การแก้กิเลสชนิดต่างๆ ด้วย
ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราบำเพ็ญปฏิบัติอยู่เวลานี้ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง
และเหมาะสมแก่การแก้กิเลสทุกประเภทดังพระพุทธเจ้าพาดำเนินมา
อยู่ที่ไหนก็ตาม
อย่าละกิจที่ควรแก้ไข ควรถอดถอน กิจที่ควรจดจ่อ กิจที่ควรสอดรู้ กิจที่ควรพยายามให้เข้าใจ
อย่าเผลอตัวนอนใจว่ากิเลสจะตายไปเองโดยไม่ถูกฆ่าด้วยความเพียรท่าต่างๆ
เพราะกิเลสไม่ใช่หนูพอจะให้แมวช่วยกัดช่วยฆ่าได้ โดยเจ้าตัวไม่ต้องทำงาน
ส่วนอาการของจิตจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้า
มีการชำระสะสางด้วยข้อปฏิบัติอยู่เสมอ
แม้แต่สมาธิก็ยังต้องเปลี่ยนสภาพไป จากความหยาบในเบื้องต้น จนเข้าสู่ความละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ
ฐานของจิตคือความแน่นหนามั่นคง ก็จะแน่นหนามั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความละเอียดของสมาธิ
สติปัญญาเมื่อเรานำมาใช้อยู่เสมอ ก็จะ
ค่อยมีกำลังขึ้นเรื่อยๆ และรวดเร็วขึ้นโดยลำดับเพราะฝึกซ้อมอยู่เสมอ
นี่แหละสิ่งที่จะทำหน้าที่ปราบปรามกิเลสคือสติกับปัญญา มีมากเพียงไรกิเลสยิ่งกลัวมากขึ้น
ถ้ามีน้อยกิเลสก็เหยียบย่ำทำลายจนแทบไม่ปรากฏสติปัญญาเลย มีแต่นั่งเฝ้าทุกข์อยู่เท่านั้น
ปล่อยให้ทุกข์มันเหยียบย่ำทำลายเอาและบ่นอยู่เท่านั้น บ่นเท่าไรก็ไม่เป็นประโยชน์ จะบ่นไปทำไม
หน้าที่ของเรามียังไง
ฟาดฟันมันลงไปให้เห็นเหตุเห็นผล เห็นความสัตย์ความจริงซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจดวงนี้
เมื่อเห็นชัดเจนแล้วกิเลสไม่ต้องบอก มันแตกกระจายไปหมด นั่น! และจะสู้เหนือปัญญาไปไม่ได้
นั่นแหละจึงเห็นได้ชัดว่าอะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นกงจักร อะไรเป็นตัวพาให้เกิดให้ตาย อะไรเป็นตัวทุกข์ตัวลำบากทั้งหลาย
อะไรเป็นตัวยุ่งเหยิงวุ่นวาย ที่ไหนเป็นที่เดือดร้อน ที่ไหนเป็นที่วุ่นวาย ปัญญารู้ชัดประจักษ์ใจสิ้นสงสัย
เพราะความเดือดร้อนวุ่นวายหมดไป เพราะกิเลสตัวก่อให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย สิ้นไปด้วยอำนาจของปัญญา นั่น!
อยู่ที่ไหนก็ตามอย่าละกิจที่ควรแก้ไข ควรถอดถอน กิจที่ควรจดจ่อ กิจที่ควรสอดรู้ กิจที่ควรพยายามให้เข้าใจ
การแก้กิเลสชนิดต่างๆ ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราบำเพ็ญปฏิบัติอยู่เวลานี้ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง
และเหมาะสมแก่การแก้กิเลสทุกประเภทดังพระพุทธเจ้าพาดำเนินมา
อยู่ที่ไหนก็ตาม อย่าละกิจที่ควรแก้ไข ควรถอดถอน กิจที่ควรจดจ่อ กิจที่ควรสอดรู้ กิจที่ควรพยายามให้เข้าใจ
อย่าเผลอตัวนอนใจว่ากิเลสจะตายไปเองโดยไม่ถูกฆ่าด้วยความเพียรท่าต่างๆ
เพราะกิเลสไม่ใช่หนูพอจะให้แมวช่วยกัดช่วยฆ่าได้ โดยเจ้าตัวไม่ต้องทำงาน
ส่วนอาการของจิตจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้ามีการชำระสะสางด้วยข้อปฏิบัติอยู่เสมอ
แม้แต่สมาธิก็ยังต้องเปลี่ยนสภาพไป จากความหยาบในเบื้องต้น จนเข้าสู่ความละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ
ฐานของจิตคือความแน่นหนามั่นคง ก็จะแน่นหนามั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความละเอียดของสมาธิ
สติปัญญาเมื่อเรานำมาใช้อยู่เสมอ ก็จะค่อยมีกำลังขึ้นเรื่อยๆ และรวดเร็วขึ้นโดยลำดับเพราะฝึกซ้อมอยู่เสมอ
นี่แหละสิ่งที่จะทำหน้าที่ปราบปรามกิเลสคือสติกับปัญญา มีมากเพียงไรกิเลสยิ่งกลัวมากขึ้น
ถ้ามีน้อยกิเลสก็เหยียบย่ำทำลายจนแทบไม่ปรากฏสติปัญญาเลย มีแต่นั่งเฝ้าทุกข์อยู่เท่านั้น
ปล่อยให้ทุกข์มันเหยียบย่ำทำลายเอาและบ่นอยู่เท่านั้น บ่นเท่าไรก็ไม่เป็นประโยชน์ จะบ่นไปทำไม
หน้าที่ของเรามียังไง ฟาดฟันมันลงไปให้เห็นเหตุเห็นผล เห็นความสัตย์ความจริงซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจดวงนี้
เมื่อเห็นชัดเจนแล้วกิเลสไม่ต้องบอก มันแตกกระจายไปหมด นั่น! และจะสู้เหนือปัญญาไปไม่ได้
นั่นแหละจึงเห็นได้ชัดว่าอะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นกงจักร อะไรเป็นตัวพาให้เกิดให้ตาย อะไรเป็นตัวทุกข์ตัวลำบากทั้งหลาย
อะไรเป็นตัวยุ่งเหยิงวุ่นวาย ที่ไหนเป็นที่เดือดร้อน ที่ไหนเป็นที่วุ่นวาย ปัญญารู้ชัดประจักษ์ใจสิ้นสงสัย
เพราะความเดือดร้อนวุ่นวายหมดไป เพราะกิเลสตัวก่อให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย สิ้นไปด้วยอำนาจของปัญญา นั่น!
เนื้อหาบางส่วนจาก
จิตวุ่นวาย -พระธรรมเทศนาหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1550&CatID=1