ถ้ามีคนถามคุณ ว่าปัญญามันจะมาได้อย่างไร คุณจะตอบยังไง ?

ผู้ถาม อยู่กับศีล สมาธิ ปัญญามันจะมาเอง ?

หลวงตา หา อันไหนจะมาเอง

ผู้ถาม ปัญญาจะมาไหมครับ พระคุณเจ้า
ถ้ามีศีล มีสมาธิ ตั้งมั่นแน่วแน่
ปัญญาจะมาไหมขอรับ ?

หลวงตา ไม่มา

ผู้ถาม แล้วปัญญาจะมาได้อย่างไรขอรับ ?

หลวงตา ต้องพิจารณาทางด้านปัญญา คือ
ศีลต้องเป็นศีล แต่เป็นเครื่องหนุน
ให้สมาธิเกิดขึ้นได้ง่าย เช่น
ผู้ปฏิบัติตัวด้วยศีลอันบริสุทธิ์แล้ว
จิตจะไม่เป็นกังวล ระแคะระคายในตัวของตน
ว่าเป็นผู้มีศีลด่างพร้อย
เพราะศีลสมบูรณ์แล้วก็มีความอบอุ่น
จิตก็ไม่เป็นกังวล เมื่อจิตไม่เป็นกังวลแล้ว
ทำสมาธิก็ลงได้เร็ว เป็นสมาธิแน่วแน่เข้าไป

ในภาคปฎิบัติ สมาธิเป็นหลายขั้นหลายภูมิ
สำหรับทางด้านปริยัติ ที่เราจดจำมานั้น
กับภาคปฏิบัติ มันผิดกันมาก

ต้องได้ผ่านทางภาคปริยัติ และภาคปฏิบัติ
แล้วจะพูดได้อย่างฉะฉาน คนเรานะถ้ามีเต็มๆ
เพียงเรียนมาเฉยๆ ตามภาคปริยัติ
จะเรียนจบพระไตรปิฎก
ก็ไม่พ้นเป็นหนอนแทะกระดาษแหละเข้าใจไหม
เป็นหนอนแทะกระดาษ
กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกเลย

พอเข้าสู่สงครามคือภาคปฏิบัติแล้วนั้นแหละ
เราจะเห็นความจริง
เหมือนทหารที่เรียนวิชาการรบมาอย่างช่ำชอง
แต่ไม่ได้เข้าแนวรบ ก็ยังไม่มีความหมายอะไรนัก
ต้องเป็นผู้เข้าแนวรบออกมาแล้ว รอดตายมา
จะพูดอย่างอาจหาญชาญชัยในเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เจอในสนามรบ ว่างั้นเถอะ

นี่ก็เมื่อเข้าภาคปฏิบัติแล้ว เราจะรู้สิ่งต่างๆ ขึ้น
จากภาคปฏิบัติ เหมือนกับเขาเข้าสู่สงคราม
ศัตรูมาแบบไหน ที่ควรต่อสู้กับศัตรูด้วยวิธีใด
เราจะทราบในสนามรบ
ภาควิชาพูดเป็นกลางๆ ไว้เท่านั้นแหละ
ส่วนที่ซอกแซกซิกแซ็กที่สุดในเหตุการณ์ต่างๆ
จะเป็นผู้เข้าสู่สงครามนั้นละ เป็นผู้เห็นเองเจอเอง

อันนี้ภาคปฏิบัติก็เหมือนกัน เรื่องอรรถเรื่องธรรม
เรื่องกิเลสทุกสิ่งอย่าง มันไม่ได้มาจากในตำรา
คำว่า ตำรามีแต่ชื่อของกิเลส มีแต่ชื่อของธรรม
มีแต่ชื่อของบาปของบุญของนรกของสวรรค์
ตัวเหตุตัวการที่จะไปนรกไปสวรรค์ไปนิพพาน
เป็นบาปเป็นบุญจริงๆ คือตัวใจ

