***Fighting Nepal 25 April 2015 : สำหรับเพื่อนๆที่จะร่วมบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เนปาลสามารถร่วมบริจาคผ่านสภากาชาดไทยได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย สำนักสีลม ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ" ประเภทบัญชี "กระแสรายวัน" เลขที่ 001-1-34567-0
+++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่แล้ว Wander to Wonder "Nepal" ตอนที่ 3 : กาฐมาณฑุวัลเลย์และเจดีย์ยักษ์
http://ppantip.com/topic/33552663
มาถึงตอนจบของการเดินทางเนปาลแล้ววว (ช่างน่าเศร้านัก) คือความรู้สึกต่างกับแว๊ปแรกที่เห็นกาฐมาณฑุเลย ประมาณว่า"เฮ้ย เมืองอะไร (wa) เนี่ย !!" หลังจากได้เดินได้ทำความรู้จัก ประเทศนี้มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก จากที่หลงทางเตร็ดเตร่อยู่ครึ่งค่อนวันกลายเป็นหลงเลิฟเลยทีเดียว
ภายใต้บ้านเมืองที่ดูมอซอ ความลำบากในการใช้ชีวิต กลับมีความเรียบง่าย มีมิตรภาพที่หยิบยื่นให้กับชาวต่างชาติ มีสถาปัตยกรรมและความงามของวัฒนธรรมที่หาไม่ได้ในประเทศที่ความเป็นตะวันตกได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบเดิมไปจนหมดแล้ว
สำหรับวันสุดท้ายเป้าหมายที่จะทำคือเดินเล่นในเมือง สัมผัสตลาดเช้า นั่งเขียนบันทึก (รีวิวนี้ส่วนหนึ่งได้เขียนเป็นโครงเรื่องตั้งแต่อยู่ที่เนปาลแล้ววว) ไม่รู้สิ กลัวกลับมานั่งเขียนแล้วฟีลลิ่งมานไม่ใช่น่ะ ^^ กิจกรรมที่จะทำไม่ได้วางแผนไว้ แค่อยากเดิน อยากเจอผู้คนเพราะไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่...
เริ่มภาพแรกของวันด้วยวิถีชีวิตที่พบเห็นได้ทั่วไปในเนปาล
เด็กนักเรียนไปโรงเรียนตอนเช้า "Angry Bird เข้าถึงแล้ว" แต่ยังไม่มีเซเว่นหรือพวก chain ให้เห็น ถามว่าลำบากมั้ย...สำหรับคนที่อยู่กับความสะดวกสบายมาโดยตลอดก็รู้สึกอึดอัดบ้าง ประเภทเดินไป 500 เมตรเพื่อไปซื้อน้ำอัดลม (อารมณ์ว่าอยากทานมาก) "เฮีย ทำไมข้างขวด 55 รูปี จ่าย 100รูปี ทอนมา 30 เอง?" เฮียแกบอกว่า "Chilling cost (ค่าแช่เย็น)" โอะจ๊อด!...ผุดไอเดียเปิดร้านขายน้ำแข็งไส ขายน้ำเย็นหวานเย็นขึ้นมาเลยทีเดียว บางประเทศนี่แค่แช่เย็นก็ add value ได้แล้วอ่ะ ไม่ต้องไปออกแบบ packaging ให้หรูเริ่ดอะไรเลย
ร้านเฮีย มีทุกสิ่งให้เลือกสรร อารมณ์ร้านขายของชำประจำหมู่บ้านสมัยก่อนที่เซเว่นจะอยู่เกือบทุกหัวมุมถนน
พ่อค้าขายผักยามเช้า
มันฝรั่งเห็นได้ทั่วไป
โค้กเวอร์ชั่นเนปาล
