จะต้องถึงพร้อมด้วยธรรมใด ?
ผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, หรือพระสาวก ต้องถึงพร้อมด้วยธรรม ดังต่อไปนี้
หากปรารถนาให้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องถึงพร้อมด้วย
ธรรมสโมธาน ๘
หากปรารถนาให้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องถึงพร้อมด้วย
ธรรม ๕
และหากปรารถนาให้สำเร็จเป็นพระสาวก ต้องถึงพร้อมด้วย
ธรรม ๒
๑. การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
ธรรมสโมธาน ๘ ให้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ
สำหรับผู้ตั้งปณิธานเพื่อจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ขณะนั้นจะต้องพรั่งพร้อมด้วยธรรม ๘ ประการ (เรียกว่าธรรมสโมธาน -
การประชุมพร้อมของธรรม) ความปรารถนาของผู้นั้นจึงจักสำเร็จได้ คือ
๑. มนุสฺสตฺตํ -
ความเป็นมนุษย์ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ในชาตินั้นจะต้องมีอัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นผู้ไม่
พิการ และมีสติปัญญาติดตัวมาแต่ปฏิสนธิ หากไม่ใช่มนุษย์ที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ ความปรารถนาก็จักไม่สำเร็จ
๒. ลิงฺคสมฺปตฺติ -
ความถึงพร้อมด้วยเพศ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ในชาตินั้น นอกจากต้องมีอัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว
ยังจะต้องเป็นบุรุษเพศเท่านั้น ความปรารถนาพุทธภูมิจักไม่สำเร็จแก่สตรี กระเทย คนไม่มีเพศและคนสองเพศ
๓. เหตุ -
ความบริบูรณ์ด้วยเหตุ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ นอกจากจะต้องเป็นเพศชายแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติคือ
บารมีสมบูรณ์พร้อมบรรลุพระอรหัตเป็นพระอรหันต์ได้ในชาตินั้น แต่ไม่พอใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ เพราะเกิดความพอใจ
ในพระสัมมาสัมโพธิญาณมากกว่าความเป็นพระอรหันตสาวก
๔. สตฺถารทสฺสนํ -
การพบพระศาสดา อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้นจะต้องปรารถนาพุทธภูมิในขณะพบเห็นหรือเข้า
เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากปรารถนาในเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วย่อมไม่สำเร็จ แม้จะตั้งความปรารถนา
ในสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระสาวกของพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จ
๕. ปพฺพชฺชา -
การถือบรรพชา อธิบายว่า ในชาตินั้นท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ นอกจากจะได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว ขณะปรารถนา
พุทธภูมินั้นจะต้องอยู่ในเพศของนักบวช หรือบรรพชิต โดยอาจบวชเป็นบรรพชิตในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือบวช
เป็นดาบสหรือปริพาชกอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีความเห็นชอบเรื่องกรรม และผลของกรรม (กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ) ความปรารถนา
พุทธภูมิเมื่อยังเป็นคฤหัสถ์ ย่อมไม่สำเร็จ
๖. คุณสมุปตุติ -
ความถึงพร้อมด้วยคุณ อธิบายว่า ในชาตินั้นท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิซึ่งอยู่ในเพศนักบวชนั้น ยังต้องมี
