เนื่องจากมี สตรี (หรือเปล่าไม่ทราบ) ท่านหนึ่งพยายามอ้างคำสอนของศาสนาอิสลาม เพื่อตีขลุมเอาว่าอิสลามสอนให้ชำเราเชลยศึกได้ เมื่อมุสลิมนำข้อมูลหลักฐานไปตอบโต้ ก็ดูเหมือนสตรีท่านนั้นพยายามจะไม่สนใจ ยังเลือกคำตอบตัวเองขึ้นมาโชว์ เพื่อ ปฏิเสธคำตอบอื่นๆ ที่ไม่ถูกใจ (แล้วจะตั้งมาถามทำอะไร)
ดังนั้นจึงขอตั้งกระทู้เพื่อแจ้งให้ทราบดังนี้
ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เกี่ยวกับเชลยไว้ ความว่า
“ท่านทั้งหลายจงสั่งเสียกันให้ ปฏิบัติดีต่อเชลยศึก”
อิสลามให้อารีอารอบต่อเชลยสงคราม ดังปรากฎหลายตอนจากอัลกุรอานได้กำหนดให้การเลี้ยงดูเชลยสงครามเป็นคุณธรรม ที่ประเสริฐอย่างหนึ่ง โดยถือว่าเป็นการทดสอบน้ำใจซื่อตรงของมุสลิม และกำหนดให้เชลยสงครามจะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ประหนึ่งว่าเป็นแขกผู้มา หา มิใช่เยี่ยงผู้ถูกล่ามโซ่กุมตัวที่กำลังจะไปสู่สภาพความเป็นทาส
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงอธิบายลักษณะหนึ่งของผู้มีศรัทธาว่าเป็นบุคคลต่อไปนี้
“ และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก ( พวกเขากล่าวว่า) แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่าน โดยหวังความโปรดปรานของอัลลอฮ เรามิได้หวังการตอบแทน และการขอบคุณจากพวกท่านแต่ประการใด” อัลอินซาน 76 : 8-9
อิสลามใช้ให้ปฏิบัติดีต่อผู้เป็นเชลยสงคราม ไม่อนุมัติให้ทารุณกรรม หรือนำมาเป็นทาสแรงงาน เป้าหมายในการวางข้อปฏิบัติที่พึงมีต่อเชลยก็เพื่อเป็นการให้เกียรติ รักษาศักดิศรีเชลย และยังเป็นการคุ้มครองชีวิตเชลยด้วย
อัลกุรอานได้บอกวิธีปฏิบัติต่อเชลยไว้ว่า หากศัตรูไม่สามารถทำการไถ่ตัวได้ก็ให้ปล่อยเป็นไท ไม่ว่าจะเป็นการไถ่ตัวด้วยทรัพย์สิน หรือด้วยเชลยมุสลิม
“และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ ปฏิเสธศรัทธาก็จงฟันที่คอ (ฆ่าเขาเสีย) จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลย หลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือเรียกค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ เช่นนั้นแหละหากอัลลอฮทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮ พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด” มุฮัมมัด 47 : 4
ดังนั้น สำหรับผู้ตกเป็นเชลยของฝ่ายมุสลิม เขาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากมุสลิมด้วยความเมตตา ไม่มีการนำพวกเขามาทำอนาจารดังเช่นที่ชนชาติอื่นเคยกระทำกันมาแล้วในสงคราม ต่างๆ
อันนี้ชัดๆ นะครับว่า ที 2 ทางเลือก ถ้าไม่เรียกทรัพย์ หรือปล่อยไปก็ได้ ไม่มีทางเลือกให้ทำทารุณกรรมครับ (ส่วนการกระทำของ IS ไม่สามารถนับเป็นสงครามได้แต่แรกเพราะสงครามอนุมัติต่อเมื่อถูกรุกราน และประกาศโดยผู้นำของมุสลิมทั้งมวล ไม่ใช่ประกาศกันเอง)
และต่อมาที่เน้นหนักให้เห็นคือ (คำตอบของคุณ สมาชิกหมายเลข 1945645 )
[4.24]....ในการที่พวกเจ้าจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพวกเจ้า ในฐานะเป็นผู้แต่งงานมิใช่ในฐานะผู้ล่วงประเวณี ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง ตามที่มีกำหนดไว้และไม่เป็นบาปใด ๆแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าต่างยินยอมกันในสิ่งนั้น หลังจากที่มีกำหนดนั้นขึ้นแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ....
