เป็นที่พูดถึงกันมานานสำหรับห้องอาหารสุดหรูของโรงแรม Grand Hyatt Erawan Bangkok ที่จะมี 2 ห้องเด่น ๆ นั่นคือ The Dining Room และ Tables Grill ซึ่งวันนี้ผมมีโอกาสได้มารีวิว Sunday Brunch ที่ถือว่าเป็นมื้อพิเศษของที่นี่ ซึ่งใครหลายคนอยากมาลองแต่ยังไม่มีโอกาส และก็มีอีกหลาย ๆ คนที่เคยมาลองไปแล้ว วันนี้ผมจะขออัพเดทข้อมูลให้ได้เห็นถึงความพิเศษเหล่านี้อีกที เผื่อจะได้ช่วยใครที่กำลังตัดสินใจจะมาใช้บริการได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
ห้องอาหาร Tables Grill ของโรงแรม Grand Hyatt Erawan Bangkok อยู่บนถนนราชดำริตัดพระราม 1 เดินทางไม่ยากครับ หากใครมารถไฟฟ้า BTS ก็ลงสถานีชิดลมแล้วเดินต่ออีกหน่อย ส่วนถ้าใครที่ขับรถมาแล้วมาจากทางสุขุมวิทมุ่งหน้าสยามสแควร์ ก่อนแยกราชดำริ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าโรงแรมก่อนแยกราชดำริได้เลย หรือจะเลี้ยวซ้ายตรงแยกราชดำริแล้วค่อยเข้าโรงแรมตรงอีกทางเข้านึงก็ได้ครับ ทางเข้าจะอยู่ซ้ายมือเมื่อเลี้ยวมาได้ประมาณ 50 เมตรครับ
ธีมของห้อง Tables Grill ทั้งการตกแต่งและอาหารจะเป็นสไตล์ Classic European ซึ่งหมายถึงกในหมวดหมู่เมนูอาหารก็จะเป็นสไตล์ยุโรป จะไม่มีอาหารเอเชีย อาหารญี่ปุ่น อาหารจีน ในมื้อนี้เลย เพราะแม้กระทั่งวัตถุดิบหลัก หลายอย่างยังนำเข้าจากทางยุโรปเลย แต่ก็จะมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนวัตถุดิบหลักไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เมนูไม่ซ้ำกันจนเกินไป ใครที่เคยไปแล้วก็สามารถไปลองเมนูใหม่ ๆ ได้
Sunday Brunch ที่ห้อง Tables Grill เริ่มตั้งแต่ 11.00 – 15.00 น. ราคาของ Sunday Brunch มี 2 ราคาด้วยกันครับ
•
ราคา 3,000++ บาท : ได้อาหารทั้งหมด รวม Soft drink, ชา, กาแฟ
•
ราคา 3,500++ บาท : ได้อาหารทั้งหมด รวมแชมเปญ, ไวน์ และเครื่องดื่มทั้งหมด
บรรยากาศภายในห้องอาหารนั้นไม่ต้องห่วงครับหรูหรา สวยงาม เสมือนเราได้อยู่ในร้านอาหารสุดหรูในยุโรปยังไงอย่างงั้น โทนแสงจะเป็นแสงสีเหลืองให้ความรู้สึกอบอุ่นได้เป็นอย่างดี บริเวณที่เรานั่งรับประทานอาหารก็จะมี Live Station ไว้ปรุงอาหารอยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย เพื่อให้เราสั่งอาหารได้สะดวก ไม่ต้องเดินไกล และสามารถเห็นกรรมวิธีในการปรุงได้อย่างใกล้ชิดครับ
