ก่อนอื่น ต้องอย่าทำตัวเป็นนกกระจอกไปตัดสินพญาครุฑ เอาเกณฑ์ตัวเองมาตัดสินพระโพธิสัตว์
โดยผมจะค่อยๆอธิบายไล่ลำดับไป
เรื่องแรก คือเบียดเบียนหรือไม่
ในยุคพระเวสสันดร ไม่ได้มีแค่พระโพธิสัตว์เท่านั้น แต่ก็มีเหล่าคู่บารมีทั้งหลายอยู่ร่วมกันด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนามหาเวสสันดรชาดก ซึ่งประดับด้วยคาถาประมาณ ๑,๐๐๐ คาถานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน มหาเมฆก็ยังฝนโบกขรพรรษให้ตก ในที่ประชุมแห่งพระประยูรญาติของเรา อย่างนี้เหมือนกัน.
ตรัสดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พราหมณ์ชูชกในกาลนั้น คือ ภิกษุเทวทัต.
นางอมิตตตาปนา คือ นางจิญจมาณวิกา.
พรานเจตบุตร คือ ภิกษุฉันนะ.
อัจจุตดาบส คือ ภิกษุสารีบุตร.
ท้าวสักกเทวราช คือ ภิกษุอนุรุทธะ.
พระเจ้าสญชัยนรินทรราช คือ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช.
พระนางผุสดีเทวี คือ พระนางสิริมหามายา.
พระนางมัทรีเทวี คือ ยโสธราพิมพา มารดาราหุล.
ชาลีกุมาร คือ ราหุล.
กัณหาชินา คือ ภิกษุณีอุบลวรรณา.
ราชบริษัทนอกนี้ คือ พุทธบริษัท.
ก็พระเวสสันดรราช คือ เราเองผู้สัมมาสัมพุทธเจ้า แล.
พึงเข้าใจแต่เริ่มว่า เหตุที่เหล่าคู่บารมีเหล่านี้ได้เกิดมาอยู่ร่วมกัน ร่วมเหตุการณ์ต่างๆกัน
เป็นเพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ได้ตั้งความปรารถนา
ขอให้ได้เป็นมารดา/ชายา/บุตร/พระอสีติสาวกด้านต่างๆของพระพุทธเจ้าไว้อยู่แล้วตั้งแต่ชาติปางก่อนทั้งสิ้น
ตรงนี้หาอ่านได้จากประวัติพระสาวกทั้งหลายและอรรถกถา
ดังนั้นท่านเหล่านี้ไม่ใช่พวกไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จับพลัดจับผลูมาเป็นลูกเมียเป็นพ่อแม่ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตั้งใจไว้ก่อนตั้งแต่แรกทั้งนั้น
แม้กระทั่งที่เป็นชูชกหรือเทวทัตในชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเอง ก็ได้ตั้งความปรารถนาจะจองล้างจองผลาญมาแต่ต้น
ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตนเพื่อบำเพ็ญบารมีของตัวเอง และสนับสนุนการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น
อย่าคิดสั้นๆแล้วเอามาตรฐานนกกระจอกไปตัดสินพญาครุฑ แบบสั้นๆง่ายๆว่า
การมอบลูกเมียเป็นทาสเขาเป็นการเบียดเบียน
ในเมื่อลูกเมียก็เต็มใจตั้งแต่เริ่มต้นตั้งความปรารถนาว่าจะบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพ่อแม่ลูกพระอสีติสาวกด้านต่างๆของพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น
ทีนี้มามองน้ำใจพระโพธิสัตว์เอง แม้กระทั่งตอนพระองค์อายุ 8ขวบ ก็ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าปรารถนาจะบำเพ็ญทานบารมีเพื่อพระโพธิญาณ
อย่าว่าแต่ทรัพย์เลย ต่อห้ใครมาขอร่างกาย ดวงตา หัวใจ เลือดเนื้อ พระองค์ก็ให้โดยไม่เสียดาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ก็ในกาลเมื่อพระราชกุมารมีพระชนมพรรษา ๘ ปี พระราชกุมารเสด็จไปสู่ปราสาทอันประเสริฐ ประทับนั่งบนพระยี่ภู่ทรงคิดว่า เราให้ทานภายนอกอย่างเดียว. ทานนั้นหายังเราให้ยินดีไม่. เราใคร่จะให้ทานภายใน. แม้ถ้าใครๆ พึงขอหทัยของเรา เราจะพึงให้ผ่าอุระประเทศ นำหทัยออกให้แก่ผู้นั้น. ถ้าเขาขอจักษุทั้งหลายของเรา เราก็จะควักจักษุให้. ถ้าเขาขอเนื้อในสรีระเราจะเชือดเนื้อ แต่สรีระทั้งสิ้นให้. ถ้าแม้ใครๆ พึงขอโลหิตของเรา เราก็จะพึงถือเอาโลหิตให้. หรือว่าใครๆ พึงกล่าวกะเราว่า ท่านจงเป็นทาสของข้า เราก็ยินดียอมตัวเป็นทาสแห่งผู้นั้น.
