ตรงกับวันศุกร์พอดี! เปล่าพาดพิงถึงใครน๊า....??
___________________________________________
ย้อนประวัติศาสตร์ขึ้นไปทางภาคเหนือยุคแคว้นสุโขทัยยังรุ่งเรือง “ใครใคร่ค้าม้าค้า ใคร่ใคร่ค้าช้างค้า” อะไรประมาณนี้ เหนือแคว้นสุโขทัยก็ยังมีแคว้นอยู่หลายแคว้นที่เด่นๆ ก็แคว้นล้านนา(เชียงใหม่เป็นเมืองหลวง)ของพญาเม็งราย แคว้นศรีโคมคำ(พะเยาว์เป็นเมืองหลวง)ของพญางำเมืองพญาเม็งรายและพญางำเมืองสืบเชื้อสายเดียวกันคือจากปู่เจ้าลาวจก ทั้งสองพระองค์หวุดหวิดจะทำสงครามกันเมื่อต่างฝ่ายต่างขยับขยายอาณาเขตแล้วมาชนกัน สุดท้ายก็เจรจาตกลงกันได้อย่างสันติวิธีว่าจะไม่รุกรานกัน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพญางำเมืองกับพ่อขุนรามคำแหง ตำนานเล่าว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกันที่กรุงละโว้(ลพบุรี)ก่อนทั้งสองพระองค์จะขึ้นครองราชย์ กล่าวกันว่าพระนาม “พญางำเมือง” นี้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นพระนามที่ประชากรในแคว้นพะเยาว์ขนานนามให้พระองค์ ด้วยว่าพระองค์ทรงมีบารมีเป็นอย่างยิ่ง เสด็จไปไหนก็สร้างความร่มเย็นผาสุขครอบงำแสงพระอาทิตย์(คำว่า
งำเป็นภาษาลาวทางเหนือและอีสานแปลว่าครอบ ต่อมาถูกนิยมรวบนำมาใช้ร่วมกับคำว่า “
ครอบ” เป็น “ครอบงำ” กลายเป็นภาษาไทยโดยปริยาย) พญางำเมืองมีมเหสีที่สืบเชื้อพระวงศ์มาจากราชวงศ์เชียงแสนคือนาง “อั๊วเชียงแสน” (คำว่า “อั๊ว” เจอบ่อยมากในตำนานทางภาคเหนือและอีสาน น่าจะหมายถึงตำแหน่งเจ้าหญิง)ที่สวยสดงดงาม
ย้อนลงมาที่แคว้นสุโขทัย....ยามบ้านเมืองสงบร่วมเย็น พ่อขุนรามคำแหงเกิดระลึกถึงพระสหายเก่า เลยเสด็จขึ้นเหนือมาเยี่ยมพญางำเมืองที่พะเยาว์อยู่หลายวัน นางอั๊วเชียงแสนพระมเหสีของพญางำเมืองก็ลงมือทำกับข้าวกับปลาเลี้ยงพระสหายของพระสวามี วันหนึ่งพระนางทำ
แกงเป็นอาหารเย็นเลี้ยงกษัตริย์ทั้งสอง พญางำเมืองทรงช้อนตักแกงขึ้นเสวยเสร็จก็ทรงหันไปบ่นในทำนองว่า แกงมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ รสชาดก็ไม่อร่อย......แค่นั้นแหละ..พระนางอั๊วเชียงแสนถึงกับน้อยอกน้อยใจ ไม่ยอมพูดยอมจากับพญางำเมือง ไม่ยอมแม้จะเข้าร่วมห้องบรรทมด้วย.....
ต่อมาพ่อขุนรามคำแหงได้สวมรวยเข้าไปหานางอั๊วเชียงแสนและได้เสียกัน เมื่อพญางำเมืองทราบเรื่องเข้าถึงกับกริ้ว จับพ่อขุนรามฯ ไว้ที่เมืองพะเยาว์ (บางตำราว่าเอาสุ่มไก่ครอบไว้ แล้วให้ท่หารดูแล) ความผิดครั้งนี้มหันต์ถึงขั้นประหารชีวิต แต่พญางำเมืองเองก็สองจิตสองใจว่าจะประหารพระสหายดีหรือไม่ อย่ากระนั้นเลยดีกว่า....ให้พระสหายอีกพระองค์มาช่วยชำระคดีความครั้งดีก่อน เพราะครั้นจะประหารเสีย นอกจากคนอื่นจะหมิ่นแล้วก็อาจจะสร้างศรัตรูกับแคว้นสุโขทัยได้ จึงไปอัญเชิญพญาเม็งรายมาช่วยชำระคดีความผิดของพ่อขุนรามครั้งนี้ พญาเม็งรายได้ขอให้พญางำเมืองลดหย่อนผ่อนโทษครั้งนี้เสียเพื่อเห็นแก่ความสงบสุขของสองแคว้น พญางำเมืองเมื่ออ่อนลงแล้ว ยอมลดโทษไว้แค่ปรับสินไหม ผมไปอ่านเจอในตำราของฝรั่ง เขาเขียนว่าโทษปรับสินไหมครั้งนี้เป็นเบี้ยกองสูงเท่าพ่อขุนรามเลยทีเดียว จากนั้นทั้งสามพระองค์ก็ทรงกรีดเลือดสาบานเป็นพระสหายกัน ตำนานปรำปราชาวบ้านเล่าว่าทั้งสามพระองค์ทำพิธีสาบานที่ริมฝั่งแม่น้ำโดยหลังอิงกัน ต่อมาแม่น้ำนั้นจึงถูกเรียกว่าแม่น้ำอิง และเป็นที่มาของ "สามกษัตริย์"
....."มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ” สำนวนนี้เกือบเป็นต้นเหตุให้มหาราชแห่งกรุงสุโขทัยโดนประหารชีวิต.....