นอกเหนือจากนั้นยังมีตู้กระจกเหมือนเป็น Display ไว้โชว์ส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารแต่ละเมนูอีกด้วย
ในมื้อ Sunday Brunch ทางโรงแรมจะมีการเปิดห้องอาหารอีก 2 ห้องในชั้นเดียวกันไว้อีก คือห้อง Chamber และห้อง Cellar เพื่อใช้ห้อง Chamber เป็นห้องที่เต็มไปด้วยของหวานนานาชนิด ใครชอบของหวาน ที่นี่ฟินมากครับ
และห้อง Cellar ก็จะทำเป็นที่นั่งสำหรับลูกค้าเพิ่มเติมจากส่วนของห้อง Tables Grill เอง ซึ่งสำหรับใครที่มาเป็นกลุ่มก็สามารถจองห้องนี้ได้นะครับ ความจุของห้อง Cellar จุได้ 32 ที่นั่งครับ
ต่อไปขอพูดถึงอาหารเลยแล้วกันนะครับ เริ่มจากพวก Appetizers ก็มีหลากหลาย การจัดวางสวยงามแน่นอนครับ จัดวางในถ้วยเล็ก ๆ หยิบง่ายครับ เรื่องรสชาติของ Appetizers ยังกลาง ๆ ครับไม่โดดเด่นเท่าไหร่ครับ ขอไม่ลงรายละเอียดใน Appetizers นะครับ เพราะว่าอาหารเหล่านี้มันจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ครับไม่ซ้ำเดิมแล้วแต่ทางห้องอาหารจะจัดอะไรมาให้
ต่อมาเรามาดูอาหารที่อยู่ตาม Live Station และใน Menu List กันครับ อาหารจาก Live Station เหล่านี้ปรุงกันใหม่ ๆ เลยครับ ทุกจานเป็นเมนูเสิร์ฟร้อนทั้งหมดครับ รสชาติทุกเมนูอร่อยใช้ได้เลย บางเมนูอร่อยมากด้วยครับ เราลองไปดูทีละเมนูเลยครับ โดยผมขอเริ่มจากอาหารที่ปรุงจาก Live Station ก่อนแล้วกันครับ แล้วค่อยพูดถึงเมนูที่สั่งจาก Menu List ครับ
Champagne Risotto
จานนี้บอกได้คำเดียวว่าอร่อยมาก รสชาติเข้มข้น และเมื่อเค้าปรุงใกล้จะได้ที่ ทางเชฟจะนำ Risotto ลงไปในหลุมของก้อนพาเมซานชีส แล้วขูด ๆ ให้ชีสติดออกมากับ Risotto จะได้ Risotto ที่มีกลิ่นหอมที่โดดเด่น มีกลิ่นของ Truffle oil และ Truffle paste แถมด้วยกลิ่นของชีส เป็นจานที่เข้มข้นและกลมกล่อมเหนือความคาดหมายจริง ๆ
Lobster Bisques Soup
ซุปอร่อยเข้มข้นดีครับ กลิ่นของเปลือกล็อบเตอร์ชัดเจนมาก และที่สำคัญไม่เค็มมากเหมือนหลาย ๆ ที่ แต่สำหรับผมผมชอบซุปที่มีความมันมากกว่านี้สักหน่อย ผมเลยขอครีมและเนยเพิ่มลงไปขณะที่ซุปยังร้อน ก็หอมมันอร่อยถูกใจ(ตามความชอบส่วนตัวครับ)
Beef Tartar
อร่อยครับเนื้อนุ่มรสชาติดี เนื้อหั่นเป็นเต๋าเล็ก ๆ คลุกเคล้ากับซอสและเครื่องเทศที่หลากหลาย เท่าที่เห็นถ้วยส่วนผสมของ Beef Tartar นี้ก็เป็น 10 ถ้วย รสชาติไม่ซับซ้อนครับ แต่กลับนุ่มนวลและช่วยเสริมรสชาติให้ไปในทิศทางเดียวกันได้ดี กินกับขนมปังและแตงกวาดอง(Pickle) ก็อร่อยลงตัวครับ