เมื่อภาคปฏิบัติเป็นภาคปฏิบัติแล้ว
ต้องเป็นเรื่องของใจล้วนๆ
เข้าปฏิบัติทางสมาธิ จิตก็เป็นสมาธิขึ้นมา
ด้วยการอบรมควบคุมด้วยสติ
ทีนี้เมื่อเวลาสติค่อยแน่นหนามั่นคงขึ้นไป
ถ้าทางด้านจิตใจก็แน่นหนามั่นคง
สติแนบแน่นเข้าไปโดยลำดับ
สมาธิก็แน่นขึ้นไปเป็นขั้นๆ ขั้นๆ
นี่เรียกว่าละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ จนเป็นสมาธิ

ผู้ถาม นั้นหมายถึงว่า คิดไปอย่างเดียว ไม่ทำ
ไม่เกิดอะไรเลย ?

หลวงตา ไม่เกิด

ผู้ถาม ต้องทำ ?

หลวงตา ต้องทำ

ผู้ถาม เพราะฉะนั้นถึงมีศีล มีสมาธิแล้ว
ไม่รู้จักพิจารณาก็ไม่เกิดปัญญา ?

หลวงตา ไม่เกิดปัญญา
ศีลเป็นศีล สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญา
ถ้าอยากให้เกิดปัญญา
ต้องออกใช้พิจารณาทางด้านปัญญา
แล้วความแยบคายจะเกิดขึ้นละเอียด
ยิ่งกว่าสมาธิเสียอีก เป็นลำดับลำดา
เช่นเดียวกัน สมาธิเป็นขั้นๆ ตั้งแต่ขั้นหยาบ
ถึงขั้นกลาง ขั้นละเอียด
ทีนี้ปัญญาก็เหมือนกัน พอได้ก้าวออกสู่ปัญญา
พินิจพิจารณาทางเหตุทางผล
เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาวะธรรมต่างๆ
ที่จิตของเราเคยยึดถือด้วยอำนาจของกิเลส
พอมันเห็นชัดเจนแล้ว
มันจะถอนตัวเข้ามา ถอนตัวเข้ามา
พอจิตมันถอนตัวเข้ามาทีไร
จะรวมพลังแห่งความรู้ของตัวเอง
ซ่อนออกไปโดยลำดับลำดา
ยิ่งรู้แจ้งเห็นชัดเข้าไป ละเอียดลออเข้าไป
นี่เรียกว่าปัญญา
ถ้าไม่พาคิดไม่เกิด จนกระทั่งวันตายก็ไม่เกิด
ใครที่ว่าไม่ต้องเจริญสมาธิ ปัญญาก็เกิด
นั้นคือคนไม่เคยเข้าสนามรบ
คือคนไม่เคยภาวนา
มันพูดหลอกตาหลอกโลกไปอย่างนั้นแหละ

พระพุทธเจ้าแสดงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ท่านก็บอกไว้แล้วว่า
สีลปริภาวิโต สมาธิ มหัปผโล โหติมหานิสังโส
สมาธิเมื่อศีลอบรมแล้ว
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ศีลอบรมสมาธินี้อบรมอย่างไร
ศีลนี่เป็นเครื่องคุ้มกันสมาธิ
คุ้มกันจิตไม่ให้วอกแวกคลอนแคลน
ไม่ได้ตำหนิตน ว่าศีลด่างพร้อยไป
นี้จากการภาวนาล้วนๆ
ทีนี้ไม่ต้องอาศัยสิ่งที่มากระทบกระเทือน
ทางหู ทางตา จมูก ลิ้น กาย อะไรก็ตาม
ปัญญานี้จะผลิตตัวของเราขึ้นโดยลำดับลำดา

เช่นเดียวกับกิเลสมันผลิตตัวขึ้น
ภายในใจของสัตว์โลกนั่นแล
เพราะความชำนาญของมัน
กิเลสนี่ไม่ต้องบอก
ไม่ต้องมีครูมีอาจารย์เป็นกิเลสได้ด้วยกัน
สัตว์โลกเกิดมาเพราะอำนาจของกิเลส
หมุนเวียนไปตามอำนาจของกิเลส
อันนี้เป็นเครื่องผูกพัน

