นกกระจอกอย่าริมาตัดสินพญาครุฑ : น้ำพระทัยพระโพธิสัตว์ และเหล่าคู่บารมี

ก่อนอื่น ต้องอย่าทำตัวเป็นนกกระจอกไปตัดสินพญาครุฑ เอาเกณฑ์ตัวเองมาตัดสินพระโพธิสัตว์
โดยผมจะค่อยๆอธิบายไล่ลำดับไป

เรื่องแรก คือเบียดเบียนหรือไม่
ในยุคพระเวสสันดร ไม่ได้มีแค่พระโพธิสัตว์เท่านั้น แต่ก็มีเหล่าคู่บารมีทั้งหลายอยู่ร่วมกันด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

พึงเข้าใจแต่เริ่มว่า เหตุที่เหล่าคู่บารมีเหล่านี้ได้เกิดมาอยู่ร่วมกัน ร่วมเหตุการณ์ต่างๆกัน
เป็นเพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ได้ตั้งความปรารถนา
ขอให้ได้เป็นมารดา/ชายา/บุตร/พระอสีติสาวกด้านต่างๆของพระพุทธเจ้าไว้อยู่แล้วตั้งแต่ชาติปางก่อนทั้งสิ้น
ตรงนี้หาอ่านได้จากประวัติพระสาวกทั้งหลายและอรรถกถา
ดังนั้นท่านเหล่านี้ไม่ใช่พวกไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จับพลัดจับผลูมาเป็นลูกเมียเป็นพ่อแม่ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตั้งใจไว้ก่อนตั้งแต่แรกทั้งนั้น
แม้กระทั่งที่เป็นชูชกหรือเทวทัตในชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเอง ก็ได้ตั้งความปรารถนาจะจองล้างจองผลาญมาแต่ต้น
ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตนเพื่อบำเพ็ญบารมีของตัวเอง และสนับสนุนการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น
อย่าคิดสั้นๆแล้วเอามาตรฐานนกกระจอกไปตัดสินพญาครุฑ แบบสั้นๆง่ายๆว่า
การมอบลูกเมียเป็นทาสเขาเป็นการเบียดเบียน
ในเมื่อลูกเมียก็เต็มใจตั้งแต่เริ่มต้นตั้งความปรารถนาว่าจะบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพ่อแม่ลูกพระอสีติสาวกด้านต่างๆของพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น

ทีนี้มามองน้ำใจพระโพธิสัตว์เอง แม้กระทั่งตอนพระองค์อายุ 8ขวบ ก็ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าปรารถนาจะบำเพ็ญทานบารมีเพื่อพระโพธิญาณ
อย่าว่าแต่ทรัพย์เลย ต่อห้ใครมาขอร่างกาย ดวงตา หัวใจ เลือดเนื้อ พระองค์ก็ให้โดยไม่เสียดาย


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

และแม้ขณะที่พระองค์ถูกชาวเมืองขับไล่ ก็ได้บอกกับพระมเหสีแต่ต้นแล้วว่า เลิกกันนะ เธอเก็บทรัพย์ส่วนตัวเธอไว้ แล้วเอาทรัพย์เราไปด้วย
เพราะเราจะต้องไปตกระกำลำบากแบบนี้ๆ แต่ยังไงๆเราก็จะไม่ล้มเลิกเพื่อพระโพธิญาณ
พระมเหสีเองก็รับรู้และยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย


เรื่องที่สอง ทานบารมีเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำแปลว่าพระโพธิสัตว์ทำบาปด้วยการเบียดเบียนลูก
ทีนี้มาถึงเหตุการณ์ให้บุตรแก่ชูชก
นกกระจอกบางตัวที่ไปตัดสินพญาครุฑ อ้างอรรถกถาว่าทานบารมีเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
แล้วไปสรุปด้วยความด้อยปัญญาของตัวเองว่า นั่นไง พระโพธิสัตว์ทำบาปด้วยการเบียดเบียนลูก จึงเป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
แต่แท้จริงแล้ว เหตุที่เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ ไม่ใช่เพราะเรื่องเบียดเบียนลูก
จะเบียดเบียนได้อย่างไร ในเมื่อก็ตั้งความปรารถนามาตั้งแต่ต้นว่าจะร่วมบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระอสีติสาวก
ก็รับรู้กันอยู่ว่าจะต้องเผชิญชะตากรรมแสนยากลำบากไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มตั้งความปรารถนา
ดังนั้นส่วนที่เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ จึงไม่ใช่เรื่องนี้
แต่เป็นเรื่องจิตของพระโพธิสัตว์ขณะมอบปิยบุตรทานนั้น เจือไว้ด้วยโทสะและโมหะ
กล่าวคือขณะเห็นชูชกทรมานลูกตัวเอง ก็ทั้งเสียใจทุกข์ทรมาน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ทั้งโกรธจนแทบอยากจะลุกมาฆ่าชูชกนั้นเสีย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แต่เพื่อพระโพธิญาณ แม้จะทุกข์เพียงใดพระองค์ก็ยอมทำ
นั่นคือเหตุที่บอกว่าทานบารมีครั้งนี้เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
คือจิตขณะให้ทานยังเจือด้วยอุปาทาน โทสะ โมหะ แต่ยอมสละเพื่อพระโพธิญาณ
ไม่ได้บอกว่าการบำเพ็ญบารมีนั้นเป็นบาป

ทั้งนี้พระองค์ก็ได้บอกแก่ชูชกตั้งแต่ต้นว่าให้ไปพบปู่แล้วจะได้รับเงินทองและบอกแก่ลูกทั้งสองว่าค่าไถ่ของลูกแต่ละคนเท่านี้ๆนะ
กระทั่งเมื่อพระมเหสีกลับมาได้รับรู้เรื่องราว ก็เศร้าโศกเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา
แต่แล้วพระมหเสีเองก็เห็นด้วยและอนุโมทนากับทานบารมีที่พระองค์ได้กระทำ

  [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แม้หลังจากนั้นพระอินทร์แปลงกายมาขอพระนางมัทรี ตัวพระนางเองก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน เพราะเห็นด้วยเต็มหัวใจกับสิ่งที่พระสวามีกำลังทำ
เพราะพระองค์นั้นรู้ความสำคัญของเป้าหมายสูงสุดคือพระโพธิญาณ

  [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ดังนั้นจงพิจารณาให้ดี และที่สำคัญ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่าทำตัวเสมือนนกกระจอกไปตัดสินพญาครุฑ
หรือหากคิดว่าสิ่งที่พระโพธิสัตว์ทำนั้นเป็นบาป ไม่สมควรกระทำ
ก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับคำสอนในพุทธศาสนา อันเป็นผลที่ได้รับจากการบำเพ็ญบารมีบาปนั้น

อย่าทำตัวเป็นเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง
เอาน้ำใจอันน้อยนิดของตัว มาตัดสินน้ำใจความห้าวหาญพระโพธิสัตว์ที่สละได้แม้เลือดเนื้อชีวิตเพื่อพระโพธิญาณ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่