คุณสมบัติพิเศษกว่านักบวชทั่วไป คือ ต้องได้สมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ด้วย จึงจักสำเร็จ (ได้คุณระดับโลกียธรรมสูงสุด แต่
ไม่บรรลุโลกุตตรธรรมใดๆ แม้แต่อย่างเดียวเลย)
๗. อธิกาโร -
การกระทำอันยิ่งใหญ่ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น แม้จะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติตามที่กล่าวมาแล้ว
ในชาตินั้นก็ยังทำการอันยิ่งใหญ่เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตนได้พบนั้น เช่นที่สุเมธดาบสบริจาคชีวิตของตนด้วยการนอน
บนร่องน้ำอันชุ่มด้วยน้ำและโคลน ให้พระพุทธเจ้าทีปังกรและหมู่สงฆ์เหยียบเสด็จดำเนินข้าม หากไม่กระทำการยิ่งใหญ่เช่นนี้
ความปรารถนาก็สำเร็จไม่ได้
๘. ฉนฺทตา -
ความเป็นผู้มีฉันทะ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น แม้จะมีคุณสมบัติถึงพร้อมทั้ง ๗ ข้อแล้วก็ยังไม่พอ
จะต้องเป็นผู้มีใจประกอบด้วยฉันทะ คือ ความรักความพอใจอย่างแรงกล้า มีความอุตสาหะ ความพยายามในการแสวงหาพระ
โพธิญาณอย่างยิ่ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเล็กใหญ่ แม้จักรวาลทั้งหมดจะเต็มไปด้วยน้ำ ก็ไม่หวาดหวั่นที่จะว่ายน้ำจากฝั่งหนึ่ง
ไปยังอีกฝั่งหนึ่ง หรือให้อยู่ในนรกนาน ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อแลกกับการได้เป็นพระพุทธเจ้าก็พร้อมจะกระทำ
ครั้นผู้ปรารถนาพุทธภูมิใคร่ครวญแล้ว พบว่าตนเองมีคุณสมบัติตามธรรมสโมธาน ๘ ประการนี้แล้ว ก็มั่นใจได้ว่าตนเองจัก
ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต
และธรรมสโมธาน ๘ ประการนี้แล อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะนั้นทรงใช้พิจารณาว่าผู้ปรารถนาพุทธภูมิจะสำเร็จสมความ
ปรารถนาหรือไม่ ? หากทรงเห็นว่าธรรมสโมธานของผู้นั้นเข้มข้นแน่นอน ก็จะทรงพยากรณ์ว่าผู้นั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ในระยะเวลา
นานเท่าใดในอนาคต ? เมืองใด ? ประทับต้นไม้ใดตรัสรู้ ? ดังนี้เป็นต้น หากพบว่าผู้นั้นมีคุณสมบัติไม่พอ ก็จักไม่ทรงพยากรณ์
ธรรมสโมธาน ๘ นี้ เรียบเรียงจากที่มาเหล่านี้ คือ ขุ.พุทฺธ.๓๓/๕๙/๔๕๓ (ฉ.มจร.) อปทาน.อ.๘/๑/๓๗-๔๐,๒๖๗-๒๖๙,
จริยา.อ.๙/๓/๓๑, พุทฺธ.อ.๙/๒/๒๐๘-๒๑๒, ชาดก.อ.๓/๑/๒๔-๒๖, องฺ.อ.๑/๒/๑๖๖, อุทาน.อ.๑/๓/๒๒๔, สุตฺต.อ.๑/๕/๑๐๖-๑๐๙
(ฉ.มมร.) เป็นต้น
๒. การปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ธรรม ๕ ให้สำเร็จพระปัจเจกโพธิญาณ
ส่วนท่านผู้ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ในชาตินั้นจะต้องพรั่งพร้อมด้วยธรรม ๕ ประการ คือ มนุสฺสตฺตํ ๑ สิงคสมฺปตฺติ ๑
วิคตาสวทสฺสนํ (การได้เห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ คือเห็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสาวก) ๑ อธิกาโร ๑
ฉนฺทตา ๑ (คือยกเว้น ๓ ข้อใน ๘ ข้อ)
๓. การปรารถนาเป็นพระสาวก
ธรรม ๒ ให้สำเร็จสาวกโพธิญาณ
สำหรับท่านที่ตั้งความ
ปรารถนาเป็นพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาตินั้นจะต้องพรั่งพร้อมด้วยธรรม ๒ ประการ
คือ อธิกาโร ๑ ฉนฺทตา ๑ (ยกเว้น ๖ ข้อใน ๘ ข้อ, ดู สุตฺต.อ.๑/๕/๑๑๑)