ที่เห็นได้บ่อยอีกอย่างคือน้องหมา เยอะเจงๆ ส่วนใหญ่นอนกันสงบเรียบร้อย ขนปุยๆ เหมือนจะน่ารัก
ตัวนี้เดินตามอยู่นาน เลยหันไปถามว่าอยากไปอยู่เมืองไทยด้วยมั้ย?...เลิกตามเลย
ตั้งแต่เดินมาหลายวันเพิ่งเห็นป้ายถนน (เป็นบุญตามากๆ) แต่เราไม่ต้องใช้ป้ายแล้ววว แผนที่ก็ไม่ต้องดู เดินหลงมาหลายวันมานเหมือนจะทำให้เรามีพลังบางอย่าง เป็นหนังจีนก็เรียกว่ามีวรยุทธละ ประเภทหยั่งรู้ฟ้าดิน เดินได้แม้ไม่มีแสงไฟ รถมาก็ไม่กลัว (เด๋วจวนตัวแล้วเค้าหลบเอง...ถ้าเค้าหลบทันนะ)
อาการ "Chat" เกิดขึ้นที่เนปาล เช่นเดียวกับทั่วโลก
ถึงแล้วตลาดยามเช้า
จริงๆตอนเช้าก็เป็นตลาดแทบจะทั้งย่าน Central Kathmandu แร่ะ แต่ค่อนข้างกระจัดกระจาย ถ้าชอบแนววินเทจๆบ้านเก่าๆ พ่อค้าริมทางแนะนำเลยแถว Nyokha กับ Kilagal
ทำไมถึงรู้ล่ะ? ก็ตาอินเดียที่หลอกให้เราเลี้ยงข้าววันก่อนนี่แร่ะพามา เราก็แอบจำทางไว้มาเก็บตกวันหลัง
พ่อค้าไอศครีม เหมือนกันทุกที่ประเภทโคนเยอะๆๆอยู่ด้านหน้าและมีกล่องเก็บความเย็นซ้อนท้ายรถ
ผลไม้โดยมากจะเป็นกล้วย ส้ม แตงโม และแอปเปิ้ล
ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้ในเนปาล
เลยย่านที่เป็นตลาดไปนิดหน่อยก็จะถึง "วัดลับ" ชื่อนี้เรียกเอง มาเองก็หาไม่เจอเพราะทางเข้ามานต้องก้มๆมุดๆเข้าไปเล็กน้อย ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Seto Macchendranath เป็นหนึ่งในวัดที่เป็นที่เคารพมากที่สุดทั้งชาวพุทธและชาวฮินดูในกาฐมาณฑุ
นอกจากวัวซึ่งคนแถวนั้นบอกเป็น "Holy Cow" แล้ววัดนี้ยังมีนกพิราบ (จำนวนมากถึงมากที่สุด)
พุ่งใส่กล้องเลยทีเดียว
สถาปัตยกรรมงดงามมาก มีภาพแกะสลักพุทธประวัติอยู่รอบตัววัดเลย
พระทิเบตเองก็มาวัดนี้เช่นกัน
มาทำบุญถึงเนปาลแต่อยู่กรุงเทพนี่แทบไม่เคยเข้าวัด...ขณะนั้นเองจู่ๆก็มีคนนึงซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นคนท้องถิ่นมาทำบุญเหมือนกัน สไตล์เดิมเลยคือมาแนะนำสถานที่ "ไอไม่คิดเงิน เรามาทำบุญเหมือนกัน" (ฟังดูคุ้นๆมั้ยครับท่านผู้โช้มมม!!) และแล้ว...ระหว่างก้มหน้าไหว้พระขอพรก็สัมผัสได้ถึงนิ้วจิ้มที่กลางหน้าผาก! ตอนนั้นนี่รู้เลยว่านายคนนั้นจะพูดอะไรต่อ ซึ่งก็จริงดั่งคาด "เราไม่ได้หวังซึ่งเงินทองของนายเล้ย แต่ถ้านายมีไมตรีจิตรช่วยซื้อของให้เราหน่อยได้มั้ย (คราวนี้ไม่ได้ขอให้เลี้ยงข้าวแฮะ)" ...บอกตรงๆตอนนั้นเคืองอ่ะ แต่ก็เอาวะ อยากให้เลี้ยงกันจังเลย วันนี้ตรูกลับแล้วเฟ้ย! เงินเนปาลก็เหลือคงไม่ได้แลกคืน "โอเค เห็นแก่ไมตรีจิตร ไหนลองพาไปร้านซิ ซื้อได้เราซื้อให้" (ป๋ามั้ยล่ะ!)