Oyster on Ice (Fin de Claire oyster / Tasmania oyster)
ที่นี่อาหารทะเลที่เสิร์ฟเย็นบนน้ำแข็งจะมีแค่หอยนางรม ไม่มีรายการอื่นนะครับ แต่ก็จะมีบางวันที่มีอย่างอื่นบ้าง เช่น หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ หอยเชลล์ เป็นต้น ฉะนั้นถ้าใครที่อยากกินซีฟู๊ดอย่างอื่นก็ทำใจไว้หน่อยครับ แต่หอยนางรมที่ Tables Grill ถือว่าสดหวาน พนักงานแกะกันเห็น ๆ ไม่คาวเลยและเนื้อชุ่มฉ่ำมาก นำเข้ามาสด ๆ จากฝรั่งเศส(Fin de Claire) และ ออสเตรเลีย(Tasmania) ใครชอบก็จัดหนักกันได้ครับ อร่อยมากอันนี้เรื่องจริงครับไม่ได้โม้
Roasted Australian Prime Rib of Beef
เมนูนี้ก็จะเห็นหลาย ๆ ที่ ที่บางครั้งดิบไป บางครั้งสุกเกินไป แต่ที่นี่บอกเลยเค้าพิถีพิถันมาก อบออกมาได้กำลังดีมาก ๆ ครับ เนื้อเป็นสีชมพูอ่อน ๆ นุ่มมาก ไม่เหนียวเลย กินกับซอสหรือมัสตาร์ดก็ได้รสอีกแบบ แต่สำหรับผมเกลือพริกไทยพอครับ และเป็นความโชคดีที่ ที่นี่มีเกลือแบบพิเศษ
คือ เป็นเกลือภูเขาไฟที่มีสีดำและรสไม่เค็มมาก / เกลือ Smoke ได้กลิ่นคล้าย ๆ แฮมรมควัน / เกลือ Spicy ที่มีส่วนผสมของพริก ออกเผ็ดเล็กน้อย ได้ลองทุกตัวครับ แต่เกลือภูเขาไฟคลาสสิคสุดแล้วครับ
Chicken Sautéed
จานนี้รสชาติกลาง ๆ เนื้อนุ่มใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้นุ่มเท่าพวกเนื้อเพราะใช้เนื้ออกไก่มาปรุง ซึ่งเชฟได้ปรุงสุกมาในระดับหนึ่งแล้ว แล้วจึงค่อยมาปรุงอีกทีทำให้เนื้อสัมผัสอาจไม่ได้นุ่มสมบูรณ์แบบมากนัก แต่เรื่องของความเข้มข้นของซอสใช้ได้เลย ความมัน ความเค็ม ความหอมกำลังดี
Flamed Prawns & Fired Rice Asparagus
เมนูนี้แปลกใจเล็ก ๆ ว่ามาผิดธีมหรือเปล่า เพราะโผล่มาเป็นข้าวผัดเลย คือเมนูนี้จะเสิร์ฟเป็นกุ้งผัดซอสเป็นหลัก และกินแกล้มกับข้าวผัดคล้าย ๆ เวลาที่เราสั่งสเต็กใน Sizzler ก็จะมีให้เลือกเครื่องเคียงอะไรประมาณนั้นอ่ะครับ สำหรับเมนูนี้ผมว่ามันยังไม่ค่อยลงตัวเล็กน้อย แต่กุ้งสดมาก เด้งอยู่ในปากเลยครับ
ต่อมาลองดูในส่วนอาหารที่สั่งจากใน Menu List ของ Sunday Brunch กันครับ
Tables Grill Classic Half Boston Lobster Thermidor (One serving)
