{O}อัตตกิลมถานุโยคคือการบำเพ็ญทุกกิริยาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ {O} <ไม่ใช่ความโง่หลงปฎิบัติผิดทาง>

ผู้ที่เห็นการบำเพ็ญเพียรทุกกิริยาว่าไร้ค่า ไร้ประโยชน์ พระพุทธเจ้าหลงทาง เป็นผู้ดูหมิ่นปรามาสพระพุทธเจ้า

ทุกสำนักล่ะ! ที่ตีพิมพ์ในหนังสือทุกเล่นนั่นด้วย และไม่เว้นถ้าใครคิดอย่างนี้ สอนอย่างนี้ ตอนที่พระมหาโพธิสัตว์ ทรงทิ้งพระราชสมบัติออกบำเพ็ญใหม่ๆ มีแต่ผู้คนเห็นท่านเป็นผู้เสียสติ แม้ท่านปรินิพพานไปแล้วก็ยังกล่าวถึงอดีตว่าท่าน เป็นผู้หลงทางปฎิบัติ กระทำโดยไม่รู้ตัวอีก บุคคลผู้นั้นไม่มีทางเจริญในธรรมได้

อัตตกิลมถานุโยค นี่เป็นวัตรปฎิบัติของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์สำหรับพระพุทธเจ้าของเราท่านทั้งหลายฯได้มาจากการส่งข่ายพระญาณของพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นเหตุแห่งการส่งเสริมให้ได้รับวิบากกรรมในชาติภพนี้ ท่านเคยเรียนและศึกษาไตร่ตรองพระธรรมจาก บุพกรรม ของพระพุทธเจ้าไหม?

[มหาโคตรแห่งศีล]แล้ว ท่านบำเพ็ญอินทรียธาตุท่าน เพื่อตบะของเหล่าพุทธะ ซึ่งใครก็ทำตามได้ยาก ท่านจึงตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกแล้ว ว่าคงทำได้เพียงแค่นั้นจึงให้ทางสายกลางมรรค๘ เพราะท่านมีมหาปุริลักษณะ ๓๒ และ อนุพยัญชนะ ๘๐ ซึ่งไม่มีใครเทียบเทียมท่านได้ ไม่อย่างนั้นท่านจะตรัสสอนพระสารีบุตรไว้ทำไม ปริศนาธรรมข้อนี้มีอยู่ ผลมันมีอยู่

มองโลกให้กว้างๆถึงวัตรปฎิบัติอื่นนอกพระศาสนาในยุคสมัยนั้นด้วย ว่ากว่าจะทรงค้นพบทางพ้นทุกข์นั้น มันต้องลำบากทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากมายขนาดไหน ท่านจะหมายให้เราลืมพระมหากรุณาธิคุณในข้อนี้

ทั้งที่พระพุทธเจ้าองค์ในอนาคตกาลก็ต้องมาปฎิบัติอย่างนี้ มิเท่ากลับดูหมิ่นสติปัญญาท่านหรอกหรือ นี่เป็น การประพฤติวัตรพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้า

ดูน้ำพระทัยพระองค์เถิดว่าทรงยอมอดอยากเหนื่อยล้ามากเพียงไร? ทำไมถึงเนรคุณพระองค์ท่านได้ ทำไม พิมพ์ไปร้องไห้ไป เฮ้อ!


ในที่ใด สุนัขได้รับการเลี้ยงดูว่า เราจักได้ก้อนข้าว เราไม่รับภิกษา
ที่เขาไม่ให้แก่สุนัขในที่นั้นแล้วนำมา เพราะเหตุไร. เพราะว่า สุนัขนั้นจะมี
อันตรายจากก้อนข้าว.



มีแมลงวันไต่ตอมเป็นกลุ่ม ๆ ก็ถ้ามนุษย์ทั้งหลายเห็นอเจลกแล้ว คิดว่า เราจักให้ภิกษาแก่
อเจลกนี้ เข้าไปสู่โรงครัว ก็ครั้นพวกเขาเข้าโรงครัว แมลงวันทั้งหลายที่จับ
อยู่ที่ปากหม้อข้าวเป็นต้น ก็จะบินไต่ตอมเป็นกลุ่ม ๆ เราไม่รับภิกษาที่เขานำ
มาจากหม้อข้าวนั้น เพราะเหตุไร เพราะว่า แมลงวันทั้งหลายจะมีอันตราย
จากอาหาร เพราะอาศัยเรา แม้เราก็ได้ทำอย่างนั้นแล้ว



ดูก่อนสารีบุตร อนึ่ง เราย่อมเข้าใจประพฤติพรหมจรรย์
ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ เราเป็นผู้บำเพ็ญตบะและเป็นเยี่ยมกว่าผู้บำเพ็ญตบะทั้ง
หลาย เราประพฤติเศร้าหมองและเป็นเยี่ยมกว่าผู้พระพฤติเศร้าหมองทั้งหลาย
เราเป็นผู้เกลียดบาปและเป็นเยี่ยมกว่าผู้เกลียดบาปทั้งหลาย เราเป็นผู้สงัดและ
เป็นเยี่ยมกว่าผู้สงัดทั้งหลาย.