ว่าแล้วเราก็เดินตามไป กลับเข้าไปในตลาดถึงร้านขายของชำ...เค้าก็แบบพูดกับเจ้าของร้าน #^%#$#@%$% เจ้าของร้านก็พยักหน้าไปเอาของมาให้...เป็นกอง!!!! กดออกมา 3100รูปี จำตัวเลขแม่นเลย ป๋ากระเป๋าฉีกครับ!!
แต่พอดูของที่หยิบมา รู้มั้ยว่าเค้าหยิบอะไร? ข้าวสาร น้ำมันพืช และ"นมผงสำหรับเด็ก" ก็เลยหันไปคุย ตกลงคือเค้าจะซื้อของเข้าบ้าน มีลูก 2 คน
ณ จุดนั้นจากโกรธเป็นสงสารเลย คือเค้าคงไม่มีจริงๆ แต่ก็บอกเค้าไปว่า 3100รูปีมานเยอะไปแล้วเราก็ไม่เหลือเงินขนาดนั้น มีอะไรจำเป็นจริงๆมั้ย? เค้าเลยหยิบนู่นนี่ออก เหลือประมาณ 500รูปี เราก็โอเค ให้ไปถือว่าช่วยกัน
เป็น 500รูปีที่ไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ได้ภาพนี้มา ไม่รู้สิ ดูตาแล้วเข้าใจเค้าอ่ะ เป็นหนึ่งในภาพที่ชอบที่สุดของทริปนี้เลย
หลังจากแยกย้านกันก็เลยถือโอกาส Selfie ตัวเองซะหน่อย...หน้าตาอิ่มบุญเล็กน้อย (ที่มาของรอยกลางหน้าผากก็คือนายคนนั้น นั่นเอง)
ระหว่างที่ Selfie ตัวเองก็เจอสองหนุ่มนี้ บอกว่าช่วยถ่ายให้มั้ย เราบอกไม่ต้อง "ว่าแต่นายอยากเป็นนายแบบรึเปล่า" เค้าเลยโพสท่าให้
ปริ้นส่งให้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยถูกชาวไทยหน้าซื่อๆถ่ายรูปให้
ถ่ายรูปเสร็จก็เดินตลาดเก่าต่อ ถ้าชอบถ่ายรูปย้ำอีกครั้งว่าย่านนี้ต้องมา
ริ้วรอยและวันเวลาไม่สิ้นสุดของชาวเนปาล
ชอบการตลาดของโค้กในเนปาลนะ เค้าใช้วิธีทาสีที่ประตูบ้านแล้ววาดเลย
ภาพชินตา
วันที่สี่นี่แทบไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนต่างถิ่นละ ผู้คน เสียงรถ และความวุ่นวายได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่แสนจะธรรมดาที่เนปาลละ
เดินไปเรื่อยจนถึงแถวๆ Indra Chowk
เด็กขายสายไหม ครั้งสุดท้ายที่เห็นคืองานวัดที่ต่างจังหวัดประมาณสิบกว่าปีก่อน
---------------------------------------------------
เวลาผ่านไปเกือบจะบ่ายโมงละ กำลังจะไปหาร้านนั่งเขียนหนังสือ...พูดไปก็ไม่น่าเชื่อ จู่ๆก็เจอกลุ่มคนไทยที่นั่งรถโดยสารไปบักตาปูร์ด้วยกันในวันที่สอง !!! เค้าเพิ่งกลับเข้ามากาฐมาณฑุหลังจากไปเที่ยวบักตาปูร์และนากาโกต (Nagarkot เมืองเชิงเขาเลยจากบักตาปูร์อีกที)
จขกท :"พี่!!!!!" / พี่คนไทย : "อ้าวเฮ้ย!! มาไงเนี่ยเนปาลตั้งใหญ่ยังเจอกันได้...มาๆๆอย่างงี้ต้องถ่ายรูปกันหน่อยละ"