เมนูนี้เค้าเด่นและมีชื่อเสียงมาก สูตรการปรุงที่นี่ไม่เหมือนใครเนื้อกุ้งนุ่มเด้ง อบกับเนยและชีสสูตรพิเศษที่ออกมาแบบฉ่ำ ๆ ไม่แห้งแข็งกระด้างเหมือนที่อื่น เพราะผมกินที่อื่นแล้วเลี่ยนไม่ชอบเลย บางที่ใส่เกล็ดขนมปังอีก ไม่ไหวเลย แต่ที่นี่รับรองเลยครับว่าเด็ดจริง ๆ แต่เค้ามีโควต้าเสิร์ฟให้แค่คนละครึ่งตัวเท่านั้นนะครับ
Chargrilled Lamb Chops, Truffle glace
จานนี้ดูเผิน ๆ อาจไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่ครับ ก็เหมือน Lamb Chop ทั่วไป แต่ถ้าได้ลองรับประทานแล้วจะรู้สึกถึงความแตกต่างทันทีเพราะจะได้กลิ่นของถ่านอย่างชัดเจน กลิ่นถ่านแบบธรรมชาติ เนื้อนุ่มมาก เราสามารถเลือกความสุกของเมนูนี้ได้ ทำให้เมนูนี้ดูพิเศษกว่า Lamb Chop ที่อื่นอย่างเห็นได้ชัดครับ
Poached Egg Benedict
เมนูนี้ก็สั่งจากเมนูเหมือนกันทำกันใหม่ ๆ จากในครัว ชิ้นไม่ใหญ่มาก แต่รสชาติไม่ได้เล็กเหมือนขนาดครับ ซอส hollandaise เหมือนมีการผสมชีสในปริมาณที่พอสมควรเลย เพราะรสชาติและกลิ่นนั้นดีมาก ความเค็มมันก็กำลังดี กินกับไข่และแพนเค้กด้านล่างก็ลงตัวสุด ๆ หน้าตาสวยงามสไตล์คลาสสิคอีกด้วยครับ
Spanish omelet
ลักษณะจะคล้าย ๆ ออมเล็ต(omolet) กับ คีช(quiche) ผสมผสานกัน เพราะเหมือนทำเป็นถาดใหญ่ ๆ แล้วตัดเป็นชิ้นเค้ก ไม่ได้เหมือนออมเล็ตที่เราเคยเห็นกัน และเนื้อด้านในก็มีส่วนผสมเยอะพอสมควรคล้าย ๆ คีช ส่วนผสมหลักแน่นอนว่าต้องเป็นไข่ เนื้อสัมผัสจึงนุ่ม ส่วนที่ผิวหน้าก็ผ่านการอบมาเล็กน้อยทำให้เกรียมนิด ๆ ส่วนผสมข้างในพวกมันฝรั่งอบ แฮม ก็ช่วยเสริมให้รสสัมผัสของเมนูนี้ดีทีเดียว
[SR] Sunday Brunch สุดคลาสสิคเรียบหรูในสไตล์ยุโรป ที่ Tables Grill @ Grand Hyatt Erawan Bangkok
ห้องอาหาร Tables Grill ของโรงแรม Grand Hyatt Erawan Bangkok อยู่บนถนนราชดำริตัดพระราม 1 เดินทางไม่ยากครับ หากใครมารถไฟฟ้า BTS ก็ลงสถานีชิดลมแล้วเดินต่ออีกหน่อย ส่วนถ้าใครที่ขับรถมาแล้วมาจากทางสุขุมวิทมุ่งหน้าสยามสแควร์ ก่อนแยกราชดำริ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าโรงแรมก่อนแยกราชดำริได้เลย หรือจะเลี้ยวซ้ายตรงแยกราชดำริแล้วค่อยเข้าโรงแรมตรงอีกทางเข้านึงก็ได้ครับ ทางเข้าจะอยู่ซ้ายมือเมื่อเลี้ยวมาได้ประมาณ 50 เมตรครับ
ห้องอาหาร Tables Grill จะอยู่ชั้น M (หรือชั้นที่ 2 จากชั้น Lobby)