เมื่อศึกษาประวัติของพระมหาสาวก ๔๑ รูปแล้ว จะพบว่า องค์ ๒ หรือธรรม ๒ ประการนี้เป็นแกนสำคัญในความสำเร็จเป็น
พระมหาสาวก คือ ในชาติที่ท่านตั้งความปรารถนาเป็นเอตทัคคะนั้น บางท่านเป็นมนุษย์ บางท่านก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ เช่น
อดีตชาติของพระราหุลเป็นนาคราช จึงไม่มีกฏตายตัวว่าจะต้องเป็นมนุษย์เหมือนท่านผู้ปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณหรือ
พระปัจเจกโพธิญาณ
แต่ว่าผู้ปรารถนาเป็นเอตทัคคะนั้น ในชาตินั้นจะต้องพบเห็นภิกษุแบบอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจ และได้เปล่งวาจาปรารถนาความ
เป็นอย่างนั้นต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้า ดังนี้เป็นต้น
พระมหาสาวกที่ไม่ได้ปรารถนาเป็นเอตทัคคะ นับแต่ชาติที่เริ่มบ่มโพธิญาณนั้น ไม่มีการระบุว่าจะต้องพบพระพุทธเจ้า บางรูปพบ
และทำกุศลกับพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือภิกษุสาวกในสมัยนั้นๆ และชาติต่อๆมาก็อาจจะได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อๆมาบ้าง จนครบ
เวลาบำเพ็ญบารมี
เมื่อท่านเหล่านั้นพอใจในการที่จะเป็นพระมหาสาวกในอนาคตแล้ว ท่านจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ คือ ทานบารมี ๑ ศีลบารมี ๑
เนกขัมมบารมี ๑ ปัญญาบารมี ๑ วิริยบารมี ๑ ขันติบารมี ๑ สัจบารมี ๑ อธิษฐานบารมี ๑ เมตตาบารมี ๑ และ
อุเบกขาบารมี ๑ โดยมีปัญญานำหน้า ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ...
"ปัญญาบารมีของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย (หมายถึงผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า) อันบารมีทั้งหลายมีทานบารมีเป็นต้น
บำรุงเลี้ยงแล้ว ย่อมก่อตัวแล้วให้เจริญแก่กล้า ยังพระพุทธญาณให้บริบูรณ์โดยลำดับ ฉันใด
ปัญญาบารมี (ของพระปัจเจกโพธิสัตว์และพระสาวกโพธิสัตว์) อันบารมีทั้งหลายมีทานบารมีเป็นต้น บำรุงเลี้ยงแล้วย่อมก่อตัว
ให้เจริญแก่กล้า ยังพระปัจเจกโพธิญาณและพระสาวกโพธิญาณให้บริบูรณ์ตามสมควรโดยลำดับ"
(ดู เถร.อ.๑/๑๙-๒๑)
ธรรมพิเศษที่ช่วยหล่อหลอมให้สำเร็จตามแรงปรารถนา
ท่านชี้แจงในเรื่องนี้ไว้ว่า ...
"แท้จริงด้วยการสั่งสมทานไว้ ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้มีใจไม่ข้องอยู่ในกิเลสทั้งปวง เป็นผู้มีจิตไม่เพ่งเล็งเพราะมีอัธยาศัย
ไม่ละโมบในภพนั้นๆ ด้วยการสั่งสมศีลไว้ จึงเป็นผู้มีกาย วาจา และการงานบริสุทธิ์ด้วยดี
เพราะมีกาย วาจา สำรวมดีแล้ว มีอาชีพบริสุทธิ์ มีอินทรีย์สังวร โภชเนมัตตัญญุตาแล้ว ตั้งจิตมั่นด้วยชาคริยานุโยค
การประกอบความเพียรของท่านเหล่านั้น พึงทราบด้วยการ
บำเพ็ญปัจจาคติกวัตรที่ทำไว้แล้ว
ก็สมาบัติ ๘ อภิญญา ๕ หรืออภิญญา ๖ และบุพภาควิปัสสนาอันเป็นอธิษฐานธรรม (ความตั้งใจมั่นในธรรมพิเศษ
และบารมีทั้งหลายจะทำให้เข้าสู่เบื้องต้นของวิปัสสนาง่าย) ย่อมอยู่ในเงื้อมมือของท่านผู้ปฏิบัติอยู่เช่นนี้ได้โดยไม่ยากทีเดียว
ส่วนคุณธรรมมีวิริยะเป็นต้น ก็หยั่งลงสู่ภายในแห่งบุพภาควิปัสสนานั้นทีเดียว... "
นอกจากนี้แล้ว ท่านยังว่าสมถะและวิปัสสนาก็ล้วนเป็นธรรมอุดหนุนการบำเพ็ญเช่นเดียวกันกับบารมี ๑๐ (ดู เถร.อ.๑/๒๑-๒๒)
การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก
ผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, หรือพระสาวก ต้องถึงพร้อมด้วยธรรม ดังต่อไปนี้
หากปรารถนาให้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องถึงพร้อมด้วย ธรรมสโมธาน ๘
หากปรารถนาให้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องถึงพร้อมด้วย ธรรม ๕
และหากปรารถนาให้สำเร็จเป็นพระสาวก ต้องถึงพร้อมด้วย ธรรม ๒
๑. การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
ธรรมสโมธาน ๘ ให้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ
สำหรับผู้ตั้งปณิธานเพื่อจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ขณะนั้นจะต้องพรั่งพร้อมด้วยธรรม ๘ ประการ (เรียกว่าธรรมสโมธาน -
การประชุมพร้อมของธรรม) ความปรารถนาของผู้นั้นจึงจักสำเร็จได้ คือ
๑. มนุสฺสตฺตํ - ความเป็นมนุษย์ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ในชาตินั้นจะต้องมีอัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นผู้ไม่
พิการ และมีสติปัญญาติดตัวมาแต่ปฏิสนธิ หากไม่ใช่มนุษย์ที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ ความปรารถนาก็จักไม่สำเร็จ
๒. ลิงฺคสมฺปตฺติ - ความถึงพร้อมด้วยเพศ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ในชาตินั้น นอกจากต้องมีอัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว
ยังจะต้องเป็นบุรุษเพศเท่านั้น ความปรารถนาพุทธภูมิจักไม่สำเร็จแก่สตรี กระเทย คนไม่มีเพศและคนสองเพศ
๓. เหตุ - ความบริบูรณ์ด้วยเหตุ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ นอกจากจะต้องเป็นเพศชายแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติคือ
บารมีสมบูรณ์พร้อมบรรลุพระอรหัตเป็นพระอรหันต์ได้ในชาตินั้น แต่ไม่พอใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ เพราะเกิดความพอใจ
ในพระสัมมาสัมโพธิญาณมากกว่าความเป็นพระอรหันตสาวก
๔. สตฺถารทสฺสนํ - การพบพระศาสดา อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้นจะต้องปรารถนาพุทธภูมิในขณะพบเห็นหรือเข้า
เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากปรารถนาในเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วย่อมไม่สำเร็จ แม้จะตั้งความปรารถนา
ในสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระสาวกของพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จ
๕. ปพฺพชฺชา - การถือบรรพชา อธิบายว่า ในชาตินั้นท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ นอกจากจะได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว ขณะปรารถนา
พุทธภูมินั้นจะต้องอยู่ในเพศของนักบวช หรือบรรพชิต โดยอาจบวชเป็นบรรพชิตในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือบวช
เป็นดาบสหรือปริพาชกอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีความเห็นชอบเรื่องกรรม และผลของกรรม (กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ) ความปรารถนา
พุทธภูมิเมื่อยังเป็นคฤหัสถ์ ย่อมไม่สำเร็จ
๖. คุณสมุปตุติ - ความถึงพร้อมด้วยคุณ อธิบายว่า ในชาตินั้นท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิซึ่งอยู่ในเพศนักบวชนั้น ยังต้องมี