หลังจากนั้นเราก็อาศัยวิชาเนปาล 101 ว่าด้วยเรื่องการหลงและการเอาตัวรอดบนท้องถนนในเนปาลพาพี่เค้าไปส่ง Guesthouse แนะนำ(โม้)นู่นนี่ พาเดินจากโรงแรมไป Dubar Square ไม่รู้สิ อารมณ์มิตรภาพในต่างแดนถึงแม้จะแค่ระยะเวลาสั้นๆ จะบอกว่าคุยไปคุยมาพี่กลุ่มนี้เจ๋งมากๆเลย เคยไปอินเดียแล้วด้วย พาราณสีก็เคยไป (แถมมีการทำเสื้อทีมด้วย = เท่ยกกำลังสอง)
ปล. ถ้าใครรู้จัก 1ใน 5 คนนี้ฝากบอกด้วยว่าเอาหนังสือเที่ยวเนปาลหนึ่งเดียวในร้าน Kinokuniya มาคืนด้วยเน้อ
ตลอดบ่ายนั้นก็นั่งเขียนหนังสือที่ร้าน Mandap (ร้านเดียวกับที่ทานอาหารพื้นเมืองเนปาลสองวันก่อน)
นั่งสบายๆ ดูผู้คนผ่านไปมา ฝนก็ตกอีก กลัวฟีลิ่งไม่ได้
ตอนเย็นก็สั่งทานที่ร้านนั้นเลย คราวนี้เป็นอาหารอินเดียส่งท้ายอาหารที่เนปาล จะบอกว่าอาหารร้านนี้อร่อยมากกก ลองมาสองวันละแจ่มจริง
เนื่องจากต้องกลับไปเก็บของ จนแล้วจนรอดฝนก็ไม่หยุดซะที (เครื่องออกห้าทุ่มครึ่ง) เลยต้องวิ่งตากฝนไปโรงแรม
---------------------------------------------------
Wander to Wonder "Nepal" ตอนที่ 4 (ตอนจบ) : วัดลับๆ ตลาดเช้า อำลากาฐมาณฑุ
+++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่แล้ว Wander to Wonder "Nepal" ตอนที่ 3 : กาฐมาณฑุวัลเลย์และเจดีย์ยักษ์
http://ppantip.com/topic/33552663
มาถึงตอนจบของการเดินทางเนปาลแล้ววว (ช่างน่าเศร้านัก) คือความรู้สึกต่างกับแว๊ปแรกที่เห็นกาฐมาณฑุเลย ประมาณว่า"เฮ้ย เมืองอะไร (wa) เนี่ย !!" หลังจากได้เดินได้ทำความรู้จัก ประเทศนี้มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก จากที่หลงทางเตร็ดเตร่อยู่ครึ่งค่อนวันกลายเป็นหลงเลิฟเลยทีเดียว ภายใต้บ้านเมืองที่ดูมอซอ ความลำบากในการใช้ชีวิต กลับมีความเรียบง่าย มีมิตรภาพที่หยิบยื่นให้กับชาวต่างชาติ มีสถาปัตยกรรมและความงามของวัฒนธรรมที่หาไม่ได้ในประเทศที่ความเป็นตะวันตกได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบเดิมไปจนหมดแล้ว
สำหรับวันสุดท้ายเป้าหมายที่จะทำคือเดินเล่นในเมือง สัมผัสตลาดเช้า นั่งเขียนบันทึก (รีวิวนี้ส่วนหนึ่งได้เขียนเป็นโครงเรื่องตั้งแต่อยู่ที่เนปาลแล้ววว) ไม่รู้สิ กลัวกลับมานั่งเขียนแล้วฟีลลิ่งมานไม่ใช่น่ะ ^^ กิจกรรมที่จะทำไม่ได้วางแผนไว้ แค่อยากเดิน อยากเจอผู้คนเพราะไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่...