ธีมของห้อง Tables Grill ทั้งการตกแต่งและอาหารจะเป็นสไตล์ Classic European ซึ่งหมายถึงกในหมวดหมู่เมนูอาหารก็จะเป็นสไตล์ยุโรป จะไม่มีอาหารเอเชีย อาหารญี่ปุ่น อาหารจีน ในมื้อนี้เลย เพราะแม้กระทั่งวัตถุดิบหลัก หลายอย่างยังนำเข้าจากทางยุโรปเลย แต่ก็จะมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนวัตถุดิบหลักไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เมนูไม่ซ้ำกันจนเกินไป ใครที่เคยไปแล้วก็สามารถไปลองเมนูใหม่ ๆ ได้
Sunday Brunch ที่ห้อง Tables Grill เริ่มตั้งแต่ 11.00 – 15.00 น. ราคาของ Sunday Brunch มี 2 ราคาด้วยกันครับ
• ราคา 3,000++ บาท : ได้อาหารทั้งหมด รวม Soft drink, ชา, กาแฟ
• ราคา 3,500++ บาท : ได้อาหารทั้งหมด รวมแชมเปญ, ไวน์ และเครื่องดื่มทั้งหมด
บรรยากาศภายในห้องอาหารนั้นไม่ต้องห่วงครับหรูหรา สวยงาม เสมือนเราได้อยู่ในร้านอาหารสุดหรูในยุโรปยังไงอย่างงั้น โทนแสงจะเป็นแสงสีเหลืองให้ความรู้สึกอบอุ่นได้เป็นอย่างดี บริเวณที่เรานั่งรับประทานอาหารก็จะมี Live Station ไว้ปรุงอาหารอยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย เพื่อให้เราสั่งอาหารได้สะดวก ไม่ต้องเดินไกล และสามารถเห็นกรรมวิธีในการปรุงได้อย่างใกล้ชิดครับ
นอกเหนือจากนั้นยังมีตู้กระจกเหมือนเป็น Display ไว้โชว์ส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารแต่ละเมนูอีกด้วย
ในมื้อ Sunday Brunch ทางโรงแรมจะมีการเปิดห้องอาหารอีก 2 ห้องในชั้นเดียวกันไว้อีก คือห้อง Chamber และห้อง Cellar เพื่อใช้ห้อง Chamber เป็นห้องที่เต็มไปด้วยของหวานนานาชนิด ใครชอบของหวาน ที่นี่ฟินมากครับ
และห้อง Cellar ก็จะทำเป็นที่นั่งสำหรับลูกค้าเพิ่มเติมจากส่วนของห้อง Tables Grill เอง ซึ่งสำหรับใครที่มาเป็นกลุ่มก็สามารถจองห้องนี้ได้นะครับ ความจุของห้อง Cellar จุได้ 32 ที่นั่งครับ
ต่อไปขอพูดถึงอาหารเลยแล้วกันนะครับ เริ่มจากพวก Appetizers ก็มีหลากหลาย การจัดวางสวยงามแน่นอนครับ จัดวางในถ้วยเล็ก ๆ หยิบง่ายครับ เรื่องรสชาติของ Appetizers ยังกลาง ๆ ครับไม่โดดเด่นเท่าไหร่ครับ ขอไม่ลงรายละเอียดใน Appetizers นะครับ เพราะว่าอาหารเหล่านี้มันจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ครับไม่ซ้ำเดิมแล้วแต่ทางห้องอาหารจะจัดอะไรมาให้