และแม้ขณะที่พระองค์ถูกชาวเมืองขับไล่ ก็ได้บอกกับพระมเหสีแต่ต้นแล้วว่า เลิกกันนะ เธอเก็บทรัพย์ส่วนตัวเธอไว้ แล้วเอาทรัพย์เราไปด้วย
เพราะเราจะต้องไปตกระกำลำบากแบบนี้ๆ แต่ยังไงๆเราก็จะไม่ล้มเลิกเพื่อพระโพธิญาณ
พระมเหสีเองก็รับรู้และยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย
เรื่องที่สอง ทานบารมีเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำแปลว่าพระโพธิสัตว์ทำบาปด้วยการเบียดเบียนลูก
ทีนี้มาถึงเหตุการณ์ให้บุตรแก่ชูชก
นกกระจอกบางตัวที่ไปตัดสินพญาครุฑ อ้างอรรถกถาว่าทานบารมีเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
แล้วไปสรุปด้วยความด้อยปัญญาของตัวเองว่า นั่นไง พระโพธิสัตว์ทำบาปด้วยการเบียดเบียนลูก จึงเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
แต่แท้จริงแล้ว เหตุที่เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ ไม่ใช่เพราะเรื่องเบียดเบียนลูก
จะเบียดเบียนได้อย่างไร ในเมื่อก็ตั้งความปรารถนามาตั้งแต่ต้นว่าจะร่วมบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระอสีติสาวก
ก็รับรู้กันอยู่ว่าจะต้องเผชิญชะตากรรมแสนยากลำบากไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มตั้งความปรารถนา
ดังนั้นส่วนที่เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ จึงไม่ใช่เรื่องนี้
แต่เป็นเรื่องจิตของพระโพธิสัตว์ขณะมอบปิยบุตรทานนั้น เจือไว้ด้วยโทสะและโมหะ
กล่าวคือขณะเห็นชูชกทรมานลูกตัวเอง ก็ทั้งเสียใจทุกข์ทรมาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้น พระเวสสันดรราชขัตติยดาบสทรงบริจาคปิยบุตรทาน แล้วเสด็จเข้าสู่บรรณศาลา ทรงคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร.
คาถาแสดงการพร่ำรำพันของพระมหาสัตว์มีดังต่อไปนี้
วันนี้ เด็กทั้งสองจะเป็นอย่างไรหนอ หิว กลัว เดินทาง ร้องไห้ เวลาเย็นบริโภคอาหาร. ใครจะให้โภชนาหารแก่เด็กทั้งสองนั้น. เด็กทั้งสองจะร้องขออาหารว่า แม่จ๋า หม่อมฉันทั้งสองหิว ขอเสด็จแม่จงประทานอาหารแก่หม่อมฉันทั้งสอง. เด็กทั้งสองดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ไม่มีรองพระบาท จะดำเนินไปตามหนทาง อย่างไรหนอ. เมื่อเด็กทั้งสองมีพระบาทพองบวมทั้งสองข้าง ใครจักจูงหัตถ์เธอทั้งสองไป ชูชกตีลูกๆ ผู้ไม่ประทุษร้ายต่อหน้าเรา แกช่างไม่อดสูแก่ใจบ้างเลยหนอ แกเป็นอลัชชีแท้ ใครที่มีความอดสูแก่ใจ จักกล้าตีทาสีทาส หรือคนใช้อื่นของเราที่สละให้แล้วได้ ชูชกแกด่าตีลูกๆ ที่รักของเราทั้งเห็นต่อตา ดุจคนหาปลา ตีปลาที่ติดอยู่ในปากแห.