คุณสมบัติพิเศษกว่านักบวชทั่วไป คือ ต้องได้สมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ด้วย จึงจักสำเร็จ (ได้คุณระดับโลกียธรรมสูงสุด แต่
ไม่บรรลุโลกุตตรธรรมใดๆ แม้แต่อย่างเดียวเลย)
๗. อธิกาโร - การกระทำอันยิ่งใหญ่ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น แม้จะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติตามที่กล่าวมาแล้ว
ในชาตินั้นก็ยังทำการอันยิ่งใหญ่เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตนได้พบนั้น เช่นที่สุเมธดาบสบริจาคชีวิตของตนด้วยการนอน
บนร่องน้ำอันชุ่มด้วยน้ำและโคลน ให้พระพุทธเจ้าทีปังกรและหมู่สงฆ์เหยียบเสด็จดำเนินข้าม หากไม่กระทำการยิ่งใหญ่เช่นนี้
ความปรารถนาก็สำเร็จไม่ได้
๘. ฉนฺทตา - ความเป็นผู้มีฉันทะ อธิบายว่า ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น แม้จะมีคุณสมบัติถึงพร้อมทั้ง ๗ ข้อแล้วก็ยังไม่พอ
จะต้องเป็นผู้มีใจประกอบด้วยฉันทะ คือ ความรักความพอใจอย่างแรงกล้า มีความอุตสาหะ ความพยายามในการแสวงหาพระ
โพธิญาณอย่างยิ่ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเล็กใหญ่ แม้จักรวาลทั้งหมดจะเต็มไปด้วยน้ำ ก็ไม่หวาดหวั่นที่จะว่ายน้ำจากฝั่งหนึ่ง
ไปยังอีกฝั่งหนึ่ง หรือให้อยู่ในนรกนาน ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อแลกกับการได้เป็นพระพุทธเจ้าก็พร้อมจะกระทำ
ครั้นผู้ปรารถนาพุทธภูมิใคร่ครวญแล้ว พบว่าตนเองมีคุณสมบัติตามธรรมสโมธาน ๘ ประการนี้แล้ว ก็มั่นใจได้ว่าตนเองจัก
ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต
และธรรมสโมธาน ๘ ประการนี้แล อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะนั้นทรงใช้พิจารณาว่าผู้ปรารถนาพุทธภูมิจะสำเร็จสมความ
ปรารถนาหรือไม่ ? หากทรงเห็นว่าธรรมสโมธานของผู้นั้นเข้มข้นแน่นอน ก็จะทรงพยากรณ์ว่าผู้นั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ในระยะเวลา
นานเท่าใดในอนาคต ? เมืองใด ? ประทับต้นไม้ใดตรัสรู้ ? ดังนี้เป็นต้น หากพบว่าผู้นั้นมีคุณสมบัติไม่พอ ก็จักไม่ทรงพยากรณ์
ธรรมสโมธาน ๘ นี้ เรียบเรียงจากที่มาเหล่านี้ คือ ขุ.พุทฺธ.๓๓/๕๙/๔๕๓ (ฉ.มจร.) อปทาน.อ.๘/๑/๓๗-๔๐,๒๖๗-๒๖๙,
จริยา.อ.๙/๓/๓๑, พุทฺธ.อ.๙/๒/๒๐๘-๒๑๒, ชาดก.อ.๓/๑/๒๔-๒๖, องฺ.อ.๑/๒/๑๖๖, อุทาน.อ.๑/๓/๒๒๔, สุตฺต.อ.๑/๕/๑๐๖-๑๐๙
(ฉ.มมร.) เป็นต้น
๒. การปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ธรรม ๕ ให้สำเร็จพระปัจเจกโพธิญาณ
ส่วนท่านผู้ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ในชาตินั้นจะต้องพรั่งพร้อมด้วยธรรม ๕ ประการ คือ มนุสฺสตฺตํ ๑ สิงคสมฺปตฺติ ๑
วิคตาสวทสฺสนํ (การได้เห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ คือเห็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสาวก) ๑ อธิกาโร ๑
ฉนฺทตา ๑ (คือยกเว้น ๓ ข้อใน ๘ ข้อ)
๓. การปรารถนาเป็นพระสาวก
ธรรม ๒ ให้สำเร็จสาวกโพธิญาณ
สำหรับท่านที่ตั้งความปรารถนาเป็นพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาตินั้นจะต้องพรั่งพร้อมด้วยธรรม ๒ ประการ
คือ อธิกาโร ๑ ฉนฺทตา ๑ (ยกเว้น ๖ ข้อใน ๘ ข้อ, ดู สุตฺต.อ.๑/๕/๑๑๑)