ต่อมาเรามาดูอาหารที่อยู่ตาม Live Station และใน Menu List กันครับ อาหารจาก Live Station เหล่านี้ปรุงกันใหม่ ๆ เลยครับ ทุกจานเป็นเมนูเสิร์ฟร้อนทั้งหมดครับ รสชาติทุกเมนูอร่อยใช้ได้เลย บางเมนูอร่อยมากด้วยครับ เราลองไปดูทีละเมนูเลยครับ โดยผมขอเริ่มจากอาหารที่ปรุงจาก Live Station ก่อนแล้วกันครับ แล้วค่อยพูดถึงเมนูที่สั่งจาก Menu List ครับ
จานนี้บอกได้คำเดียวว่าอร่อยมาก รสชาติเข้มข้น และเมื่อเค้าปรุงใกล้จะได้ที่ ทางเชฟจะนำ Risotto ลงไปในหลุมของก้อนพาเมซานชีส แล้วขูด ๆ ให้ชีสติดออกมากับ Risotto จะได้ Risotto ที่มีกลิ่นหอมที่โดดเด่น มีกลิ่นของ Truffle oil และ Truffle paste แถมด้วยกลิ่นของชีส เป็นจานที่เข้มข้นและกลมกล่อมเหนือความคาดหมายจริง ๆ
ซุปอร่อยเข้มข้นดีครับ กลิ่นของเปลือกล็อบเตอร์ชัดเจนมาก และที่สำคัญไม่เค็มมากเหมือนหลาย ๆ ที่ แต่สำหรับผมผมชอบซุปที่มีความมันมากกว่านี้สักหน่อย ผมเลยขอครีมและเนยเพิ่มลงไปขณะที่ซุปยังร้อน ก็หอมมันอร่อยถูกใจ(ตามความชอบส่วนตัวครับ)
อร่อยครับเนื้อนุ่มรสชาติดี เนื้อหั่นเป็นเต๋าเล็ก ๆ คลุกเคล้ากับซอสและเครื่องเทศที่หลากหลาย เท่าที่เห็นถ้วยส่วนผสมของ Beef Tartar นี้ก็เป็น 10 ถ้วย รสชาติไม่ซับซ้อนครับ แต่กลับนุ่มนวลและช่วยเสริมรสชาติให้ไปในทิศทางเดียวกันได้ดี กินกับขนมปังและแตงกวาดอง(Pickle) ก็อร่อยลงตัวครับ
ที่นี่อาหารทะเลที่เสิร์ฟเย็นบนน้ำแข็งจะมีแค่หอยนางรม ไม่มีรายการอื่นนะครับ แต่ก็จะมีบางวันที่มีอย่างอื่นบ้าง เช่น หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ หอยเชลล์ เป็นต้น ฉะนั้นถ้าใครที่อยากกินซีฟู๊ดอย่างอื่นก็ทำใจไว้หน่อยครับ แต่หอยนางรมที่ Tables Grill ถือว่าสดหวาน พนักงานแกะกันเห็น ๆ ไม่คาวเลยและเนื้อชุ่มฉ่ำมาก นำเข้ามาสด ๆ จากฝรั่งเศส(Fin de Claire) และ ออสเตรเลีย(Tasmania) ใครชอบก็จัดหนักกันได้ครับ อร่อยมากอันนี้เรื่องจริงครับไม่ได้โม้
เมนูนี้ก็จะเห็นหลาย ๆ ที่ ที่บางครั้งดิบไป บางครั้งสุกเกินไป แต่ที่นี่บอกเลยเค้าพิถีพิถันมาก อบออกมาได้กำลังดีมาก ๆ ครับ เนื้อเป็นสีชมพูอ่อน ๆ นุ่มมาก ไม่เหนียวเลย กินกับซอสหรือมัสตาร์ดก็ได้รสอีกแบบ แต่สำหรับผมเกลือพริกไทยพอครับ และเป็นความโชคดีที่ ที่นี่มีเกลือแบบพิเศษ
คือ เป็นเกลือภูเขาไฟที่มีสีดำและรสไม่เค็มมาก / เกลือ Smoke ได้กลิ่นคล้าย ๆ แฮมรมควัน / เกลือ Spicy ที่มีส่วนผสมของพริก ออกเผ็ดเล็กน้อย ได้ลองทุกตัวครับ แต่เกลือภูเขาไฟคลาสสิคสุดแล้วครับ