เริ่มภาพแรกของวันด้วยวิถีชีวิตที่พบเห็นได้ทั่วไปในเนปาล
เด็กนักเรียนไปโรงเรียนตอนเช้า "Angry Bird เข้าถึงแล้ว" แต่ยังไม่มีเซเว่นหรือพวก chain ให้เห็น ถามว่าลำบากมั้ย...สำหรับคนที่อยู่กับความสะดวกสบายมาโดยตลอดก็รู้สึกอึดอัดบ้าง ประเภทเดินไป 500 เมตรเพื่อไปซื้อน้ำอัดลม (อารมณ์ว่าอยากทานมาก) "เฮีย ทำไมข้างขวด 55 รูปี จ่าย 100รูปี ทอนมา 30 เอง?" เฮียแกบอกว่า "Chilling cost (ค่าแช่เย็น)" โอะจ๊อด!...ผุดไอเดียเปิดร้านขายน้ำแข็งไส ขายน้ำเย็นหวานเย็นขึ้นมาเลยทีเดียว บางประเทศนี่แค่แช่เย็นก็ add value ได้แล้วอ่ะ ไม่ต้องไปออกแบบ packaging ให้หรูเริ่ดอะไรเลย
ร้านเฮีย มีทุกสิ่งให้เลือกสรร อารมณ์ร้านขายของชำประจำหมู่บ้านสมัยก่อนที่เซเว่นจะอยู่เกือบทุกหัวมุมถนน
พ่อค้าขายผักยามเช้า
มันฝรั่งเห็นได้ทั่วไป
โค้กเวอร์ชั่นเนปาล
ที่เห็นได้บ่อยอีกอย่างคือน้องหมา เยอะเจงๆ ส่วนใหญ่นอนกันสงบเรียบร้อย ขนปุยๆ เหมือนจะน่ารัก
ตัวนี้เดินตามอยู่นาน เลยหันไปถามว่าอยากไปอยู่เมืองไทยด้วยมั้ย?...เลิกตามเลย
ตั้งแต่เดินมาหลายวันเพิ่งเห็นป้ายถนน (เป็นบุญตามากๆ) แต่เราไม่ต้องใช้ป้ายแล้ววว แผนที่ก็ไม่ต้องดู เดินหลงมาหลายวันมานเหมือนจะทำให้เรามีพลังบางอย่าง เป็นหนังจีนก็เรียกว่ามีวรยุทธละ ประเภทหยั่งรู้ฟ้าดิน เดินได้แม้ไม่มีแสงไฟ รถมาก็ไม่กลัว (เด๋วจวนตัวแล้วเค้าหลบเอง...ถ้าเค้าหลบทันนะ)
อาการ "Chat" เกิดขึ้นที่เนปาล เช่นเดียวกับทั่วโลก
ถึงแล้วตลาดยามเช้า จริงๆตอนเช้าก็เป็นตลาดแทบจะทั้งย่าน Central Kathmandu แร่ะ แต่ค่อนข้างกระจัดกระจาย ถ้าชอบแนววินเทจๆบ้านเก่าๆ พ่อค้าริมทางแนะนำเลยแถว Nyokha กับ Kilagal
ทำไมถึงรู้ล่ะ? ก็ตาอินเดียที่หลอกให้เราเลี้ยงข้าววันก่อนนี่แร่ะพามา เราก็แอบจำทางไว้มาเก็บตกวันหลัง
พ่อค้าไอศครีม เหมือนกันทุกที่ประเภทโคนเยอะๆๆอยู่ด้านหน้าและมีกล่องเก็บความเย็นซ้อนท้ายรถ
ผลไม้โดยมากจะเป็นกล้วย ส้ม แตงโม และแอปเปิ้ล
ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้ในเนปาล
เลยย่านที่เป็นตลาดไปนิดหน่อยก็จะถึง "วัดลับ" ชื่อนี้เรียกเอง มาเองก็หาไม่เจอเพราะทางเข้ามานต้องก้มๆมุดๆเข้าไปเล็กน้อย ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Seto Macchendranath เป็นหนึ่งในวัดที่เป็นที่เคารพมากที่สุดทั้งชาวพุทธและชาวฮินดูในกาฐมาณฑุ