คำว่านอกจากที่มือขวาของเจ้าครอบครองว่าหมายถึง ถ้าเป็นทาสคือสมสู่ได้โดยไม่ต้องแต่งงานนั่นเป็นการแปลที่ผิดหนะครับ
ความหมายคืออิสลาม ไม่อนุญาติให้แต่งกับหญิงที่มีสามี ยกเว้นแต่ทาสที่ถูกจับมาถึงมีสามีอยู่แล้วก็ขอแต่งงาน จ่ายสินสอดได้ ถ้าผู้หญิงยินยอม
มีอายะห์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกเช่น
{24:33} และบรรดาผู้ที่ยังไม่มีโอกาสสมรส ก็จงให้เขาข่มความใคร่จนกว่าอัลลอหฺจะทรงให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ และบรรดาผู้ที่ต้องการทำสัญญาไถ่ตัวให้เป็นอิสระจากการคุ้มครองของมือขวาของพวกเธอ พวกเธอก็จงทำสัญญากับพวกเขา หากพวกเธอรู้ว่าเป็นการดีแก่พวกเขา และจงบริจาคทรัพย์สมบัติของอัลลอหฺที่ได้ทรงประทานแก่พวกเธอนั้นให้แก่พวกเขา และพวกเธออย่าบังคับบรรดาเด็กสาวของพวกเธอให้ผิดประเวณี -หากนางประสงค์จะอยู่อย่างบริสุทธิ์- พวกเธอแค่เพื่อต้องการผลประโยชน์ในชีวิตโลกนี้ และผู้ใดบังคับพวกนางเช่นนั้น แท้จริงอัลลอหฺ หลังจากการที่พวกนางถูกบังคับ ก็จะทรงเป็นพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงเมตตา(แก่พวกนาง)
[4.19] ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ไม่อนุมัติแก่พวกเจ้าการที่พวกเจ้าจะเอาบรรดาหญิงเป็นมรดกด้วยการบังคับ และไม่อนุมัติเช่นเดียวกันการที่พวกเจ้าจะขัดขวางบรรดานางเพื่อพวกเจ้าจะเอาบางส่วนของสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง นอกจากว่าพวกนางจะกระทำสิ่งลามก อันชัดแจ้งเท่านั้น และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งขณะเดียวกันอัลลอฮ์ก็ทรงให้มีในสิ่งนั้น ซึ่งความดีอันมากมาย
ต่อมาเป็นคำตัดสินของผู้นำมุสลิมในกรณีล่วงเกินเชลยสตรีครับ
In an authentic narration from Sunan Al Bayhaqi, Volume 2, page 363, Hadith no. 18685 we read the following story:
Abu al-Hussain bin al-Fadhl al-Qatan narrated from Abdullah bin Jaffar bin Darestweh from Yaqub bin Sufyan from al-Hassab bin Rabee from Abdullah bin al-Mubarak from Kahmas from Harun bin Al-Asam who said: Umar bin al-Khatab may Allah be pleased with him sent Khalid bin al-Walid in an army, hence Khalid sent Dharar bin al-Auwzwar in a squadron and they invaded a district belonging to the tribe of Bani Asad. They then captured a pretty bride, Dharar liked her hence he asked his companions to grant her to him and they did so. He then had sexual intercourse with her, when he completed his mission he felt guilty, and went to Khalid and told him about what he did. Khalid said: 'I permit you and made it lawful to you.' He said: 'No not until you write a message to Umar'. (Then they sent a message to Umar) and Umar answered that he (Dharar) should be stoned. By the time Umar's message was delivered, Dharar was dead. (Khalid) said: 'Allah didn't want to disgrace Dharar'
Notice that Umar ibn Al Khattab (the second caliph) ordered the man who captured the slave girl and had sex with her to be stoned for this crime, for he took the slave girl unjustly.