ทั้งโกรธจนแทบอยากจะลุกมาฆ่าชูชกนั้นเสีย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ครั้งนั้น ความปริวิตกได้เกิดขึ้นแก่พระเวสสันดรมหาสัตว์ ด้วยทรงสิเนหาในพระโอรสและพระธิดาอย่างนี้ว่า พราหมณ์นี้เบียดเบียน ลูกทั้งสองของเราเหลือเกิน เมื่อไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ดังนี้ เราจักติดตามไปฆ่าพราหมณ์เสีย แล้วนำลูกทั้งสองกลับมา แต่นั้น กลับทรงหวนคิดได้ว่า การที่ลูกเราทั้งสองถูกเบียดเบียน เป็นความลำบากยิ่ง นั่นไม่ใช่ฐานะ การบริจาคปิยบุตรทานแล้ว จะเดือดร้อนภายหลัง หาใช่ธรรมของสัตบุรุษไม่.
แต่เพื่อพระโพธิญาณ แม้จะทุกข์เพียงใดพระองค์ก็ยอมทำ
นั่นคือเหตุที่บอกว่าทานบารมีครั้งนี้เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
คือจิตขณะให้ทานยังเจือด้วยอุปาทาน โทสะ โมหะ แต่ยอมสละเพื่อพระโพธิญาณ
ไม่ได้บอกว่าการบำเพ็ญบารมีนั้นเป็นบาป
ทั้งนี้พระองค์ก็ได้บอกแก่ชูชกตั้งแต่ต้นว่าให้ไปพบปู่แล้วจะได้รับเงินทองและบอกแก่ลูกทั้งสองว่าค่าไถ่ของลูกแต่ละคนเท่านี้ๆนะ
กระทั่งเมื่อพระมเหสีกลับมาได้รับรู้เรื่องราว ก็เศร้าโศกเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา
แต่แล้วพระมหเสีเองก็เห็นด้วยและอนุโมทนากับทานบารมีที่พระองค์ได้กระทำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ พระนางมัทรีทูลว่า
ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันขออนุโมทนาปิยบุตรทานอันอุดมของพระองค์ พระองค์ทรงบริจาคทานแล้ว จงยังพระหฤทัยให้เลื่อมใส ขอจงทรงบำเพ็ญทานให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด ข้าแต่พระชนาธิปราช ในเมื่อชนทั้งหลายมีความตระหนี่ พระองค์ผู้ยังแคว้นของชาวสีพีให้เจริญ ได้ทรงบริจาคบุตรทานแก่พราหมณ์.
แม้หลังจากนั้นพระอินทร์แปลงกายมาขอพระนางมัทรี ตัวพระนางเองก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน เพราะเห็นด้วยเต็มหัวใจกับสิ่งที่พระสวามีกำลังทำ
เพราะพระองค์นั้นรู้ความสำคัญของเป้าหมายสูงสุดคือพระโพธิญาณ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระเวสสันดรผู้ยังแคว้นสีพีให้เจริญ ทรงจับพระกรพระนางมัทรีด้วยพระหัตถ์ข้างหนึ่ง จับพระเต้าน้ำด้วยพระหัตถ์ข้างหนึ่ง หลั่งอุทกลงในมือพราหมณ์ ได้พระราชทานพระนางมัทรีแก่พราหมณ์. มหัศจรรย์อันให้สยดสยอง และยังโลมชาติให้ชูชัน คือเมื่อพระเวสสันดรทรงบริจาคพระนางมัทรีแก่พราหมณ์. แผ่นดินได้กัมปนาทหวั่นไหว ในกาลนั้น พระนางมัทรีมิได้ทำพระพักตร์สยิ้วกริ้วพระภัสดา ไม่ทรงแสดงพระอาการขวยเขิน ไม่ทรงกันแสง เมื่อพระภัสดาทอดพระเนตรพระนางเจ้าก็ทรงดุษณีภาพ พระภัสดาก็ทรงทราบพระอัธยาศัยอันประเสริฐของพระนางเจ้า. .