นอกจากวัวซึ่งคนแถวนั้นบอกเป็น "Holy Cow" แล้ววัดนี้ยังมีนกพิราบ (จำนวนมากถึงมากที่สุด)
พุ่งใส่กล้องเลยทีเดียว
สถาปัตยกรรมงดงามมาก มีภาพแกะสลักพุทธประวัติอยู่รอบตัววัดเลย
พระทิเบตเองก็มาวัดนี้เช่นกัน
มาทำบุญถึงเนปาลแต่อยู่กรุงเทพนี่แทบไม่เคยเข้าวัด...ขณะนั้นเองจู่ๆก็มีคนนึงซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นคนท้องถิ่นมาทำบุญเหมือนกัน สไตล์เดิมเลยคือมาแนะนำสถานที่ "ไอไม่คิดเงิน เรามาทำบุญเหมือนกัน" (ฟังดูคุ้นๆมั้ยครับท่านผู้โช้มมม!!) และแล้ว...ระหว่างก้มหน้าไหว้พระขอพรก็สัมผัสได้ถึงนิ้วจิ้มที่กลางหน้าผาก! ตอนนั้นนี่รู้เลยว่านายคนนั้นจะพูดอะไรต่อ ซึ่งก็จริงดั่งคาด "เราไม่ได้หวังซึ่งเงินทองของนายเล้ย แต่ถ้านายมีไมตรีจิตรช่วยซื้อของให้เราหน่อยได้มั้ย (คราวนี้ไม่ได้ขอให้เลี้ยงข้าวแฮะ)" ...บอกตรงๆตอนนั้นเคืองอ่ะ แต่ก็เอาวะ อยากให้เลี้ยงกันจังเลย วันนี้ตรูกลับแล้วเฟ้ย! เงินเนปาลก็เหลือคงไม่ได้แลกคืน "โอเค เห็นแก่ไมตรีจิตร ไหนลองพาไปร้านซิ ซื้อได้เราซื้อให้" (ป๋ามั้ยล่ะ!)
ว่าแล้วเราก็เดินตามไป กลับเข้าไปในตลาดถึงร้านขายของชำ...เค้าก็แบบพูดกับเจ้าของร้าน #^%#$#@%$% เจ้าของร้านก็พยักหน้าไปเอาของมาให้...เป็นกอง!!!! กดออกมา 3100รูปี จำตัวเลขแม่นเลย ป๋ากระเป๋าฉีกครับ!!
แต่พอดูของที่หยิบมา รู้มั้ยว่าเค้าหยิบอะไร? ข้าวสาร น้ำมันพืช และ"นมผงสำหรับเด็ก" ก็เลยหันไปคุย ตกลงคือเค้าจะซื้อของเข้าบ้าน มีลูก 2 คน
ณ จุดนั้นจากโกรธเป็นสงสารเลย คือเค้าคงไม่มีจริงๆ แต่ก็บอกเค้าไปว่า 3100รูปีมานเยอะไปแล้วเราก็ไม่เหลือเงินขนาดนั้น มีอะไรจำเป็นจริงๆมั้ย? เค้าเลยหยิบนู่นนี่ออก เหลือประมาณ 500รูปี เราก็โอเค ให้ไปถือว่าช่วยกัน
เป็น 500รูปีที่ไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ได้ภาพนี้มา ไม่รู้สิ ดูตาแล้วเข้าใจเค้าอ่ะ เป็นหนึ่งในภาพที่ชอบที่สุดของทริปนี้เลย
หลังจากแยกย้านกันก็เลยถือโอกาส Selfie ตัวเองซะหน่อย...หน้าตาอิ่มบุญเล็กน้อย (ที่มาของรอยกลางหน้าผากก็คือนายคนนั้น นั่นเอง)
ระหว่างที่ Selfie ตัวเองก็เจอสองหนุ่มนี้ บอกว่าช่วยถ่ายให้มั้ย เราบอกไม่ต้อง "ว่าแต่นายอยากเป็นนายแบบรึเปล่า" เค้าเลยโพสท่าให้