โดนตัดสินประหารครับ และยังมีคำวินิจฉัย จากอิหม่ามใหญ่ ของมุสลิมให้ทัศนะไว้ชัดเจนดังนี้
คำตัดสินของอิหม่ามชาฟิอี อิหม่ามอะห์ลุลซุนนะห์ ย้ำว่าตัดสินครับ ไม่ใช่ตัฟซีร หรือตำราประวัติศาสตร์
"If a man acquires by force a slave-girl, then has sexual intercourse with her after he acquires her by force, and if he is not excused by ignorance, then the slave-girl will be taken from him, he is required to pay the fine, and he will receive the punishment for illegal sexual intercourse." (Imam Al Shaafi'i, Kitaabul Umm, Volume 3, page 253)
ต้องถูกปรับค่าเสียหายให้เธอ และเจ้าตัวโดนลงโทษในฐานะผู้กระทำผิดประเวณี
อิหม่ามมาลิก เจ้าของสำนักคิดหลักแถบตะวันออกกลาง อันนี้หนักเลย
In our view the man who rapes a woman, regardless of whether she is a virgin or not, if she is a free woman he must pay a "dowry" like that of her peers, and if she is a slave he must pay whatever has been detracted from her value. The punishment is to be carried out on the rapist and there is no punishment for the woman who has been raped, whatever the case. (Imam Maalik, Al-Muwatta', Volume 2, page 734)
นี่ก็เหมือนกันครับ แต่ลงรายละเอียดว่า ไม่มีการลงโทษใดสำหรับผู้ถูกชำเรา (ท่านอาจจะเดาได้ว่าคงมีพวกบ้องตื้นคิดว่าอิสลามสอนให้ลงโทษผู้ถูกชำเรามั๊ง)
นอกจากนี้ ยังมี การทำร้ายด้วย
Book 015, Number 4082:
Hilal b. Yasaf reported that a person got angry and slapped his slave-girl. Thereupon Suwaid b. Muqarrin said to him: You could find no other part (to slap) but the prominent part of her face. See I was one of the seven sons of Muqarrin, and we had but only one slave-girl. The youngest of us slapped her, and Allah's Messenger (may peace be upon him) commanded us to set her free.
มีการตีทาส ท่านนบีสั่งให้ปล่อยทาสนั้นทันที
นี่คือคำสอนของอิสลามครับ
ไม่มีคำสอนให้ชำเราเชลยศึกในศาสนาอิสลามนะ รู้ยัง
ดังนั้นจึงขอตั้งกระทู้เพื่อแจ้งให้ทราบดังนี้
ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เกี่ยวกับเชลยไว้ ความว่า
“ท่านทั้งหลายจงสั่งเสียกันให้ ปฏิบัติดีต่อเชลยศึก”
อิสลามให้อารีอารอบต่อเชลยสงคราม ดังปรากฎหลายตอนจากอัลกุรอานได้กำหนดให้การเลี้ยงดูเชลยสงครามเป็นคุณธรรม ที่ประเสริฐอย่างหนึ่ง โดยถือว่าเป็นการทดสอบน้ำใจซื่อตรงของมุสลิม และกำหนดให้เชลยสงครามจะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ประหนึ่งว่าเป็นแขกผู้มา หา มิใช่เยี่ยงผู้ถูกล่ามโซ่กุมตัวที่กำลังจะไปสู่สภาพความเป็นทาส
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงอธิบายลักษณะหนึ่งของผู้มีศรัทธาว่าเป็นบุคคลต่อไปนี้
“ และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก ( พวกเขากล่าวว่า) แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่าน โดยหวังความโปรดปรานของอัลลอฮ เรามิได้หวังการตอบแทน และการขอบคุณจากพวกท่านแต่ประการใด” อัลอินซาน 76 : 8-9
อิสลามใช้ให้ปฏิบัติดีต่อผู้เป็นเชลยสงคราม ไม่อนุมัติให้ทารุณกรรม หรือนำมาเป็นทาสแรงงาน เป้าหมายในการวางข้อปฏิบัติที่พึงมีต่อเชลยก็เพื่อเป็นการให้เกียรติ รักษาศักดิศรีเชลย และยังเป็นการคุ้มครองชีวิตเชลยด้วย
อัลกุรอานได้บอกวิธีปฏิบัติต่อเชลยไว้ว่า หากศัตรูไม่สามารถทำการไถ่ตัวได้ก็ให้ปล่อยเป็นไท ไม่ว่าจะเป็นการไถ่ตัวด้วยทรัพย์สิน หรือด้วยเชลยมุสลิม
“และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ ปฏิเสธศรัทธาก็จงฟันที่คอ (ฆ่าเขาเสีย) จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลย หลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือเรียกค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ เช่นนั้นแหละหากอัลลอฮทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮ พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด” มุฮัมมัด 47 : 4
ดังนั้น สำหรับผู้ตกเป็นเชลยของฝ่ายมุสลิม เขาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากมุสลิมด้วยความเมตตา ไม่มีการนำพวกเขามาทำอนาจารดังเช่นที่ชนชาติอื่นเคยกระทำกันมาแล้วในสงคราม ต่างๆ
อันนี้ชัดๆ นะครับว่า ที 2 ทางเลือก ถ้าไม่เรียกทรัพย์ หรือปล่อยไปก็ได้ ไม่มีทางเลือกให้ทำทารุณกรรมครับ (ส่วนการกระทำของ IS ไม่สามารถนับเป็นสงครามได้แต่แรกเพราะสงครามอนุมัติต่อเมื่อถูกรุกราน และประกาศโดยผู้นำของมุสลิมทั้งมวล ไม่ใช่ประกาศกันเอง)
และต่อมาที่เน้นหนักให้เห็นคือ (คำตอบของคุณ สมาชิกหมายเลข 1945645 )
[4.24]....ในการที่พวกเจ้าจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพวกเจ้า ในฐานะเป็นผู้แต่งงานมิใช่ในฐานะผู้ล่วงประเวณี ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง ตามที่มีกำหนดไว้และไม่เป็นบาปใด ๆแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าต่างยินยอมกันในสิ่งนั้น หลังจากที่มีกำหนดนั้นขึ้นแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ....
คำว่านอกจากที่มือขวาของเจ้าครอบครองว่าหมายถึง ถ้าเป็นทาสคือสมสู่ได้โดยไม่ต้องแต่งงานนั่นเป็นการแปลที่ผิดหนะครับ
ความหมายคืออิสลาม ไม่อนุญาติให้แต่งกับหญิงที่มีสามี ยกเว้นแต่ทาสที่ถูกจับมาถึงมีสามีอยู่แล้วก็ขอแต่งงาน จ่ายสินสอดได้ ถ้าผู้หญิงยินยอม
มีอายะห์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกเช่น
{24:33} และบรรดาผู้ที่ยังไม่มีโอกาสสมรส ก็จงให้เขาข่มความใคร่จนกว่าอัลลอหฺจะทรงให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ และบรรดาผู้ที่ต้องการทำสัญญาไถ่ตัวให้เป็นอิสระจากการคุ้มครองของมือขวาของพวกเธอ พวกเธอก็จงทำสัญญากับพวกเขา หากพวกเธอรู้ว่าเป็นการดีแก่พวกเขา และจงบริจาคทรัพย์สมบัติของอัลลอหฺที่ได้ทรงประทานแก่พวกเธอนั้นให้แก่พวกเขา และพวกเธออย่าบังคับบรรดาเด็กสาวของพวกเธอให้ผิดประเวณี -หากนางประสงค์จะอยู่อย่างบริสุทธิ์- พวกเธอแค่เพื่อต้องการผลประโยชน์ในชีวิตโลกนี้ และผู้ใดบังคับพวกนางเช่นนั้น แท้จริงอัลลอหฺ หลังจากการที่พวกนางถูกบังคับ ก็จะทรงเป็นพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงเมตตา(แก่พวกนาง)
[4.19] ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ไม่อนุมัติแก่พวกเจ้าการที่พวกเจ้าจะเอาบรรดาหญิงเป็นมรดกด้วยการบังคับ และไม่อนุมัติเช่นเดียวกันการที่พวกเจ้าจะขัดขวางบรรดานางเพื่อพวกเจ้าจะเอาบางส่วนของสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง นอกจากว่าพวกนางจะกระทำสิ่งลามก อันชัดแจ้งเท่านั้น และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งขณะเดียวกันอัลลอฮ์ก็ทรงให้มีในสิ่งนั้น ซึ่งความดีอันมากมาย
ต่อมาเป็นคำตัดสินของผู้นำมุสลิมในกรณีล่วงเกินเชลยสตรีครับ
In an authentic narration from Sunan Al Bayhaqi, Volume 2, page 363, Hadith no. 18685 we read the following story:
Abu al-Hussain bin al-Fadhl al-Qatan narrated from Abdullah bin Jaffar bin Darestweh from Yaqub bin Sufyan from al-Hassab bin Rabee from Abdullah bin al-Mubarak from Kahmas from Harun bin Al-Asam who said: Umar bin al-Khatab may Allah be pleased with him sent Khalid bin al-Walid in an army, hence Khalid sent Dharar bin al-Auwzwar in a squadron and they invaded a district belonging to the tribe of Bani Asad. They then captured a pretty bride, Dharar liked her hence he asked his companions to grant her to him and they did so. He then had sexual intercourse with her, when he completed his mission he felt guilty, and went to Khalid and told him about what he did. Khalid said: 'I permit you and made it lawful to you.' He said: 'No not until you write a message to Umar'. (Then they sent a message to Umar) and Umar answered that he (Dharar) should be stoned. By the time Umar's message was delivered, Dharar was dead. (Khalid) said: 'Allah didn't want to disgrace Dharar'
Notice that Umar ibn Al Khattab (the second caliph) ordered the man who captured the slave girl and had sex with her to be stoned for this crime, for he took the slave girl unjustly.
โดนตัดสินประหารครับ และยังมีคำวินิจฉัย จากอิหม่ามใหญ่ ของมุสลิมให้ทัศนะไว้ชัดเจนดังนี้
คำตัดสินของอิหม่ามชาฟิอี อิหม่ามอะห์ลุลซุนนะห์ ย้ำว่าตัดสินครับ ไม่ใช่ตัฟซีร หรือตำราประวัติศาสตร์
"If a man acquires by force a slave-girl, then has sexual intercourse with her after he acquires her by force, and if he is not excused by ignorance, then the slave-girl will be taken from him, he is required to pay the fine, and he will receive the punishment for illegal sexual intercourse." (Imam Al Shaafi'i, Kitaabul Umm, Volume 3, page 253)
ต้องถูกปรับค่าเสียหายให้เธอ และเจ้าตัวโดนลงโทษในฐานะผู้กระทำผิดประเวณี
อิหม่ามมาลิก เจ้าของสำนักคิดหลักแถบตะวันออกกลาง อันนี้หนักเลย
In our view the man who rapes a woman, regardless of whether she is a virgin or not, if she is a free woman he must pay a "dowry" like that of her peers, and if she is a slave he must pay whatever has been detracted from her value. The punishment is to be carried out on the rapist and there is no punishment for the woman who has been raped, whatever the case. (Imam Maalik, Al-Muwatta', Volume 2, page 734)
นี่ก็เหมือนกันครับ แต่ลงรายละเอียดว่า ไม่มีการลงโทษใดสำหรับผู้ถูกชำเรา (ท่านอาจจะเดาได้ว่าคงมีพวกบ้องตื้นคิดว่าอิสลามสอนให้ลงโทษผู้ถูกชำเรามั๊ง)
นอกจากนี้ ยังมี การทำร้ายด้วย
Book 015, Number 4082:
Hilal b. Yasaf reported that a person got angry and slapped his slave-girl. Thereupon Suwaid b. Muqarrin said to him: You could find no other part (to slap) but the prominent part of her face. See I was one of the seven sons of Muqarrin, and we had but only one slave-girl. The youngest of us slapped her, and Allah's Messenger (may peace be upon him) commanded us to set her free.
มีการตีทาส ท่านนบีสั่งให้ปล่อยทาสนั้นทันที
นี่คือคำสอนของอิสลามครับ