___________________________________________
ย้อนประวัติศาสตร์ขึ้นไปทางภาคเหนือยุคแคว้นสุโขทัยยังรุ่งเรือง “ใครใคร่ค้าม้าค้า ใคร่ใคร่ค้าช้างค้า” อะไรประมาณนี้ เหนือแคว้นสุโขทัยก็ยังมีแคว้นอยู่หลายแคว้นที่เด่นๆ ก็แคว้นล้านนา(เชียงใหม่เป็นเมืองหลวง)ของพญาเม็งราย แคว้นศรีโคมคำ(พะเยาว์เป็นเมืองหลวง)ของพญางำเมืองพญาเม็งรายและพญางำเมืองสืบเชื้อสายเดียวกันคือจากปู่เจ้าลาวจก ทั้งสองพระองค์หวุดหวิดจะทำสงครามกันเมื่อต่างฝ่ายต่างขยับขยายอาณาเขตแล้วมาชนกัน สุดท้ายก็เจรจาตกลงกันได้อย่างสันติวิธีว่าจะไม่รุกรานกัน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพญางำเมืองกับพ่อขุนรามคำแหง ตำนานเล่าว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกันที่กรุงละโว้(ลพบุรี)ก่อนทั้งสองพระองค์จะขึ้นครองราชย์ กล่าวกันว่าพระนาม “พญางำเมือง” นี้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นพระนามที่ประชากรในแคว้นพะเยาว์ขนานนามให้พระองค์ ด้วยว่าพระองค์ทรงมีบารมีเป็นอย่างยิ่ง เสด็จไปไหนก็สร้างความร่มเย็นผาสุขครอบงำแสงพระอาทิตย์(คำว่า งำเป็นภาษาลาวทางเหนือและอีสานแปลว่าครอบ ต่อมาถูกนิยมรวบนำมาใช้ร่วมกับคำว่า “ครอบ” เป็น “ครอบงำ” กลายเป็นภาษาไทยโดยปริยาย) พญางำเมืองมีมเหสีที่สืบเชื้อพระวงศ์มาจากราชวงศ์เชียงแสนคือนาง “อั๊วเชียงแสน” (คำว่า “อั๊ว” เจอบ่อยมากในตำนานทางภาคเหนือและอีสาน น่าจะหมายถึงตำแหน่งเจ้าหญิง)ที่สวยสดงดงาม
ย้อนลงมาที่แคว้นสุโขทัย....ยามบ้านเมืองสงบร่วมเย็น พ่อขุนรามคำแหงเกิดระลึกถึงพระสหายเก่า เลยเสด็จขึ้นเหนือมาเยี่ยมพญางำเมืองที่พะเยาว์อยู่หลายวัน นางอั๊วเชียงแสนพระมเหสีของพญางำเมืองก็ลงมือทำกับข้าวกับปลาเลี้ยงพระสหายของพระสวามี วันหนึ่งพระนางทำแกงเป็นอาหารเย็นเลี้ยงกษัตริย์ทั้งสอง พญางำเมืองทรงช้อนตักแกงขึ้นเสวยเสร็จก็ทรงหันไปบ่นในทำนองว่า แกงมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ รสชาดก็ไม่อร่อย......แค่นั้นแหละ..พระนางอั๊วเชียงแสนถึงกับน้อยอกน้อยใจ ไม่ยอมพูดยอมจากับพญางำเมือง ไม่ยอมแม้จะเข้าร่วมห้องบรรทมด้วย.....
ต่อมาพ่อขุนรามคำแหงได้สวมรวยเข้าไปหานางอั๊วเชียงแสนและได้เสียกัน เมื่อพญางำเมืองทราบเรื่องเข้าถึงกับกริ้ว จับพ่อขุนรามฯ ไว้ที่เมืองพะเยาว์ (บางตำราว่าเอาสุ่มไก่ครอบไว้ แล้วให้ท่หารดูแล) ความผิดครั้งนี้มหันต์ถึงขั้นประหารชีวิต แต่พญางำเมืองเองก็สองจิตสองใจว่าจะประหารพระสหายดีหรือไม่ อย่ากระนั้นเลยดีกว่า....ให้พระสหายอีกพระองค์มาช่วยชำระคดีความครั้งดีก่อน เพราะครั้นจะประหารเสีย นอกจากคนอื่นจะหมิ่นแล้วก็อาจจะสร้างศรัตรูกับแคว้นสุโขทัยได้ จึงไปอัญเชิญพญาเม็งรายมาช่วยชำระคดีความผิดของพ่อขุนรามครั้งนี้ พญาเม็งรายได้ขอให้พญางำเมืองลดหย่อนผ่อนโทษครั้งนี้เสียเพื่อเห็นแก่ความสงบสุขของสองแคว้น พญางำเมืองเมื่ออ่อนลงแล้ว ยอมลดโทษไว้แค่ปรับสินไหม ผมไปอ่านเจอในตำราของฝรั่ง เขาเขียนว่าโทษปรับสินไหมครั้งนี้เป็นเบี้ยกองสูงเท่าพ่อขุนรามเลยทีเดียว จากนั้นทั้งสามพระองค์ก็ทรงกรีดเลือดสาบานเป็นพระสหายกัน ตำนานปรำปราชาวบ้านเล่าว่าทั้งสามพระองค์ทำพิธีสาบานที่ริมฝั่งแม่น้ำโดยหลังอิงกัน ต่อมาแม่น้ำนั้นจึงถูกเรียกว่าแม่น้ำอิง และเป็นที่มาของ "สามกษัตริย์"