ทีนี้พอปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
ปัญญาจะแก้ตัวกลับคืน คลี่คลายกลับคืนหมด
เมื่อปัญญา ภาวนามยปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
จะหมุนตัวกลับ กิเลสผูกมัดเท่าไร
สติปัญญาขั้นนี้จะหมุนกลับเป็นอัตโนมัติ
จนกระทั่งเข้าถึงขั้นละเอียด
ท่านเรียกว่า มหาสติมหาปัญญา
อันนี้ยิ่งหมุนเร็วที่สุด เกียงไกรที่สุด
นักมวยแชมเปี้ยนที่ว่าอย่างรวดเร็วที่สุดนี้
ยังขี้ปะติ๋ว ยังสู้ไม่ได้เลย
สติปัญญานี้ละเอียดมากยิ่งกว่านั้น
เพราะกิเลสมันเคยละเอียดมาก่อนอยู่แล้ว
ถ้าสติปัญญาไม่มีความเกรียงไกรแล้ว
จะฆ่ากิเลสไม่ได้

ไม่ใช่สติปัญญาที่เรียนมาจากตำรับตำรา
ที่มีแต่จะมาพอกพูนกิเลส โดยถ่ายเดียว
เช่นเรียนได้นักธรรมตรี ก็สำคัญตนว่านักธรรมตรี
กิเลสขึ้นแล้วจากความสำคัญ เรียนได้นักธรรมโท
โห นี่เราได้นักธรรมโทนะ กิเลสขึ้นแล้ว
แทรกนักธรรมโทขึ้นมาแล้ว เป็นทิฐิมานะอันหนึ่ง
เป็นนักธรรมเอก มหาเปรียญแล้วก็ก้าวไม่ออก
เพราะหนักสติปัญญา หนักความรู้วิชา
ความจริงมันหนักกิเลสต่างหาก ความสำคัญตน
นี่ละ เรียนมากเท่าไรกิเลสจะสวมรอยเข้าไป
กิเลสไม่มีทางปอกเปิก มีแต่พอกพูนขึ้นไป

นี้เราจะเห็นได้เวลาออกภาคปฏิบัติ
พอก้าวเข้าสู่ภาคปฏิบัติแล้ว
มันจะปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกโดยลำดับ
จนกระทั่งถึงพุ่งเลยไปจากสิ่งเหล่านี้
เป็นกิเลสหรือไม่เป็นกิเลส รู้หมด
ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้ว
มวยแชมเปี้ยนนี้ไม่ทัน
อันนั้นรวดเร็วโดยหลักธรรมชาติของตัวเองนะ
คือไม่ต้องอาศัยรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส
ที่จะมากระทบกระเทือน
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราแหละ
มันหากเกิดขึ้นเองเป็นเอง หมุนตัวไปเอง
กิเลสมีอยู่ที่ไหนเหมือนไฟได้เชื้อ ของไฟกิเลส
ไฟนั่นหมายถึงสติปัญญา ตามไหม้ไปหมด
กิเลสละเอียดเท่าไร ไฟก็ละเอียดไปตามๆ กัน
จนกระทั่งไม่มีเชื้อที่จะให้ไหม้แล้ว ก็ยุติกันเอง

มหาสติมหาปัญญาจะยุติกัน
เมื่อเวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว
เพราะสติปัญญานี้ก็เป็นมรรค เป็นสมมุติ
กิเลสก็เป็นสมมุติ
เมื่อสมมุติฝ่ายดีกับสมมุติฝ่ายชั่วแก้กันแล้ว
ก็หมดปัญหาไปเลย

นี่ละพระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นตรงกลางนี้แล
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ อุบัติขึ้นตรงนี้เอง

มหาสติมหาปัญญานี้คือยอดของมรรค
อวิชชาปัจจยา สังขารา
ซึ่งเป็นฝ่ายกิเลสนั้นเรียกว่ายอดสมุทัย
ไปแก้กันที่ตรงนี้
มหาสติมหาปัญญาแก้ยอดสมุทัย
คือ อวิชชาปัจจยา ให้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย
ก็ผุดขึ้นที่ตรงกลางนี้
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์
จะหนีพ้นไปจากอริยสัจ 4 นี้ไม่ได้เลย
ต้องขึ้นจากช่องนี้