ปริ้นส่งให้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยถูกชาวไทยหน้าซื่อๆถ่ายรูปให้
ถ่ายรูปเสร็จก็เดินตลาดเก่าต่อ ถ้าชอบถ่ายรูปย้ำอีกครั้งว่าย่านนี้ต้องมา
ริ้วรอยและวันเวลาไม่สิ้นสุดของชาวเนปาล
ชอบการตลาดของโค้กในเนปาลนะ เค้าใช้วิธีทาสีที่ประตูบ้านแล้ววาดเลย
ภาพชินตา
วันที่สี่นี่แทบไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนต่างถิ่นละ ผู้คน เสียงรถ และความวุ่นวายได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่แสนจะธรรมดาที่เนปาลละ
เดินไปเรื่อยจนถึงแถวๆ Indra Chowk
เด็กขายสายไหม ครั้งสุดท้ายที่เห็นคืองานวัดที่ต่างจังหวัดประมาณสิบกว่าปีก่อน
---------------------------------------------------
เวลาผ่านไปเกือบจะบ่ายโมงละ กำลังจะไปหาร้านนั่งเขียนหนังสือ...พูดไปก็ไม่น่าเชื่อ จู่ๆก็เจอกลุ่มคนไทยที่นั่งรถโดยสารไปบักตาปูร์ด้วยกันในวันที่สอง !!! เค้าเพิ่งกลับเข้ามากาฐมาณฑุหลังจากไปเที่ยวบักตาปูร์และนากาโกต (Nagarkot เมืองเชิงเขาเลยจากบักตาปูร์อีกที)
จขกท :"พี่!!!!!" / พี่คนไทย : "อ้าวเฮ้ย!! มาไงเนี่ยเนปาลตั้งใหญ่ยังเจอกันได้...มาๆๆอย่างงี้ต้องถ่ายรูปกันหน่อยละ"
หลังจากนั้นเราก็อาศัยวิชาเนปาล 101 ว่าด้วยเรื่องการหลงและการเอาตัวรอดบนท้องถนนในเนปาลพาพี่เค้าไปส่ง Guesthouse แนะนำ(โม้)นู่นนี่ พาเดินจากโรงแรมไป Dubar Square ไม่รู้สิ อารมณ์มิตรภาพในต่างแดนถึงแม้จะแค่ระยะเวลาสั้นๆ จะบอกว่าคุยไปคุยมาพี่กลุ่มนี้เจ๋งมากๆเลย เคยไปอินเดียแล้วด้วย พาราณสีก็เคยไป (แถมมีการทำเสื้อทีมด้วย = เท่ยกกำลังสอง)
ปล. ถ้าใครรู้จัก 1ใน 5 คนนี้ฝากบอกด้วยว่าเอาหนังสือเที่ยวเนปาลหนึ่งเดียวในร้าน Kinokuniya มาคืนด้วยเน้อ
ตลอดบ่ายนั้นก็นั่งเขียนหนังสือที่ร้าน Mandap (ร้านเดียวกับที่ทานอาหารพื้นเมืองเนปาลสองวันก่อน)
นั่งสบายๆ ดูผู้คนผ่านไปมา ฝนก็ตกอีก กลัวฟีลิ่งไม่ได้
ตอนเย็นก็สั่งทานที่ร้านนั้นเลย คราวนี้เป็นอาหารอินเดียส่งท้ายอาหารที่เนปาล จะบอกว่าอาหารร้านนี้อร่อยมากกก ลองมาสองวันละแจ่มจริง
เนื่องจากต้องกลับไปเก็บของ จนแล้วจนรอดฝนก็ไม่หยุดซะที (เครื่องออกห้าทุ่มครึ่ง) เลยต้องวิ่งตากฝนไปโรงแรม
---------------------------------------------------