ดูก่อนพระสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลก
นี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น
จะกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ
ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ โดยสมัยต่อ
มา เราย่อมเห็นบุคคลนั้นกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิ
ได้เพราะอาสาวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญหาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เสวย
สุขเวทนาโดยส่วนเดียว

ดูก่อนสารีบุตร คติ ๕ ประการนี้แล. ดู
สารีบุตร ผู้ใดพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของ
มนุษย์ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษ พอแก่ความเป็นอริยะของพระสมณโคดม
ไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วย
การค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูก่อนสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสียไม่ละ
ความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฐินั้นเสีย ก็เที่ยงที่จะตกนรก



ดูก่อนสารีบุตร บรรดาพรหมจรรย์มีองค์ ๔ เหล่านั้น
พรหมจรรย์นี้เป็นวัตรในความประพฤติเกลียดบาปของเรา. เรานั้นมีสติก้าวไป
ข้างหน้า มีสติถอยกลับ. ความเอ็นดูของเราปรากฏเฉพาะ จนกระทั่งในหยด
น้ำว่า เราอย่าได้ล้างผลาญสัตว์เล็ก ๆ ที่อยู่ในที่อันไม่สม่ำเสมอเลย.


ดูก่อนสารีบุตร นี้แหละเป็นวัตรในความประพฤติเกลียดบาปของเรา.
ดูก่อนสารีบุตร บรรดาพรหมจรรย์มีองค์ ๔ นั้น พรหมจรรย์นี้เป็นวัตรในการประพฤติเศร้าหมองของเรา. มนทิน คือ ธุลีละอองสั่งสมในกาย เรานับด้วยปีมิใช่น้อย จนเป็นสะเก็ด เปรียบเหมือนตอตะโก มีธุลีละอองสั่งสมนับด้วยปีมิใช่น้อย จนเกิดเป็นสะเก็ด ฉันใด มนทิน คือ ธุลีละอองสั่งสมในกายเรานับด้วยปีมิใช่น้อย จนเกิดเป็นสะเก็ด ฉันนั้นเหมือนกันกัน.

ดูก่อนสารีบุตร เรามิได้คิดที่จะลูบคลำปัดละอองธุลีนี้ด้วยฝ่ามือ ดูก่อน
สารีบุตร ความคิดแม้อย่างนี้ไม่ได้มีแก่เราเลย ดูก่อนสารีบุตร นี้แหละ เป็น
วัตรในความประพฤติเศร้าหมองของเรา.


ถ้าจะไปเพียงพระองค์ก็จะสามารถไปได้ แต่จะไม่ประเสริฐ ไม่เป็นอริยะ เพราะนำสัตว์ออกจากทุกข์ไม่ได้ คือช่วยสัตว์อื่น!

ดูก่อนสารีบุตร ด้วยการปฏิบัติอย่างไม่มีใครสู้แม้นั้น ด้วยปฏิปทาแม้
นั้น ด้วยความเพียรที่กระทำได้แสนยากนั้น เราก็ไม่ได้บรรลุธรรมอันยิ่งของ
มนุษย์ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษ พอแก่ความเป็นอริยะ ข้อนั้นเพราะเหตุ
อะไร เพราะมิใช่ปฏิปทาที่เป็นเหตุบรรลุปัญญาอันประเสริฐ ปัญญานี้แล
ที่ซึ่งเราได้บรรลุแล้วเป็นของประเสริฐ นำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ เป็นทางสิ้น
ทุกข์โดยชอบแห่งบุคคลผู้กระทำอยู่ตามนั้น.


ขอเตือนด้วยความรักและหวังดี

บุคคลทั้งหลายที่เขียนและแต่งเติมประโยคเหล่านั้นมีความเห็นผิด เพราะไม้รู้จักมหาวัฎรปฎิบัติ ไปว่าพระพุทธเจ้าหลงอีกแล้ว ท่านก็ยังบอกว่านี่เป็นวัฎรปฎิบัติของท่านเอง ด้วยเป็นผู้มีมหาปุริลักษณะ สุดยอดอินทรียธาตุเวรกรรม หลงผิดกันหมด สอนก็ผิด
เรื่องฌานก็สอนผิด ไม่เห็นความสำคัญในฌาน อันผู้เจริญควรทำให้มากขึ้นจนถึงที่สุดในฌาน
สงสัยไม่เรียนชาดก หรือเรียนมาแล้วแต่ตีความไม่แตก ไม่รู้ว่าท่านบำเพ็ญเพียรเพื่ออะไร?

อีกอย่างก็ไม่ได้พิจารณามหาปรินิพพาน โดยอาการเสด็จฌานนั้นด้วย ที่ท่านทรงพิจารณาเลิกอาการนั้นเพราะท่านจะเข้าสู่พระนิพพานเพียงรูปเดียวต่างหาก พระอินทร์เลยมาทูลขอมรรค๘ ท้าวสหัมบดีพรหมทูลอาราธพระธรรม

ด้วยบารมีของพระองค์จะสำเร็จธรรมอย่างสาวกแบบ ท่านที่เฉียดตายอดอยากทั้งหลายฯนั้น ง่าย และจะไปเร็วๆแบบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าที่สำเร็จโพธิญานปุ๊ป แล้วดับขันธปรินิพพานเลยเป็นเรื่องง่ายมาก

ไม่แปลกใจหรอกที่วัตรปฎิบัติจึงอ่อนนัก อ่อนจนสู้พระสงฆ์สาวกผู้อยู่ในสารคุณไม่ได้ และอีกทั้งไม่มีปัญญาความสามารถในการถือนิสสัย๔ ในปัจจุบัน เพราะรักความสุขสบายเป็นอามิสทายาท ที่เนรคุณ
https://youtu.be/QxPyyCvynLA
สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ ในเรื่องนี้ ขอท่านทั้งหลายจงไปทำความเข้าใจใหม่ ให้รู้ถึงน้ำพระทัยอันมากล้น ของพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อความสุข ความเจริญในธรรมต่อไป ตามข้อนี้ที่เราได้น้อมนำศรัทธามาแสดงนั้นเถิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่