จานนี้รสชาติกลาง ๆ เนื้อนุ่มใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้นุ่มเท่าพวกเนื้อเพราะใช้เนื้ออกไก่มาปรุง ซึ่งเชฟได้ปรุงสุกมาในระดับหนึ่งแล้ว แล้วจึงค่อยมาปรุงอีกทีทำให้เนื้อสัมผัสอาจไม่ได้นุ่มสมบูรณ์แบบมากนัก แต่เรื่องของความเข้มข้นของซอสใช้ได้เลย ความมัน ความเค็ม ความหอมกำลังดี
เมนูนี้แปลกใจเล็ก ๆ ว่ามาผิดธีมหรือเปล่า เพราะโผล่มาเป็นข้าวผัดเลย คือเมนูนี้จะเสิร์ฟเป็นกุ้งผัดซอสเป็นหลัก และกินแกล้มกับข้าวผัดคล้าย ๆ เวลาที่เราสั่งสเต็กใน Sizzler ก็จะมีให้เลือกเครื่องเคียงอะไรประมาณนั้นอ่ะครับ สำหรับเมนูนี้ผมว่ามันยังไม่ค่อยลงตัวเล็กน้อย แต่กุ้งสดมาก เด้งอยู่ในปากเลยครับ
ต่อมาลองดูในส่วนอาหารที่สั่งจากใน Menu List ของ Sunday Brunch กันครับ
เมนูนี้เค้าเด่นและมีชื่อเสียงมาก สูตรการปรุงที่นี่ไม่เหมือนใครเนื้อกุ้งนุ่มเด้ง อบกับเนยและชีสสูตรพิเศษที่ออกมาแบบฉ่ำ ๆ ไม่แห้งแข็งกระด้างเหมือนที่อื่น เพราะผมกินที่อื่นแล้วเลี่ยนไม่ชอบเลย บางที่ใส่เกล็ดขนมปังอีก ไม่ไหวเลย แต่ที่นี่รับรองเลยครับว่าเด็ดจริง ๆ แต่เค้ามีโควต้าเสิร์ฟให้แค่คนละครึ่งตัวเท่านั้นนะครับ
จานนี้ดูเผิน ๆ อาจไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่ครับ ก็เหมือน Lamb Chop ทั่วไป แต่ถ้าได้ลองรับประทานแล้วจะรู้สึกถึงความแตกต่างทันทีเพราะจะได้กลิ่นของถ่านอย่างชัดเจน กลิ่นถ่านแบบธรรมชาติ เนื้อนุ่มมาก เราสามารถเลือกความสุกของเมนูนี้ได้ ทำให้เมนูนี้ดูพิเศษกว่า Lamb Chop ที่อื่นอย่างเห็นได้ชัดครับ
เมนูนี้ก็สั่งจากเมนูเหมือนกันทำกันใหม่ ๆ จากในครัว ชิ้นไม่ใหญ่มาก แต่รสชาติไม่ได้เล็กเหมือนขนาดครับ ซอส hollandaise เหมือนมีการผสมชีสในปริมาณที่พอสมควรเลย เพราะรสชาติและกลิ่นนั้นดีมาก ความเค็มมันก็กำลังดี กินกับไข่และแพนเค้กด้านล่างก็ลงตัวสุด ๆ หน้าตาสวยงามสไตล์คลาสสิคอีกด้วยครับ
ลักษณะจะคล้าย ๆ ออมเล็ต(omolet) กับ คีช(quiche) ผสมผสานกัน เพราะเหมือนทำเป็นถาดใหญ่ ๆ แล้วตัดเป็นชิ้นเค้ก ไม่ได้เหมือนออมเล็ตที่เราเคยเห็นกัน และเนื้อด้านในก็มีส่วนผสมเยอะพอสมควรคล้าย ๆ คีช ส่วนผสมหลักแน่นอนว่าต้องเป็นไข่ เนื้อสัมผัสจึงนุ่ม ส่วนที่ผิวหน้าก็ผ่านการอบมาเล็กน้อยทำให้เกรียมนิด ๆ ส่วนผสมข้างในพวกมันฝรั่งอบ แฮม ก็ช่วยเสริมให้รสสัมผัสของเมนูนี้ดีทีเดียว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น