เมื่อศึกษาประวัติของพระมหาสาวก ๔๑ รูปแล้ว จะพบว่า องค์ ๒ หรือธรรม ๒ ประการนี้เป็นแกนสำคัญในความสำเร็จเป็น
พระมหาสาวก คือ ในชาติที่ท่านตั้งความปรารถนาเป็นเอตทัคคะนั้น บางท่านเป็นมนุษย์ บางท่านก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ เช่น
อดีตชาติของพระราหุลเป็นนาคราช จึงไม่มีกฏตายตัวว่าจะต้องเป็นมนุษย์เหมือนท่านผู้ปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณหรือ
พระปัจเจกโพธิญาณ
แต่ว่าผู้ปรารถนาเป็นเอตทัคคะนั้น ในชาตินั้นจะต้องพบเห็นภิกษุแบบอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจ และได้เปล่งวาจาปรารถนาความ
เป็นอย่างนั้นต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้า ดังนี้เป็นต้น
พระมหาสาวกที่ไม่ได้ปรารถนาเป็นเอตทัคคะ นับแต่ชาติที่เริ่มบ่มโพธิญาณนั้น ไม่มีการระบุว่าจะต้องพบพระพุทธเจ้า บางรูปพบ
และทำกุศลกับพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือภิกษุสาวกในสมัยนั้นๆ และชาติต่อๆมาก็อาจจะได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อๆมาบ้าง จนครบ
เวลาบำเพ็ญบารมี
เมื่อท่านเหล่านั้นพอใจในการที่จะเป็นพระมหาสาวกในอนาคตแล้ว ท่านจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ คือ ทานบารมี ๑ ศีลบารมี ๑
เนกขัมมบารมี ๑ ปัญญาบารมี ๑ วิริยบารมี ๑ ขันติบารมี ๑ สัจบารมี ๑ อธิษฐานบารมี ๑ เมตตาบารมี ๑ และ
อุเบกขาบารมี ๑ โดยมีปัญญานำหน้า ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ...
"ปัญญาบารมีของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย (หมายถึงผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า) อันบารมีทั้งหลายมีทานบารมีเป็นต้น
บำรุงเลี้ยงแล้ว ย่อมก่อตัวแล้วให้เจริญแก่กล้า ยังพระพุทธญาณให้บริบูรณ์โดยลำดับ ฉันใด
ปัญญาบารมี (ของพระปัจเจกโพธิสัตว์และพระสาวกโพธิสัตว์) อันบารมีทั้งหลายมีทานบารมีเป็นต้น บำรุงเลี้ยงแล้วย่อมก่อตัว
ให้เจริญแก่กล้า ยังพระปัจเจกโพธิญาณและพระสาวกโพธิญาณให้บริบูรณ์ตามสมควรโดยลำดับ"
(ดู เถร.อ.๑/๑๙-๒๑)
ธรรมพิเศษที่ช่วยหล่อหลอมให้สำเร็จตามแรงปรารถนา
ท่านชี้แจงในเรื่องนี้ไว้ว่า ...
"แท้จริงด้วยการสั่งสมทานไว้ ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้มีใจไม่ข้องอยู่ในกิเลสทั้งปวง เป็นผู้มีจิตไม่เพ่งเล็งเพราะมีอัธยาศัย
ไม่ละโมบในภพนั้นๆ ด้วยการสั่งสมศีลไว้ จึงเป็นผู้มีกาย วาจา และการงานบริสุทธิ์ด้วยดี
เพราะมีกาย วาจา สำรวมดีแล้ว มีอาชีพบริสุทธิ์ มีอินทรีย์สังวร โภชเนมัตตัญญุตาแล้ว ตั้งจิตมั่นด้วยชาคริยานุโยค
การประกอบความเพียรของท่านเหล่านั้น พึงทราบด้วยการบำเพ็ญปัจจาคติกวัตรที่ทำไว้แล้ว
ก็สมาบัติ ๘ อภิญญา ๕ หรืออภิญญา ๖ และบุพภาควิปัสสนาอันเป็นอธิษฐานธรรม (ความตั้งใจมั่นในธรรมพิเศษ
และบารมีทั้งหลายจะทำให้เข้าสู่เบื้องต้นของวิปัสสนาง่าย) ย่อมอยู่ในเงื้อมมือของท่านผู้ปฏิบัติอยู่เช่นนี้ได้โดยไม่ยากทีเดียว
ส่วนคุณธรรมมีวิริยะเป็นต้น ก็หยั่งลงสู่ภายในแห่งบุพภาควิปัสสนานั้นทีเดียว... "
นอกจากนี้แล้ว ท่านยังว่าสมถะและวิปัสสนาก็ล้วนเป็นธรรมอุดหนุนการบำเพ็ญเช่นเดียวกันกับบารมี ๑๐ (ดู เถร.อ.๑/๒๑-๒๒)