ดังนั้นจงพิจารณาให้ดี และที่สำคัญ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่าทำตัวเสมือนนกกระจอกไปตัดสินพญาครุฑ
หรือหากคิดว่าสิ่งที่พระโพธิสัตว์ทำนั้นเป็นบาป ไม่สมควรกระทำ
ก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับคำสอนในพุทธศาสนา อันเป็นผลที่ได้รับจากการบำเพ็ญบารมีบาปนั้น
อย่าทำตัวเป็นเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง
เอาน้ำใจอันน้อยนิดของตัว มาตัดสินน้ำใจความห้าวหาญพระโพธิสัตว์ที่สละได้แม้เลือดเนื้อชีวิตเพื่อพระโพธิญาณ
นกกระจอกอย่าริมาตัดสินพญาครุฑ : น้ำพระทัยพระโพธิสัตว์ และเหล่าคู่บารมี
โดยผมจะค่อยๆอธิบายไล่ลำดับไป
เรื่องแรก คือเบียดเบียนหรือไม่
ในยุคพระเวสสันดร ไม่ได้มีแค่พระโพธิสัตว์เท่านั้น แต่ก็มีเหล่าคู่บารมีทั้งหลายอยู่ร่วมกันด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พึงเข้าใจแต่เริ่มว่า เหตุที่เหล่าคู่บารมีเหล่านี้ได้เกิดมาอยู่ร่วมกัน ร่วมเหตุการณ์ต่างๆกัน
เป็นเพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ได้ตั้งความปรารถนา
ขอให้ได้เป็นมารดา/ชายา/บุตร/พระอสีติสาวกด้านต่างๆของพระพุทธเจ้าไว้อยู่แล้วตั้งแต่ชาติปางก่อนทั้งสิ้น
ตรงนี้หาอ่านได้จากประวัติพระสาวกทั้งหลายและอรรถกถา
ดังนั้นท่านเหล่านี้ไม่ใช่พวกไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จับพลัดจับผลูมาเป็นลูกเมียเป็นพ่อแม่ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตั้งใจไว้ก่อนตั้งแต่แรกทั้งนั้น
แม้กระทั่งที่เป็นชูชกหรือเทวทัตในชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเอง ก็ได้ตั้งความปรารถนาจะจองล้างจองผลาญมาแต่ต้น
ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตนเพื่อบำเพ็ญบารมีของตัวเอง และสนับสนุนการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น
อย่าคิดสั้นๆแล้วเอามาตรฐานนกกระจอกไปตัดสินพญาครุฑ แบบสั้นๆง่ายๆว่า
การมอบลูกเมียเป็นทาสเขาเป็นการเบียดเบียน
ในเมื่อลูกเมียก็เต็มใจตั้งแต่เริ่มต้นตั้งความปรารถนาว่าจะบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพ่อแม่ลูกพระอสีติสาวกด้านต่างๆของพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น
ทีนี้มามองน้ำใจพระโพธิสัตว์เอง แม้กระทั่งตอนพระองค์อายุ 8ขวบ ก็ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าปรารถนาจะบำเพ็ญทานบารมีเพื่อพระโพธิญาณ
อย่าว่าแต่ทรัพย์เลย ต่อห้ใครมาขอร่างกาย ดวงตา หัวใจ เลือดเนื้อ พระองค์ก็ให้โดยไม่เสียดาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และแม้ขณะที่พระองค์ถูกชาวเมืองขับไล่ ก็ได้บอกกับพระมเหสีแต่ต้นแล้วว่า เลิกกันนะ เธอเก็บทรัพย์ส่วนตัวเธอไว้ แล้วเอาทรัพย์เราไปด้วย
เพราะเราจะต้องไปตกระกำลำบากแบบนี้ๆ แต่ยังไงๆเราก็จะไม่ล้มเลิกเพื่อพระโพธิญาณ
พระมเหสีเองก็รับรู้และยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย
เรื่องที่สอง ทานบารมีเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำแปลว่าพระโพธิสัตว์ทำบาปด้วยการเบียดเบียนลูก
ทีนี้มาถึงเหตุการณ์ให้บุตรแก่ชูชก
นกกระจอกบางตัวที่ไปตัดสินพญาครุฑ อ้างอรรถกถาว่าทานบารมีเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
แล้วไปสรุปด้วยความด้อยปัญญาของตัวเองว่า นั่นไง พระโพธิสัตว์ทำบาปด้วยการเบียดเบียนลูก จึงเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
แต่แท้จริงแล้ว เหตุที่เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ ไม่ใช่เพราะเรื่องเบียดเบียนลูก
จะเบียดเบียนได้อย่างไร ในเมื่อก็ตั้งความปรารถนามาตั้งแต่ต้นว่าจะร่วมบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระอสีติสาวก
ก็รับรู้กันอยู่ว่าจะต้องเผชิญชะตากรรมแสนยากลำบากไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มตั้งความปรารถนา
ดังนั้นส่วนที่เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ จึงไม่ใช่เรื่องนี้
แต่เป็นเรื่องจิตของพระโพธิสัตว์ขณะมอบปิยบุตรทานนั้น เจือไว้ด้วยโทสะและโมหะ
กล่าวคือขณะเห็นชูชกทรมานลูกตัวเอง ก็ทั้งเสียใจทุกข์ทรมาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทั้งโกรธจนแทบอยากจะลุกมาฆ่าชูชกนั้นเสีย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่เพื่อพระโพธิญาณ แม้จะทุกข์เพียงใดพระองค์ก็ยอมทำ
นั่นคือเหตุที่บอกว่าทานบารมีครั้งนี้เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
คือจิตขณะให้ทานยังเจือด้วยอุปาทาน โทสะ โมหะ แต่ยอมสละเพื่อพระโพธิญาณ
ไม่ได้บอกว่าการบำเพ็ญบารมีนั้นเป็นบาป
ทั้งนี้พระองค์ก็ได้บอกแก่ชูชกตั้งแต่ต้นว่าให้ไปพบปู่แล้วจะได้รับเงินทองและบอกแก่ลูกทั้งสองว่าค่าไถ่ของลูกแต่ละคนเท่านี้ๆนะ
กระทั่งเมื่อพระมเหสีกลับมาได้รับรู้เรื่องราว ก็เศร้าโศกเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา
แต่แล้วพระมหเสีเองก็เห็นด้วยและอนุโมทนากับทานบารมีที่พระองค์ได้กระทำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แม้หลังจากนั้นพระอินทร์แปลงกายมาขอพระนางมัทรี ตัวพระนางเองก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน เพราะเห็นด้วยเต็มหัวใจกับสิ่งที่พระสวามีกำลังทำ
เพราะพระองค์นั้นรู้ความสำคัญของเป้าหมายสูงสุดคือพระโพธิญาณ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดังนั้นจงพิจารณาให้ดี และที่สำคัญ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่าทำตัวเสมือนนกกระจอกไปตัดสินพญาครุฑ
หรือหากคิดว่าสิ่งที่พระโพธิสัตว์ทำนั้นเป็นบาป ไม่สมควรกระทำ
ก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับคำสอนในพุทธศาสนา อันเป็นผลที่ได้รับจากการบำเพ็ญบารมีบาปนั้น
อย่าทำตัวเป็นเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง
เอาน้ำใจอันน้อยนิดของตัว มาตัดสินน้ำใจความห้าวหาญพระโพธิสัตว์ที่สละได้แม้เลือดเนื้อชีวิตเพื่อพระโพธิญาณ