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมีมากต่อมาก
เพราะองค์นี้ผุดขึ้นได้ องค์นั้นทำไม่ผุดไม่ได้
องค์นี้ผุดขึ้นได้ องค์นั้นก็ต้องผุดขึ้นได้
หนึ่งแล้วก็ต้องเป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่
โดยลำดับลำดามาเรื่อยๆ ผุดขึ้นได้เรื่อยๆ
ไม่มีที่สิ้นสุด เข้าใจน่ะ

นี่ละเรื่องว่าธรรม กิเลส สูงสุดตรงนี้
ที่เป็นฝ่ายสมมุติกับมรรคที่เป็นฝ่ายสมมุติ
แก้กันตกลงไปแล้ว
ความบริสุทธิ์ของจิตก็ผุดขึ้นตรงนี้
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นตรงกลางนี้แหละ
พระอรหันต์ทั้งหลายผุดขึ้นตรงกลางนี้ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมจึงมีอยู่ในโลก
เราก็จะขอเปรียบเทียบเรื่องธรรมให้ฟังก่อนนะ

ธรรมที่ว่าธรรมแท้คืออย่างไร ?
นำ้ในมหาสมุทรทะเลหลวงเรานี้เป็นพื้นฐาน
และ แม่น้ำเจ้าพระยา บางปะกง เป็นต้นนะ
แม่น้ำสายนั้นๆ ไหลลงมาสู่มหาสมุทรมหาทะเล
ไหลมา เวลายังไม่ถึงก็เรียกว่าแม่น้ำสายนั้นๆ
พอเข้าถึงมหาสมุทรแล้ว แม่น้ำทั้งหลายนั้น
เข้าเป็นอันเดียวกันกับน้ำในมหาสมุทร
จนมันแยกกันไม่ออก
เรียกได้แต่ว่ามหาสมุทรอย่างเดียว

นี่ก็เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลาย
เต็มกำลังความสามารถของตนแต่ละรายนั้นละ
เป็นเหมือนกับแม่น้ำสายต่างๆ
ที่ไหลรวมเข้ามาสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน
นี่เรียกกันมหาสมุทรมหานิพพาน
เปรียบกับมหาสมุทรทะเลหลวง
ทีนี้พอถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเข้าเป็นอันเดียวกันหมด
เหมือนกับแม่น้ำสายต่างๆ เข้าถึงมหาสมุทรแล้ว
เข้าเป็นอันเดียวกัน แยกกันไม่ออก
จิตของท่านผู้บริสุทธิ์จะบริสุทธิ์มาจากสถานที่ใด
อยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม
เมื่อก้าวเข้าสู่ความบริสุทธิ์ด้วยกันแล้ว
เป็นมหาวิมุตติ เป็นมหานิพพานด้วยกัน
นี่ละมหาวิมุตติมหานิพพาน
นี้แลเป็นธรรมที่ครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้
จากพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่รวมทุกพระองค์
จากแม่น้ำสายต่างๆ แล้ว
เข้ามาสู่มหาวิมุตติมหานิพพานด้วยกัน
นี่ละที่ว่าธรรมไม่สูญจากโลก
พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สูญจากโลกเป็นอย่างนี้
แล้วยังจะอุบัติขึ้นมาเรื่อยๆ
เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานไปเรื่อยๆ อย่างนี้
นี่ละเรื่องของธรรมขั้นสุดยอด สุดตรงนี้
ต้องสุดจากภาคปฏิบัตินะ
เรียนเฉยๆ ไม่สุด
มีแต่กิเลสนั่นละมัดคอเรื่อยไปเลย
ถ้าเป็นเรื่องของภาคปฏิบัติเข้าสู่สงครามแล้ว
เห็นหมดทุกสิ่งอย่าง กิเลสประเภทใดเห็นหมด
เหมือนอย่างนักรบเข้าสู่สงคราม
เหตุการณ์อะไรให้เห็นหมดรู้หมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่