงขึ้นมาที่จิตนี้ก่อนอื่น
-----------------------------------------
อริยสัจ ๔ - พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
อ่านเนื้อหาเต็มได้จาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1480&CatID=3